ตอนที่ 169 ภายหลังความวุ่นวาย
ตอนที่ 169 ภายหลังความวุ่นวาย
เมื่อจางติงที่อยู่ภายนอกได้ยินคำกล่าวของนายหญิง เขาไม่มีการไหวติง และกล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่แผ่วเบา : นายหญิง คุณหนู ลงจากรถม้าแล้วค่อยเจราจากันก็ได้
เจ้าจำเป็นต้องทำอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้? สีหน้าของนายหญิงมืดมน จางติงไม่ยอมรับข้อเสนอของนาง เขาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างถอนรากถอนโคน
นายหญิง เสียงของจางติงดุดันมากยิ่งขึ้น : หากท่านยอมร่วมมือแต่โดยดี ข้าจะยังไว้ชีวิตพวกท่านสักคนหนึ่ง แต่หากท่านปฏิเสธ ..ฮึฮึ กล่าวออกไปมันคงน่าละอายใจ ข้าชื่นชมนายหญิงเป็นเวลานาน แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยได้เชยชมนายหญิง แต่ก่อนที่นายหญิงจะตาย ข้าต้องการทำความปรารถนาของข้าให้เป็นจริงเสียก่อน
ภายในรถม้า ร่างกายของนายหญิงสั่นสะท้าน นางกำมือของนางไว้แน่น จนเล็บของนางกลายเป็นสีขาวซีด
นางนึกภาพเหตุการณ์นั้นได้ หากว่าจางติงทำอะไรกับนาง นางจะต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมเช่นไร
ไอ่คนใจโฉดใจชั่ว !! ฉุ่ยเอ่อกล่าวตะโกนด่าด้วยความโกรธ
จางติงหัวเราะอย่างเยือกเย็น : ฉุ่ยเอ่อ ข้าหวังว่าในขณะที่เสื้อผ้าของเจ้าถูกปลดจนหมด เจ้าจะยังสามารถสบทด่าออกมาได้
เหล่าผู้ทรยศที่ยังมีชีวิตรอดต่างหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง : ฉุ่ยเอ่อ อีกสักครู่พี่ชายคนนี้จะให้ความรักแก่เจ้าเอง
ใบหน้าของฉุ่ยเอ่อซีดขาวในทันที นางหดตัวและหลบอยู่ที่ด้านหลังของหยางไค่
ภายในรถม้า หญิงสาวทั้ง 3 ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว แม้แต่รถม้าอย่างสั่นไปมาจากความหวาดกลัวของพวกเขา
นายหญิง ข้าให้เวลาท่าน 10 ลมหายใจ ให้ท่านลงมาจากรถม้าด้วยตนเอง ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุข และสัญญาว่าจะฝังร่างของเจ้าอย่างดี คำกล่าวเตือนครั้งสุดท้ายของจางติงดังขึ้น
นายหญิงหลับตาทำให้น้ำตาของนางไหลออกมาในทันที นางและบุตรีของนางจับมือซึ่งกันและกันด้วยความสิ้นหวัง
หลังจากนั้น นางตัดสินใจอย่างเด็ดขาด นางลืมตาและยิ้มให้แกบุตรีของนาง สายตาของนางบ่งบอกถึงความสิ้นหวังอย่างสาหัส
หากถูกพวกเขาบดขยี้และสร้างความอัปยศ การฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ดีกว่า
ในขณะที่นางกำลังจะลุกขึ้น กลับถูกห้ามปรามจากหยางไค่ หยางไค่ส่ายศีรษะไปมาอย่างช้าๆราวกับว่ากำลังปลอบโยนพวกนาง
10 ลมหายใจ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เสียงที่รำคาญใจของจางติงดังขึ้น : ดูเหมือนว่า ดูเหมือนว่านายหญิงจะมอบโอกาสในทำความปราถนาของข้าให้เป็นจริง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จางติงจะไม่สุภาพต่อนายหญิง
ทันทีที่กล่าวจบ จางติงยื่นมือเพิ่งยกผ้าม่านขึ้น และกำลังจะเดินเข้ามาภายในรถม้านี้
