ตอนที่แล้วตอนที่ 166 ขอทานน้อย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 168 ไม่คาดฝัน

ตอนที่ 167 การดูแลจากฉุ่ยเอ่อ


ตอนที่ 167 การดูแลจากฉุ่ยเอ่อ

รถม้าไม่ได้วิ่งเร็วมากนัก เพราะภายในรถม้าล้วนเป็นหญิงสาว พวกเขาต้องคุ้มครองดูแลความปลอดภัยของพวกนาง เมื่อถึงช่วงค่ำ พวกเขาเดินทางได้เพียง 7-8 ลี้เท่านั้น

เมื่อความมืดมิดในยามราตรีเข้ามาเยือน รถม้าทั้งขบวนต่างหยุดการเดินทางในทันที พวกเขาหากสถานที่เหมาะสมในการก่อไฟและทำอาหาร ในขบวนการเดินทางนี้มีผู้คนประมาณ 30 คน พวกเขาล้วนเป็นผู้อาวุโสที่เชี่ยวชาญ ผ่านไปเพียงชั่วครู่ กลิ่นหอมแห่งอาหารที่พวกเขาบรรจงปรุงขึ้นมาได้ส่งกลิ่นหอมฟุ่งไปทั่ว

หยางไค่กระโดดลงมาจากรถม้า เดินเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อพิจารณความรู้สึกจากจิตใต้สำนึกที่เขาได้รับ และทำจิตใจของตนเองให้นิ่งสงบ

หลังจากนั้นไม่นาน ได้มีคนเดินลงมาจากรถม้าคันที่ 3

หยางไค่หันหน้ากลับไปมอง พบเห็นหญิงสาว 3 คนที่กำลังเดินลงมา 1 ในนั้นเป็นหญิงวัยกลางคนที่ทีหน้าตางดงามอายุประมาณ 30 ปี มีรูปร่างอวบอั๋น ผิวขาวเนียน มีเสน่ห์อย่างเหลือล้น

ด้านข้างของนาง มีหญิงสาวแรกรุ่นจำนวน 2 คน ดูเหมือนว่านางจะอายุประมาณ 20 ปี หญิงสาวแรกรุ่นคนหนึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าของหญิงรับใช้ ดวงตาของนางเคลื่อนไหวไปมาอย่างน่าหลงใหล นางกำลังพยุงแขนของหญิงสาวอีกคน

หญิงสาวที่ถูกพยุงต้องเป็นคุณหนูที่หญิงสาวรับใช้กล่าวเรียก คุณหนูนางนี้มีหน้าตาที่งดงาม มีรูปร่างสง่างาม แม้ว่าหน้าตาของนางไม่สามารถเทียบได้กับซู่เหยียน สองพี่น้องแห่งตระกูลหู่ แต่ถือว่านางเป็นหญิงงามคนหนึ่ง โดยเฉพาะชุดปักด้วยลวดลายบุพผาที่ประณีต ส่งผลให้รูปร่างหน้าตาของนางดูสง่าและงดงามมากยิ่งขึ้น

จากการปราฏตัวของหญิงสาวทั้ง 3 หยางไค่รู้สึกว่าสายตาของจอมยุทธุ์ทั้งหลายต่างจ้องมองไปยังพวกนางทั้ง 3

ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามของหญิงวัยกลางคน ความงดงามของคุณหนู หรือความีเสน่ห์ของหญิงรับใช้ ต่างถูกจับจ้องและดึงดูดจากสายตาของชายหนุ่มทั้งหมดทั้งปวง

ในขณะที่กำลังจ้องมอง หญิงรับใช้ถลึงตาให้แก่หยางไค่ ก่อนจะกล่าวตะโกน : มองอะไร หากเจ้ายังมองข้าจะควักลูกตาของเจ้าออกมา

แม้เสียงของนางจะดุดัน แต่มันเป็นการตำหนิหยางไค่ แต่คำกล่าวตะโกนของนางไมได้หมายถึงหยางไค่เท่านั้น