แต่ยังมิทันที่ฝ่าเท้าของเขาจะย่างกรายเข้ามา ใบหน้าที่สกปรกมอมแมมปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา คนคนนี้ยังยิ้มให้แก่เขาจนมองเห็นฟันสีขาวของเขาทั้งหมด
ขอทานน้อย !! ใบหน้านี้คือใบหน้าของขอทานที่พวกเขาเก็บเมื่อไม่กี่วันก่อน
สีหน้าของจางติงตกใจจนใบหน้าเปลี่ยนสี พวกเขาทั้งหมดต่างพุ่งความสนใจไปยังนายหญิง โดยสัมผัสไม่ได้ถึงร่องรอยของคนอืกคนที่อยู่ภายในรถม้า ความตกใจกลายเป็นความโกรธ เขาเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริง แต่ตกใจจนใบหน้าเปลี่ยนสีจากขอทานน้อย มันช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายสิ้นดี
จางติงไม่คิดอะไรมาก เขายื่นมือคว้าร่างกายของหยางไค่ เพื่อจะโยนหยางไค่ออกไปด้านนอก
หยางไค่ไม่หลบหนีออกไป เขาพุ่งหมัดที่ดูเหมือนอ่อนแอไร้ซึ่งกำลังออกไป แต่เพียงพริบตา มันได้ปะทะไปยังหน้าอกของจางติง 4-5 ครั้ง
ความว่องไวที่รวดเร็วอย่างยิ่ง !! จางติงตื่นตะลึงอีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะด้วยความเยือกเย็น : รนหาที่ตาย !!
เขาไม่รู้สึกถึงพลังการโจมตีจากขอทานน้อย แต่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามออกหมัดโจมตีไปเรื่อยๆ จางติ่งยื่นมือออกไปคว้าร่างกายของหยางไค่อีกครั้ง ก่อนจะโยนเขาออกไปด้านนอกและกล่าวด้วยเสียงตะโกนที่เกรี้ยวโกรธ : ฆ่ามัน !!
คนของจางติงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง พวกเขาเงื้อดาบขึ้น และกำลังจะฟันไปยังลำคอของหยางไค่
ขอทานน้อย !! ฉุ่ยเอ่อตะโกนออกมาด้วยความตกใจ นางไม่คิดว่าหยางไค่จะแกล้งเป็นผู้แข็งแกร่าง แต่เพียงพริบตาเขาก็ถูกกำจัดโดยจางติง
เสียงตะโกนยังไม่ทันจบ จางติงแสดงสีหน้าที่มีความสุข เขาก้มตัวลงและเข้าไปภายในรถม้ากว่าครึ่งตัว ทันใดนั้นใบหน้าของเขาแดงก่ำ ดวงตาเกือบถลนออกมา ซึ่งทำให้ใบหน้าของเขาดูน่าหวาดกลัวและน่ารังเกียจ
หลังจากนั้น เสียงระเบิดได้ดังขึ้น โลหิตสีแดงสดกระเด็นออกมาจากหน้าอกของจางติง พลังลมปราณหยางที่ร้อนระอุอย่างบ้าคลั่งผสานและเคลื่อนไหวหมุนเวียนอยู่ภายในร่างกายของเขาอย่างดุดัน
จางติงตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง เขาจึงเข้าใจว่าหมัดที่ขอทานน้อยปะทะเข้าที่ทรวงอกของเขามีสิ่งลึกลับที่มีพลังมากมายมหาศาลซ่อนเร้นอยู่ภายใน
เขารีบเคลื่อนไหวพลังลมปราณแท้จริงที่อยู่ภายใน เพื่อปราบปรามแผยที่หน้าอกของเขา
พู่วพู่วพู่ว .เสียงดังแว่วจากหน้าอกของจางซาง ทันใดนั้นบริเวณทรวงอกของจางติงเริ่มแดงก่ำจนดำคล้ำ เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและถอยออกมาจากรถม้า
ไม่แปลกใจที่เป็นยอดฝีมือที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริง พลังลมปราณที่อยูภายในไม่เหมือนกับพลังลมปราณของคนทั่วไป นอกจากนั้นเขายังรู้สึกได้ถึงพลังหยางที่ร้อนแรง แม้จะลงมือโดยไร้ซึ่งร่องรอย แต่การโจมตีของหยางไค่ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้มากที่สุดก็ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น
โลหิตสีแดงสดและเศษเนื้อหนังที่กระเซนกระซ่านออกมาจากหน้าอกของจางติงกระเด็นไปยังใบหน้าของหญิงสาว ทั้ง 3 ทำให้พวกเขากรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
ในขณะเดียวกัน กระบี่ยาวที่อยู่ในมือของจางติงพุ่งตวัดโจมตีไปยังหยางไค่ แต่ทันใดนั้นร่างกายของหยางไค่เปรียบเสมือนเงาลวงตา มันพลันหายไปในทัน การพุ่งโจมตีจึงล้มเหลว
ท่าร่างการเคลื่อนไหวที่สร้างขึ้นมาจากความรู้สึกแห่งจิตใต้สำนึกกว่า 1 เดือนสามารถใช้ในช่วงเวลาที่สำคัญ
มารปฐพีพุ่งเข้าสู่เข็มสลายวิญญาน ร่างกายของเขาผันแปรเป็นเงาร่างสีดำทะมึน เขาลอยบินอยู่รอบๆตัวเหล่าจอมยุทธุ์ โดยเข้าไปสร้างความวุ่นวายให้แก่จิตวิญญานและความคิดภายในใจของพวกเขา ทำให้พวกเขาต่างหวาดกลัวจนมือไม้สั่นเทา
มันคือบ้าอะไร ? สีหน้าของหลายแปรเปลี่ยนไป พวกเขาเพิ่งตะโกนเสร็จ ร่างกายของหยางไค่เป็นประกายและปรากฏอยู่ด้านหลังของพวกเขา หยางไค่พุ่งหมัดต่อยออกไปยังกลางหลังของพวกเขาอย่างรุนแรง
เมื่อหมัดเปลวเพลิงผลาญปฐพีปะทะเข้าสู่ร่างกายของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถต้านทานและทำลายมันได้ พลังลมปราณไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของพวกเขา ทำให้ร่างกายของพวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงในทันที
ทันใดนั้นมารปฐพีถือโอกาสในเวลานี้พุ่งแทงเข้าไปยังร่างกายของพวกเขา หลังจากที่เขาออกมา ร่างกายของคนเหล่านั้นระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ โดยโลหิตสีแดงสดและเศษชิ้นเนื้อของพวกเขากระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
เสียงหัวเราะที่น่าขนลุกของมารปฐพีดังขึ้น มารปฐพีเป็นปีศาจที่มีอายุนับพันนับหมื่นปี แม้ว่าความแข็งแกร่งทางจิตวิญญานของพวกเขาจะยังอ่อนแอ แต่เสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยความน่าหวาดกลัวจนจิตใจของคนเหล่าสั่นสะท้านถึงขีดสุด
หยางไค่ร่วมมือกับมารฐพี โดยสามารถจัดการกับพวกเขาโดยไร้ซึ่งอุปสรรค์ใดๆ
ยังมิทันที่หยางไค่จะใช้ท่าร่างแห่งการเคลื่อนไหวของเขาจนเสร็จสิ้น ร่างกายของคนเหล่านั้นต่างระเบิดจนกลายเป็นเศษชิ้นเนื้อที่ละเอียดไปทั้งหมด
จนถึงตอนนี้ จางติงจึงสามารถทำลายพลังลมปราณหยางของหยางไค่ เขาจ้องมองหยางไค่ด้วยใบหน้าที่ดุดัน และกล่าวคำรามด้วยเสียงที่ไม่เชื่อ : เจ้าขอทานน้อย ที่แท้เจ้าก็ซ่อนความแข็งแกร่งอยู่ในร่างที่อ่อนแอ
จางติงคิดว่าหยางไค่เป็นเพียงขอทานธรรมดาสามัญคนหนึ่ง แต่ในตอนนี้เขากลับกลายเป็นอุปสรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในแผนการของเขา จางติงจะสามารถทนต่อความรู้สึกล้มเหลวเช่นนี้ได้อย่างไร ? นอกจากนั้น เมื่อสักครู่เขายังถูกหยางไค่ลอบโจมตีโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขาเกรี้ยวโกรธ จนตาแดงก่ำ และจ้องมองด้วยสายตาที่อยากฆ่าเขาจนตัวสั่น
ร่างกายของหยางไค่เปียกชุ่มไปด้วยโลหิตสีแดงสด เขายื่นนิ่งอยู่ที่เดิมและกล่าวอย่างช้าๆ : พลังของเจ้ายังเหลือกี่ส่วน ?