คนที่อยู่รอบข้างรีบเก็บสายตาที่จ้องมองในทันที

หยางไค่กระแอ่ม และมองไปยังทิศทางอื่น

ฉุ่ยเอ่อ !! คุณหนูกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา

หญิงรับใช้ฉุ่ยเอ่บ่นพึมพาจากการถูกตำหนิ นางพยุงคุณหนูและนายหญิงไปยังที่พักพิงของพวกนาง

หลังจากนั้น พวกเขาจึงเริ่มกินอาหารที่เตรียมเอาไว้ เหล่าจอมต่างกินอาหานในส่วนที่พวกเขาได้รับ นายหญิงและคุณหนูมีฉุ่ยเอ่อเป็นคนดูแล แต่หยางไค่ที่เป็นคนนอก ไม่มีใครสนใจ เขานั่งขดตัวอยู่อีกด้านโดยลำพังอย่างน่าสงสาร

นายหญิงและคุณหนูที่อยู่อีกด้านมองเห็นได้อย่างชัดเจน พวกเขาจะกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบาต่อฉุ่ยเอ่อ ฉุ่ยเอ่อพยักหน้า ไปหาอาหารที่เหลือและเดินเอาไปให้หยางไค่ : ขอทานน้อย อาหารของเจ้า

หยางไค่ไม่ปฏิเสธ เขายื่นมือรับไว้และกล่าวขอบคุณ

ฉุ่ยเอ่อยิ้มให้แก่เขา ใบหน้าที่มีเสน่ห์ ไร้ซึ่งกลิ่นอายแห่งความชั่วร้าย นางก้มนั่งลงและกล่าวด้วยเสียงต่ำ : ขอทานน้อย เจ้าโกรธที่ข้าตะโกนตำหนิเจ้าหรือเปล่า ?

หยางไค่ขมวดคิ้วไปมา : เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไร ?

เขารู้สึกแปลกตั้งแต่ที่ชายวัยกลางเรียกเขาว่าขอทานน้อย แต่ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจความหมายของพวกเขา แต่ตอนนี้ฉุ่ยเอ่อก็ยังเรียกเขาว่าขอทานน้อยเช่นเดียวกัน

ขอทานน้อย หรือว่าเจ้าไม่ใช่ขอทาน ? ฉุ่ยเอ่อยิ้มทำให้ริมฝีปากของนางโก่งโค้งราวจันทร์เสี้ยวที่งดงาม

ข้าคือขอทานน้อย ? ในที่สุดหยางไค่ก็เข้าใจ พวกเขาทุกคนต่างคิดว่าตนเองเป็นขอทาน ?

หยางไค่ก้มหน้าลงต่ำ ทำให้หัวใจของเขากระตุกอย่างรุนแรง เสื้อผ้าของตนเองฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดี มันยังเต็มไปด้วยความสกปรก และรอยขีดข่วนบนผิดหนังที่มากมาย

ฉุ่ยเอ่อยิ้มอย่างมีความสุข นางดึงกระจกอันเล็กออกมาจากทรวงอกของนางและยื่นให้แก่หยางไค่ : เจ้าดูสภาพของเจ้า มันไม่เหมือนขอทาทานตรงไหน

หยางไค่หลับตา สูดลมหายใจเข้า

เขามองเห็น ผมที่ยุ่งเหยิงราวกับรังนก ผมหลายเส้นพันกันอย่างและสยายลงบนบ่าของตนเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยดินโคลน มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร และเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง ยิ่งทำให้ตนเองดูเหมือนขอทานน้อยอย่างที่ทุกคนกล่าวเรียก !!

ตนเองสร้างท่าร่างการเคลื่อนไหวจากความรู้สึกแห่งจิตใต้สำนึกมากกว่า 1 เดือน ทำให้สภาพของตนเองกลายเป็นเช่นนี้ ในระหว่างนั้น ตนเองยังชนกับต้นไม้ใหญ่หลายครั้ง และต่อลงไปยังบ่อหน้าหลายครั้งเช่นเดียวกัน

ฉุ่ยเอ่อเก็บกระจกของตนเองเข้าไป และกล่าวถาม : ขอทานน้อย เจ้ามาจากแห่งหนใด ? ทำไมถึงอยู่ในป่าลึกเพียงคนเดียว

หยางไค่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สุดภาพ : ข้าเดินทางไปเรื่อย โดยไม่รู้ว่าข้ามาถึงสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร

ให้แก่หยางไค่ แต่ก็กลัวว่ามือของตนเองจะเปื้อนเพราะต้องดูแลนายหญิงและคุณหนู จึงทำใด้เพียงขมวดคิ้วไปมาด้วยความเห็นใจ

น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเสื้อผ้าให้เจ้าสวมใส่ ไม่เช่นนั้น ข้าจะมอบให้เจ้า ในตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ในยามค่ำคืนมันจะหนาวเหน็บอย่างยิ่ง เจ้าสวมใส่เพียงเท่านี้ ระวังจะเป็นไข้ล่ะ ฉุ่ยเอ่อจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่เห็นใจ นางมองเห็นหยางไค่สวมใส่เสื้อผ้าที่เปราะปรางและหยาบกร้าน นอจากนั้นมันยังขาดรุ่งริ่ง ร่างกายของเขายังซูบผอม ซึ่งมองเห็นกระดูกซี่โครงของเขาได้ยังชัดเจน

แม้ว่าใบหน้าของหยางไค่เลอะเทอะด้วยดินโคลน แต่ใบหน้าของเขายังหล่อเหลาปราณีตและละเอียดอ่อน ดวงตาอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยจิตวิญญานที่สดใส แม้ว่าอายุของเขาจะยังไม่มากก็ตาม

อายุเพียงเท่านี้ แต่ต้องทนทุกข์ทรมาณกับความหิวและความหนาวเย็น น่าสงสาร ฉุ่ยเอ่อครุ่นคิดอยู่ภายในใจ

เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ หัวใจของหยางไค่รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในทันทีและกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ : ข้าไม่เป็นไร

อืม เจ้ากินให้อร่อย หากไม่อิ่ม เจ้าไปเอาอาหารจากด้านโน่น ไม่มีใครกล้าต่อว่าเจ้า ฉุ่ยเอ่อตบไปที่มือของหยางไค่เบาๆ ลุกขึ้นและเดินไปปรณนิบัตินายหญิงและคุณหนูของนาง

ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยความเงียบ ในวันรุ่งขึ้นขบวนเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง

ในช่วง 2 วันที่ผ่าน หยางไค่นั่งอยู่บนรถม้าข้างชายชราหวู่ที่เขานั่งมาด้วยเหมือนเช่นและจ้องมองชายชราควบม้าให้เคลื่อนไหวด้วยแส้ของเขา เมื่อถึงเวลาพักหญิงรับใช้ฉุ่ยเอ่อจะเข้ามาพูดคุยกับเขาเป็นพักๆ

ในช่วง 2 วัน จากการสนทนากับฉุ่ยเอ่อ หยางไค่ทราบแล้วว่าพวกเขาจะเดินทางไปยังแห่งหนใด

จุดหมายปลายทางที่พวกเขาจะมุ่งไปต้องใช้ระยเวลา 3 วันในการเดินทาง สถานที่แห่งนั้นเป็นเมืองเล็กๆที่เรียกว่าเมือไห่เฉิง คนเหล่านี้มาจากเมืองทงจิว พวกเขาเป็นผู้มีอำนาจเล็กๆในเมื่องนั้น

แต่ว่าครึ่งปีที่ผ่านมา เมื่อนายท่านของจวนนี้ตายไป นายหญิงจึงพาคุณหนูไปยังเมืองไห่เฉิง เพื่อพึ่งพิงสหายคนสนิทที่มีอำนาจของนายท่าน

สำหรับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ฉุ่ยเอ่อกล่าวอย่างไม่ซับซ้อน แสดงให้เห็นว่านางไม่กล้ากล่าวมากไป แต่หยางไค่สามารถคาดเดาเรื่องราวที่เกิดจากกการสนทนาของเขาและฉุ่ยเอ่อได้ไม่น้อย

ไม่ใครอยากออกจากจวนและบ้าเกิดของตนเอง โดยเฉพาะแม่หมายที่มีบุตรี การเดินทางที่ยาวไกลเต็มไปด้วยความเสี่ยงจากภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้น หากไร้ซึ่งเหตุผลที่ไม่จำเป็น พวกเขาจะตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ยากลำบากเช่นนี้ทำไม ?

หยางไค่คาดเดาว่านายท่านต้องทำเรื่องที่ล่วงเกินผู้อื่นเป็นจำนวนมากในขณะที่ยังมีชีวิต เมื่อเขาตายไป นายหญิงและคุณหนูไร้ซึ่งที่พักพิง พวกเขาจึงเลือกที่จะหนีไปยังสถานที่ไกลแสนไกล

นอกจากนั้นผู้คนที่เดินทางมาพร้อมกับพวกเขา ไม่ได้มีเพียงจอมยุทธุ์ที่ว่าจ้างเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของพวกเขาเท่านั้น จากการบอกเล่าของฉุ่ยเอ่อ จอมยุทธุ์กว่าครึ่งหนึ่งล้วนเป็นคนที่นายท่านของจวนนี้เลี้ยงดูพวกเขามา เมื่อนายท่านตายไป พวกเขาจึงยินดีที่จะคุ้มครองปกป้องนายหญิงและคุณหนูให้ไปถึงปลายทางอย่างปลอดภัย เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจของพวกเขา พวกเขาจะกลับไปยังเมืองตงจิ่ว

ระหว่างทางที่เดินทางพวกเขาพบเจอกับโจรป่าจำนวนไม่น้อย แต่โชคดีที่พวกเขาไม่ไม่ได้รับอันตรายและสูญเสียของมีค่าไป

หยางไค่สอบถามสถานการณ์ของเมื่องไห่เฉินจากฉุ่ยเอ่อ แต่ฉุ่ยเอ่อไม่เคยไปยังเมืองไห่เฉิง นางจึงไม่ทราบอะไรมาก นางเพียงได้ยินคำบอกเล่าของนายหญิง ว่ามันเป็นเมืองที่อยู่ติดชายฝั่งทะเล มีทิวทัศน์สภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากเมืองที่พวกเขาเคยอาศัย

เมืองที่ติดชายฝั่งทะเล !! หยางไค่รู้สึกประหลาดใจ หรือว่าท่าร่างการเคลื่อนไหวจากความรู้สึกทางจิตวิญญานของเขา จะทำให้เขาเดินทางมายังดินแดนที่ไกลพ้นเช่นนี้ เขาทราบดีถึงอาณาเขตพรมแดนของอาณาจักรฮั่นที่ยิ่งใหญ่ สุดเขตแดนดินทางทิศใต้ คือมหาสมุทรที่กว้างใหญ่

เมื่อได้ยินฉุ่ยเอ่อกล่าวดังนี้ เมื่องไห่เฉิน ต้องเป็นเมืองติดชายฝั่งทะเลที่ติดกับทางทิศใต้มากที่สุด

หัวใจของหยางไค่เต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ เขาจึงออกเดินทางไปพร้อมกับรถม้าในกลุ่มขบวนนี้

แม้ว่าสภาพของตนเองจะดูสกปรกมอมแมมมากเพียงใด หยางไค่เองก็ไม่ได้ไปดูแลมัน คนเหล่านี้คิดว่าเขาเป็นขอทาน เมื่อดูแลชำระล้างร่างกายใบหน้าเสื้อผ้าจนสะอาด หากเขาแปรเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลา จะทำให้คนอื่นๆสงสัยก็เป็นได้