หากพลังของจางติงยังวอยู่ในจุดสูงสุด หยางไค่ต้องใช้ผนึกดวงดาราของเขาเท่านั้น มิฉะนั้นตนเองจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แม้ว่าผนึกดวงดาราจะมีพลังอำนาจทีแข็งแกร่งในการโจมตี แต่มันต้องใช้เวลานานในการถ่ายทอดพลัง มันจะไม่เหมาะที่จะใช้ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายที่วิกฤตเช่นนี้
แต่จากการจ้องมองอย่างละเอียด จากติงในตอนนี้ไมได้อยู่ในจุดสูงสูงของความแข็งแกร่ง เขาได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับชายชราหวู่ และยังถูกตนเองลอบโจมตี หน้าอกเต็มไปด้วยบาดแผล ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ากล่าวบอกถึงพลังในส่วนที่เหลือ
หยางไค่ไม่หวาดกลัวจางติงแม้แต่น้อย !!
แม้ว่าพลังของข้าจะเหลือเพียง 2 ส่วน มันก็เพียงพอที่จะฆ่าเจ้าได้ !! จางติงกล่าวตะโกนด้วยความโกรธอย่างสุดขีด กระบี่ที่อยู่ในมือประกายแวววาว เขาเคลื่อนไหวร่างกาย ตวัดกระบี่และพุ่งโจมตีไปยังหยางไค่ โดยต้องการจะฆ่าหยางไค่ให้ตายในครั้งเดียว
ก่อนที่กระบี่ของจางติงจะพุ่งโจมตีถึงตัวเขา เข็มสลายวิญญานของจางติงได้เผชิญหน้ากับเขา เสียงหัวเราะที่น่าหวาดและน่าขนลุกดังอยู่ข้างหูของเขา ภายใต้ร่างกายที่อ่อนแอ จางติงมิอาจทำลายยเข็มสลายวิญญานของมารปฐพี เขาจึงตะโกนด้วยเสีงที่ประหลาดใจ : มันคือสมบัติวิเศษประเภทใด !!
จางติงถือเป็นผู้มีประสบการณ์ในการต่อสู้ที่โชกโชน เขาพบเจอกับสิ่งแปลกประหลาดที่มากมาย แต่เขาไม่เคยเห็นสมบัติวิเศษเฉกเช่นเข็มสลายวิญญานของมารปฐพี ไร้ซึ่งผู้ควบคุม แต่สามารถโจมตีด้วยตัวของมันเอง นอกจากนั้นภายในของมันยังมีเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความน่าหวาดกลัวจนทำให้คนที่ได้รับยินตัวสั่นเทาอย่างหลีกเลี่ยงไมได้
สมบัติวิเศษแห่งปีศาจ !!
สมบัติวิเศษที่จะฆ่าเจ้า !! เสียงของหยางไค่ดังขึ้นจากด้านหลังของเขา ร่างกายของจางติงเปียกชุ่มด้วยเหงื่อเย็นและสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เขามั่นใจว่ามองเห็นหยางไค่ยื่นอยู่ตรงหน้าที่ไม่ไกลจากเขามาก แต่ทำไมเขาถึงไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของเขาอย่างกะทันหัน ?