2 วันที่ผ่านมา สิ่งที่หยางไค่กระทำอยู่ตลอดเวลาคือการสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของชายชราหวู่ เขาพบว่าในขณะที่ชายชราหวู่กำลังควบม้าด้วยแส้ของเขา มันเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่มิอาจอธิบายออกมาได้

เสียงการสะบัดของแส้ไม่ดังมาก และไม่ดุดันเกินไป แต่มันเพียงพอที่จะกระตุ้นม้าให้วิ่งไปข้างหน้าโดยไม่หยุด

ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริง ซึ่งไม่สูงมาก เพราะอายุของเขาก็มากเช่นเดียวกัน จากการเข้าใจในวิชายุทธุ์ สิ่งเหล่านี้ ล้วนซ่อนอยู่ในการเคลื่อนไหวด้วยแส้ของเขา

หยางไค่สังเกตเขาที่อยู่ในสภาพมึนเมา ซึ่งคล้ายคลึงกับการสร้างท่าร่างการเคลื่อนไหวจากการรับรู้ทางจิตวิญญานของเขา

ชายชราหวู่ไม่ในใจหยางไค่ เขายังควบม้าด้วยแส้ตลอดเวลา จะมีบางครั้งที่เขาดื้มเหล้าในกาน้ำของเขา เขานั่งอยู่บนรถม้า โดยไม่กล่าวสนทนากับใครเลย

ยามค่ำของวันนี้ ขบวนรถม้าได้หยุดลงอีกครั้ง

หยางไค่ลงจากรถม้า แยกตัวออกจากฝูงชน หามุมที่สงบแล้วนั่งลง ก่อนจะดึงต้นหญ้าจากบริเวณนั้น แล้วทิ้งขว้างมันออกไปอย่างเรื่อยเปื่อย

จอมยุทธุ์ที่อยู่ในขบวนรถม้าไม่มีใครชื่นชอบเขาแม้แต่คนเดียว ไม่มีใครชื่นชอบขอทานน้อย หากไม่ใช่เพราะคุณหนูของจวนนร้มีจิตใจที่เมตตา เขาจะถูกนำพามาพร้อมกับพวกเขาได้อย่างไร ?

หลังจากนั้น ด้านหลังของเขามีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เขาไม่หันหลัง รู้ในทันทีว่าเป็นใคร

ฮึ ขอทานน้อย เสียงของหญิงรับใช้ฉุ่ยเอ่อดังขึ้น

หยางไค่หัวเราะอย่างขมขื่น เขาขยี้ศีรษะของตนเองและกล่าว: ข้าเคยบอกชื่อของข้าให้แก่เจ้า ทำไมเจ้าไม่เปลี่ยนชื่อเรียกให้แก่เขา ?

ขอทานน้อย ไม่น่าฟังสำหรับเขาเลย

เจ้าเด็กน้อย !! ฉุ่ยเอ่อถลึงตาให้แก่หยางไค่นางกางฝ่ามือที่มีเม็ดเกาลัด 2 เม็ดออกมา นางยื่นให้หยางไค่ 1 เม็ด ตนเองกำไว้ 1 เม็ดและค่อยๆบรรจงแกะเปลือกของมัน

ในช่วงเวลาพักผ่อน ฉุ่ยเอ่อจะนำขนมหรือของว่างอื่นๆ แบ่งให้แก่หยางไค่ เดิมทีหยางไค่ไม่เข้าใจว่าเขาที่มีสภาพเหมือนขอทานที่น่าหวาดกลัว ทำไมฉุ่ยเอ่อจึงไม่หวาดกลัวเขา ?

แต่หลังจากนั้นหยางไค่กล่าวถามด้วยความสงสัยและทราบว่าฉุ่ยเอ่อเคยมีน้องชายคนหนึ่ง แต่เขาตายจากความหิวโหย พวกเขาทั้งสองเคยเป็นขอทาน แต่หลังจากนั้นนางได้รับความช่วยเหลือจานายหญิงและคุณหนูของนาง

ดูเหมือนว่าหยางไค่จะมีอายุที่ใกล้เคียงกับน้องชายที่ตายไปของนาง นางจึงไม่รังเกียจหยางไค่

เจ้าขโมยอาหารว่างของคุณหนูมาอีกแล้ว ? หยางไค่กล่าวล้อเล่นและกรอกตาไปมา

ฉุ่ยเอ่อถลึงตาใส่หยางไค่ : ข้าไม่ได้ขโมย คุณหนูมอบให้ข้า คุณหนูดีต่อข้าอย่างมาก นางจะแบ่งอาหารให้ข้ากินอยู่เสมอ

ทำไมเจ้าถึงไม่อยู่เคียงข้างคุณหนูและดูแลปรนิบัตินาง ? หยางไค่แกะเปลือกเกาลัด และโยนมันลงไปในปาก

นายหญิงและคุณหนูเหนื่อยล้าจากการเดินทาง พวกนางทั้งสองต้องการพักผ่อน ข้าจึงไม่ต้องดูแลปรนิบัติพวกนางทั้งสอง เมื่อฉุ่ยเอ่อกล่าวตอบ นางหรี่ตาลงและกล่าวถามหยางไค่ : ขอทานน้อย เมื่อไปถึงเมืองไห่เฉิน จะทำสิ่งใด ?

ไม่รู้ อาจจะเดินเล่นไปทั่วเมือง หยางไค่พยักหน้าเบาๆ

ฉุ่ยเอ่อเม้มริมฝีปากของนางและกล่าว : กล่าวได้อย่างน่าฟัง มันก็เป็นเพียงการถือเศษจานเก่าและขอทานไปทั่วเมือง ? ในอดีตข้าก็ทำเช่นนี้

หยางไค่หัวเราะไปมา โดยไม่กล่าวอธิบาย

เอาเช่นนี้ เจ้าติดตามพวกเราไป เพราะเมื่อไปถึงเมืองไห่เฉิน เราจำเป็นต้องมีผู้รับใช้ ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนชาญฉลาด หากเจ้าเป็นผู้รับใช้คงทำได้ดี เป็นอย่างไร ? มีข้าคุ้มครอง นายหญิงและคุณหนูคงไม่คัดค้าน เมื่อเจ้าทำงานเก็บเงินได้สักก้อน ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะสามารถแต่งงานกับภรรยาที่ดีได้ !!

นางเป็นหญิงที่มีใบหน้าที่งดงามและมีเสน่ห์ เมื่อนางกล่าวคำพูดเช่นนี้ยิ่งทำให้สีหน้าของนางดูอบอุ่น ยิ่งทำให้เป็นคนที่มีเสน่ห์และน่าหลงใหลยิ่งขึ้น

หยางไค่กล่าวตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ : ได้ หากข้าสามารถหาภรรยาคนหนึ่งเช่นเจ้าได้มันคงเป็นความโชคดีของข้า

ฉุ่ยเอ่อปิดปากและหัวเราะ : เจ้าขอทานน้อย หากเป็นเรื่องจริงคงไม่ดีแน่ เจ้าคงโชคร้ายไปชั่วชีวิต ข้าต้องทบทวนให้ดีว่าจะล่อหมาป่าที่มีเล่ห์เหลี่ยมเข้าบ้านของตนเองหรือไม่

เจ้าต้องทบทวนและพิจราณาให้ดี สีหน้าของหยางไค่ค่อนข้างดุดัน

หยางไค่รับปากอย่างลวกๆเท่านั้น ในครั้งนี้เขาออกเดินทางไกลมายังดินแดนที่ไกลพ้น เพื่อหาประสบการณ์ในการฝึกยุทธุ์ของตนเองเท่านั้น คงไม่มีทางที่จะไปเป็นผู้รับใช้ของผู้อื่น แต่หากว่าหยางไค่ปฏิเสธ คงต้องเสียเวลาอธิบายอย่างแน่นอน