เมื่อจ้องมองออกไปอีกครั้ง ขอทานน้อยที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงภาพลวงตาที่เลือนลาง
จางติงรีบเงื้อกระบี่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาพุ่งแทงออกไป โดยสัมผัสกับอากาศที่ว่างเปล่า
หยางไค่ใช้ท่าร่างแห่งการเคลื่อนไหวเพื่อหลบไปยังทิศทางด้านซ้าย ก่อนจะพุ่งหมัดออกไปโดยไม่ลังเล ทันใดนั้น จางติงกรีดร้องด้วยความโหยหวน ร่างกายของเขาทรุดลงไปที่พื้น และแขนของเขายังมีเสียงระเบิดของผิวหนังดังขึ้น
หมัดนี้ ทำลายกระดูกช่วงไหล่ขอของเขาจนแหลกละเอียด
นอกจากนั้น พลังลมปราณที่เข้าสู่ร่างกายของเขาบริสุทธุ์ยิ่งกว่าสิ่งใด มันไม่ใช่พลังลมปราณที่ผู้ฝึกยุทธุ์ในเขตแดนลมปราณหมุนเวียนจะสามารถครอบครอง ความอัศจรรย์ทำให้สีหน้าของจางติงแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตะลึงในทันที
แม้ว่าเขาจะฝึกฝนเคล็ดวิชาคู่กับซู่เหยียนเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ว่าเคล็ดวิชาคู่ที่พวกเขาฝึกฝนสามารถทให้พลังลมปราณที่บริสุทธิ์มีความบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น พลังลมปราณที่อยู่ในร่างากายของหยางไค่บริสุทธิ์ถึงขั้นนี้ บรรลุเขตจำกัดสูงสุดของเขตแดนลมปรารหมุนเวียน ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากเคล็ดวิชาคู่ที่เขาได้รับจากถ้ำสวรรค์แห่งมรดกฟ้าสวรรค์
มารปฐพีใช้โอกาสอันแสนโอชะนี้ พุ่งปะทะกับกระบี่ของจางติง ก่อให้เกิดเสียงปะทะระหว่างเข็มสลายวิญญานและกระบี่ของจางติงดังขึ้น
หยางไค่และมารปฐพีร่วมมือกันโจมตีอย่างไม่หยุดยั้น ทำให้จางติงไม่มีโอกาสในการโจมตีพวกเขากลับ เวลาเพียงชั่วครู่ ร่างกายของจางติงเปียกชุ่มด้วยโลหิตสีแดงสด และซวนเซไปมาด้วยความอ่อนแอ
เมื่อจิตใจของจางติงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความหวาดกลัว จางติงจะยังมีความคิดที่จะต่อสู้ต่อไปได้อย่างไร ? หากยังไม่วิ่งหนี เขารู้สึกว่าตนเองต้องตายอยู่ในสถานที่แห่งนี้ แต่หยางไค่และมารปฐพีจะปล่อยให้เขาหนีรอดออกไปได้อย่างไร พวกเขาทั้งสองปิดกั้นเส้นทาด้านหน้าและด้านหลังของจางติง ทำให้จางติไร้ซึ่งหนทางที่จะหลบหนีออกไป
หยางไค่พุ่งหมัดเปลวเพลิงผลาญอัคคีออกไปอีกครั้ง จนทำให้เขากระอักเลือกออกไปด้วยความเจ็บปวด เมื่อมารฐพีเห็นเช่นนี้ เขาจึงพุ่งเข้าไปยังร่งกายภายในของจางติงในทันที
ทันในนั้นสีหน้าของจางติงแสงดออกมาอย่างสับสน ดวงตาทั้งคู่ของเขาว่างเปล่าเสมือนจิตวิญญานหลุดลอยออกไปจากร่าง และล้มลงไปที่พื้นทันที
หลังจากนั้น มารปฐพีปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะที่บ้าคลั่ง มารปฐพีแปรเปลี่ยนเป็นเงาร่างสีดำทะมึนและพุ่งเข้าไปที่ปลายนิ้วของหยางไค่ในทันที
การต่อสู้ในครั้งนี้ มารปฐพีกลืนกินจิตวิญญานไปเป็นจำนวนมาก เป็นความโชคดีของเขาอย่างยิ่ง !!
หยางไค่ยืนนิ่งอยูกับที่ หอบหายใจอย่างหนักหน่วงเสมือนคนที่ไร้ซึ่งพละกำลัง
ในครั้งนี้เขาไม่ได้เปิดใช้ความอดทนที่ไร้พ่ายจากกระดูกทองคำ เพราะการต่อสู้ระหว่างจางติงไม่ได้สร้างความกดดันหรือความรู้สึกวิกฤติที่อันตรายให้แก่เขา
แต่สิ่งหนึ่งที่หยางไค่ตระหนักได้ คือความแข็งแกร่งของตนเองต่ำเกินไป
หากว่าจางติงไมได้รับบาดเจ็บ ตนเองไม่ได้ลอบโจมตีเขา หรือหากในจุดตันเถียนไร้ซึ่งหยดน้ำพลังลมปราณหยาง ตนเองจะสามารถเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริงได้อย่างไร ?
เพียงการเปิดใช้หมัดเปลวเพลิงผลาญอัคคี เพียง 3 ครั้ง ก็ทำให้พลังลมปราณที่อยู่ในเส้นชีพแห้งเหือด หากเป็นผู้ฝึกยุทธุ์คนอื่นๆที่อยู่ในเขตแดนลมปราณหมุนเวียน พวกเขาคงจะกลาายเป็นศพที่แห้งเกรอะ
แล้วตอนเองล่ะ ใช้หมัดเปลวเพลิงผลาญอัคคีกับจางติงถึง 10 ครั้ง จึงจะสามารถฆ่าเขาจากการช่วยเหลือของมารปฐพี มันเป็นการโจมตีที่ยากลำบากที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ว่าตนเองจะได้รับชัยชนะ
เมื่อฟื้นฟูพละกำลังและจิตใจจนสงบ หยางไค่จึงเดินไปยังรถม้าคันที่ 3 อย่างช้าๆ
จากเสียงฝีเท้าที่เข้าใกล้ๆ ร่างกายของหญิงสาวทั้ง 3 สั่นเทาด้วยความหวาดกลัวและความตื่นตะหนก เสียงที่สั่นเทาของฉุ่ยเอ่อดังขึ้น : ขอทานน้อย .?
ใช่ หยางไค่กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง
ม่านรถม้าถูกเปิดออก ใบหน้าที่ซีดขาวของฉุ่ยเอ่อปรากฏออกมา ด้านหลังของเขาตามาด้วยนายหญิงและคุณหนูที่จ้องมองด้วยความตื่นตระหนก
พวกเขาล่ะ ? ฉุ่ยเอ่อกล่าวถามและกวาดสายตามองไปรอบๆ
ตายทั้งหมด !!
ฉุ่ยเอ่อปิดปากของนางด้วยความตกใจ นางจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่ไม่เชื่อ นายหญิงและคุณหนูต่างจ้องมองด้วยความไม่เชื่อเช่นเดียวกัน
เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะไม่มีทางหนีรอดจากความตายไปได้ แต่พวกนางไม่คิดว่าพวกเขาจะได้รับโอกาสในการมีชีวิตต่อไปอีกครั้ง ความรู้สึกที่ราวกับว่าตายแล้วเกิดใหม่ทำให้ร่างกายของพวกนางไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและทรุดลงไปที่พื้นด้วยความดีใจ
เมื่อผ่อนคลายความหวาดกลัวความตื่นตระหนก พวกนางต่างรู้สึกดีใจจนน้ำตาคลอ
พวกเจ้าอยู่ที่นี้ก่อน อย่าเพิ่งออกมา ข้าจะเดินไปดูรอบๆ ว่ามีผู้รอดชีวิตอีกไหม หยางไค่กล่าวตักเตือน ก่อนจะหมุนตัวออกไปจุดคบเพลิงและเดินออกไปสำรวจ