เอาล่ะ ข้าจะไม่กล่าวคำพูดที่ไร้สาระกับเจ้าอีก ข้าไม่เคยเห็นขอทานคนไหนที่มีวาจาที่อ่อนหวานเช่นเจ้า ฉุ่ยเอ่อถลึงตาให้แก่หยางไค่ นางลุกยืนขึ้นและกล่าว : อีก 1 วัน พวกเราจะไปยังถึงเมืองไห่เฉิง วันนี้เจ้าพักผ่อนให้สบาย ข้าเหนื่อยมากแล้ว อีกสักพักข้าคงไม่ได้ตักอาหารมาให้เจ้า

อืม หยางไค่พยักหน้า หลายวันที่ผ่านในขณะที่กินข้าว จะเป็นฉุ่ยเอ่อที่ตักอาหารให้แก่เขา เพราะนางกลัวว่าหยางไค่จะถูกจอมยุทธุ์เหล่านั้นรังแก

หลังจากที่ส่งฉุ่ยเอ่อเข้าไปภายในรถม้าคันที่ 3 หยางไค่แกว่งต้นหญ้าที่อยู่ในมือของเขา เขาต้องการค้นหาความรู้สึกที่รับรู้อย่างเช่นชายชราหวู่

หลังจากนั้นไม่นาน อาหารได้ปรุงจนเสร็จสิ้น ตามมาด้วยเสียงตะโกน จอมยุทธุ์เหล่านั้นต่างวิ่งกรูเข้าไปตักอาหาร

หยางไค่ลุกขึ้น เดินไปยังทิศทางนั้น แต่เดินไปไม่กี่ก้าว คนคนหนึ่งได้ก้าวเท้าออกมา ขวางอยู่ตรงหน้าของหยางไค่

เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง หยางไค่พบเห็นชายวัยกลางคนนั้นอีกครั้ง เขาจ้องมองหยางไค่ด้วยสีหน้าที่เย็นชา

เป็นอะไรหรือเปล่า ? หยางไค่ขมวดคิ้วไปมาด้วยความสงสัย

ออกไป คืนนี้ไม่มีอาหารของเจ้า !! ชายวัยกลางกล่าวตะโกนด้วยเสียงที่ดุดัน เขายังจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่กดขี่

มุมปาของหยางไค่เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เยือกเย็น เขายังคงจ้องมองชายวัยกลางอย่างสงบ

สายตาของเจ้าไม่เลว ชายวันกลางพยักหน้าช้าๆ และกล่าวกดขี่อีกครั้ง : หากเจ้ายังตาย ข้ายินดีที่จะสงเคราะให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง

หยางไค่ไม่กล่าวสิ่งใดออกไป เขาหันหลังและนั่งลงไป

หยางไค่ไม่อยากมีเรื่องขัดแย้งกับคนเหล่านี้ ไม่ว่าอย่างไร เขาเป็นคนที่เข้ามาพักพิงกับพวกเขา นอกจากนั้นฉุ่ยเอ่อยังดีต่อเขา ไม่จำเป็นที่ตนเองจะมีปัญหากับพวกเขาจากการกินอาหารในมื้อเล็กๆนี้

กินอาหารน้อยลง 1 มื้อ คงไม่หิวโหยจนตาย

อย่างน้อยเจ้าก็ยังฉลาด !! ชายวัยกลางกล่าวสบทด้วยเสียงที่เยือกเย็น

หยางไค่ไม่ทราบว่าเป็นความรู้สึกที่ผิดแปลกของเขา ในขณะที่เขาหันกลับไป ดูเหมือนว่าเขาเห็นใบหน้าของตนเองแสดงออกมาอย่างผ่อนคลาย

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ทำให้จิตใจของหยางไค่เต็มไปด้วยความกังวล ทันใดนั้นความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัยผุดขึ้นมาจากจิตใต้สำนึก เขากล่าวเรียกมารปฐพี ให้เขาระมัดระวังตัว หยางไค่เองเริ่มสำรวจสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆ

การจ้องมองไปรอบบริเวณด้วยความระมัดระวัง ทำให้หยางไค่ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง

สถานที่แห่งนี้เป็นป่ารกร้างที่ว่างเปล่าซึ่งคล้ายคลึงกับสถานที่ที่พวกเขาพักผ่อนในยามค่ำคืน แต่มันน่าประหลาดอย่างยิ่ง สถานที่รกร้างในการพักผ่อน อย่างน้อยที่สุดต้องมีร่องรอยของผู้คนสัญจรผ่านไปมา แต่ว่าสถานที่แห่งนี้ไร้ซึ่งร่องรอยการสัญจรของผู้คน มันต้องเป็นสถานที่อันตรายที่ไร้ซึ่งความสนใจจากผู้คนอย่างแน่นอน

กล่าวอย่างหยาบคาย นั่นก็คือสถานที่แห่งนี้เหมาะสมที่จะเป็นสถานที่ในการฆ่าคนและทิ้งศพของพวกเขาไว้ที่นี้

เป็นไปไม่ได้ ? ท่าทีของหยางไค่เริ่มผิดปกติมากขึ้น

เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เต็มไปด้วยความมืดมิด ไร้ซึ่งแสงจันทรา เสียงสายลมพัดโชยอย่างรุนแรง ซึ่งเหมาะสมในการฆ่าและวางเพลิง

ในอีกด้านหนึ่ง จอมยุทธุ์เหล่านั้นต่างกำลังแย่งอาหารอย่างครึ้นเครง พวกเขากล่าวสนทนาด้วยเรื่องขำขันในขณะที่กำลังกินอาหาร แม้ว่าชายชราหวู่จะเป็นผู้ควบรถม้า แต่ฐานะของเขาไม่ต่ำอย่างแน่นอน เพราะในตอนนี้มีคนกำลงตักอาหารและยื่นไปให้เขา เขานั่งอยู่บนรถม้าตดื่มเหล้ามองท้องฟ้าตลอดเวลา

หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนต่างกินอาหารจนเสร็จสรรพ สิ่งที่หยางไค่กังวลยังไม่เกิดขึ้น จนเขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ขำขันจากการคิดกังวลมากไปของตนเอง

หลังจากที่พวกเขากินอิ่ม พวกเขากล่าวสนทนาอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นพวกเขาเหลือคนไว้ไม่กี่คนในการเฝ้ารักษาความปลอดภัย และคนส่วนใหญ่ได้นั่งล้อมอยู่หน้ากองไฟและหลับไหลไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย

หยางไค่ค่อยๆ วางใจ ก่อนจะหลับตาเพื่อปรับสภาพจิตใจของเขาให้สงบ

หลังจากนั้น 1 ชั่วยาม เสียงของมารปฐพีดังขึ้น : นายน้อย มียางอย่างผิดปกติ !!

หยางไค่ลืมตาในทันที โดยไม่ต้องให้มารปฐพีกล่าวเตือน เพราะเขาเองเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ

เหล่าจอมยุทธุ์ที่นอนหลับหน้ากองไฟ กำลังหายใจอย่างหนักหน่วง

หากกล่าวโดยทั่วไป ในขณะที่จอมยุทธุ์เดินทางในป่าลึก แม้จะเป็นการเดินทางเป็นพรรคพวกขนาดใหญ่ ก็ควรรักษาจิตใจของตนเอง ไมให้หลับลึกในยาค่ำคืน โดยทั่วไปพวกเขาหลับตาพักผ่นเท่านั้น แต่ว่าพละกำลังทางด้านร่างกายและจิตวิญญาณต้องตื่นตัวอยู่เสมอ

ค่ำคืนที่ผ่านมา พวกเขาต่างทำเช่นนี้

แต่ในตอนนี้ พวกเขากลับนอนหลับลึกเสมือนคนตาย การที่หยางไค่จะปลุกพวกเขาให้ตื่น หยางไค่สร้างความวุ่นวายที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงเท่านั้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด