ตอนที่แล้วตอนที่ 164 ทรยศต่อจารีตประเพณี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 166 ขอทานน้อย

ตอนที่ 165 ออกเดินทาง


ตอนที่ 165 ออกเดินทาง

ในวันนั้นเมื่อเม้งวู่หยานำป้ายหยกของประมุขออกมาและกล่าวออกคำสั่ง ให้เลื่อนหยางไค่เป็นศิษย์สามัญ เหว่ยซิตงต้องการวางแผนกระทำบางสิ่งบางอย่างต่อคำสั่งนั้น แต่เรื่องราวไม่ได้เป็นไปตามแผนของเขา การปฏิเสธของหยางไค่ ทำให้แผนการของเขาสั่นคล่อนจนต้องหยุดชะงัก

เมื่อคิดได้เช่นนี้ จิตใจของซุ่ซวนวู่เต็มไปด้วยความสำราญ

ผู้อาวุโสที่ 2 พวกเราไม่ต้องลงมือใช่ไหม ? หยางไค่ปฏิเสธ ความเดือดร้อนที่ใหญ่มหันต์ต้องไปถึงตัวเขาอย่างแน่นอน ศิษย์ผู้นั้นได้กล่าวถามอีกครั้ง

ไม่ !! ซู่ซวนวู่ส่ายหัวอย่างช้าๆ : เรื่องนี้ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว เฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็พอ

ขอรับ ! แม้ว่าศิษย์ผู้นั้นจะไม่เข้าใจในความคิดของผู้อาวุโสที่สอง เขาก็ไม่กล้าที่จะกล่าวถาม

เหว่ยซิตง เหว่ยซิตง ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ต่อท่านประมุขอย่างไร !!

ใบหน้าของซู่ซวนวู่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เขาเก็บหมากสีขาวบนกระดานจนหมด

หยางไค่ไม่ทราบว่าการตัดสินใจของเขาจะเกี่ยวโยงถึงคนที่มากมายเช่นนี้ ในเวลานี้หยางไค่กำลังนั่งขัดสมาธิตรงหน้าจวนถ้ำโดยจิตใจเต็มไปด้วยความสงบ

1 วันหลังจากนั้น หยางไค่ลุกขึ้น และกล่าวเรียกมารปฐพี

ทันใดนั้น เงาร่างสีดำทะมึนพุ่งบินออกมาจากเบื้องล่างของคุกคุมขังมังกร พุ่งบินเข้าสู่ปลายนิ้วของหยางไค่และอันตราธานหายในทันที

เจ้าพบสิ่งใดหรือเปล่า ? หยางไค่กล่าวถาม

ข้าไม่ได้สำรวจอย่างลึกซึ้ง เพียงแต่ดูดซับกลิ่นอายแห่งปีศาจทีี่อยู่ลึกลงไปกว่า 1000 จ้าง ซึ่งยังไม่พอเห็นอะไรมากมาย แต่ว่านายน้อยวางใจ หลังจากที่ข้าฟื้นฟูความแข็งแกร่งได้สำเร็จ ข้าจะลงไปสำรวจสิ่งที่อยู่ก้นบึ้งของมันอีกครั้ง เสียงของมารปฐพีถ่ายทอดออกมา

อืม หยางไค่พยักหน้า เขานั่งลงและสัมผัสไปยังโสมปีศาจหยินหยาง ถ่ายทอดพลังหยางให้แก่มัน และเอ่ยปากกล่าว : เจ้าดูดซับพลังหยางอยู่ที่นี้ จำไว้ หากไม่ใช่หญิงสาวที่เคยมายังสถานที่แห่งนี้ เจ้าต้องหลบหนีออกไปในทันที

ใบหน้าของโสมปีศาจหยินหยางเผยให้เห็นท่าทีที่เข้าใจ

นายน้อยจะออกเดินทาง ? มารปฐพีกล่าวถาม

อืม ข้าจะออกไปเดินเล่น เจ้าไปกับข้าด้วย !!

มันต้องเป็นเช่นนั้น เสียงของมารปฐพีเต็มไปด้วยความตื่้นเต้น : นายน้อย หากการเดินทางในครั้งนี้แล้วนายน้อยพบเจอกับคนที่สามารถฆ่าเขาได้ นายน้อยอย่างปล่อยให้เขาหลุดมันไป แม้ว่าจิตวิญญานของข้าจะหลุดลอยออกมาจากร่างกาย แต่เมือ่ได้รับวิญญานของมนุษย์ มันจะช่วยให้ข้าสมารถฟื้นฟูความแข็งแกร่งได้เร็วมากขึ้น พลังอำนาจของเข็มสลายวิญญานก็จะแข็งแกร่งตามไปด้วย หากสามารถฟื้นฟูความแข็งแกร่งได้สำเร็จ ฮ่าฮ่า นายน้อยจะได้รับสมบัติวิเศษอีกชิ้น นายน้อนจะกล่าวเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า ชื่อเสียงกว้าวไกลไปทั่วปฐพี

หยางไค่หัวเราะเบาๆ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ถูกควบคุมจากความคิดของมารปฐพี

การออกเดินทางของเขา เขามีการวางแผนของตนเอง

ประการที่ 1 ตนเองเพิ่งปฏิเสธสารแห่งการเลื่อนขั้น หากยังอยู่ที่นี้อีกต่อไปคงจะเดือดร้อนอย่างแน่นอน

ประการที่ 2 เขาคำนึงถึงซู่เหยียน เคล็ดวิชาหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง ทำให้นางไม่สามารถควบคุมความคิดถึงของนาง หากเขายังอยู่ที่นี้อีกต่อไป เมื่อความรู้สึกแห่งความปราถนาปรากฏออกมา ยากต่อการควบคุม นางฝึกฝนเคล็ดวิชาปราณจิตเย็น มันถูกลิขิตให้จิตใจของนางไร้ซึ่งความรู้สึกต่างๆ การเดินทางของเขาในครั้งนี้ เป็นการช่วยเหลือนางอีกทาง นางต้องปราบปรามความรู้สึกของนางด้วยความสามารถของนาง เป็นผลดีต่อการฝึกฝนวิชายุทธุ์ของนางอย่างยิ่ง

ประการที่ 3 เป็นการคิดคำนึงถึงตนเอง เขตแดนลมปราณหมุนเวียน ไม่ได้มีเพียงการฝึกฝนโดยการนั่งขัดสมาธิเพียงอย่างเดียว อย่างมีการผ่านประสบการณ์แห่งความเป็นความตายที่โชกโชน จะทำให้เขาเติบโตและก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อคิดถึงความแข็งแกร่งแห่งเขตแดนที่แตกของเขาและซู่เหยียน หยางตะหนักว่าตนเองไม่ควรอยู่ในสำนักและใช้ชีวิตที่เรียบง่ายเช่นนี้ต่อไปอีก

หยางไค่ทิ้งจดหมายไว้ในจวนถ้ำ เขาค่อยๆปีนขึ้นไปยังเบื้องบนของคุกคุมขังมังกร และเดินออกจากหอประลองยุทุธุ์หลิงเซี่ยวท่ามกลางความมืดมิดอย่างเงียบงัน

บนยอดไม้ต้นหนึ่งที่หยางไค่มองไมเห็น เงาร่างสีเขียวยืนอยู่บนยอดไม้ต้นนั้น โดยไม่กล่าวขอร้องให้เขาอยู่ต่อ และไม่กล่าวคำลาจาก แต่เฝ้าดูเขาจากไปอย่างเงียบๆ

สายลมอ่อนพัดโชยมา ทำให้ผ้าคลุมหน้าของนางปลิวไสว ซึ่งเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงาม งดงามจนอาณาจักรที่แข็งแกร่งยังศิโรราบต่อนาง

ผ่านไปเป็นเวลานาน ด้านหลังของนางมีเสียงของชายชราดังขึ้น : ศิษย์รัก ยามดึกอากาศหนาวเหน็บ รีบกลับไปพักผ่อนซะ

สุ้มเสียงที่กล่าว เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย

อืม เซี่ยหนิงฉางกอดแขนทั้งสองข้างเอาไว้ ราวกับว่านางรู้สึกหนาวเหน็บ

เมื่อออกจากหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว หยางไค่ไม่ได้คิดว่าเขาจะไปแห่งหนใด เขาเลือกเส้นทางเส้นหนึ่ง และวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว จนฝ่าเท้าทั้งสองของเขาปรากฏคลื่นเปลวเพลิงออกมา

เพียงพริบตา เขาอยู่ห่างจากหอประลองยุทธุ์เซี่ยว 300 ลี้

1 ค่ำคืนในการเดินทางด้วยฝ่าเท้าที่ปกคลุมด้วยคลื่นเปลวเพลิง ทำให้จิตใต้สำนึกของก่อเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมา

เขารู้สึกถึงการเปลี่ยนของพลังลมปราณที่อยู่ในสองเท้าของเขา ทุกครั้งหลังจากที่เพิ่มความเร็วในการเดินทางมันก่อให้เกิดความรู้สึกเปลี่ยนแปลงอย่างน่าประหลาด ทำให้เขาคาดหวังที่จะหาเหตุผลที่สมควรในการอธิบายความสงสัยของตนเองให้กระจ่าง

ในเทือกเขาผลึกน้ำแข็งนพเก้า หยางเข้าใจว่าจะสามารถใช้พลังลมปราณในการเพิ่มความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวของตนเองอย่างไร หลังจากที่เขาทดสอบในถ้ำสวรรค์แห่งมรดกฟ้าสวรรค์ เขาพบว่าผลลัพทธุ์ที่ได้ถือว่าไม่เลว

แต่น่าเสียดายที่มันเป็นเพียงการนำพลังลมปราณออกมาใช้เป็นครั้งๆ โดยไม่มีหนทางในการใช้ที่แน่นอน

ในขณะที่เผชิญหน้ากับศัตรู เคล็ดวิชา ทักษะการต่อสู้ กระบวนท่าในการโจมตีที่มีอำนาจพลังที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่หากมีท่าร่างในการเคลื่อนไหวที่น่าอัศจรรย์ มันสามารถทำให้ศัตรูมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวและตำแหน่งของตนเอง มันง่ายต่อการรับมือและโจมตีศัตรู

ความสำคัญในจุดนี้ เมื่อครั้งที่ต่อสู้กับหล่งฮุย หยางไค่ตระหนักมันได้อย่างชัดเจน ในเวลานั้นหล่งฮูยใช้ท่าร่างในการเคลื่อนไหวจนทำให้หยางไค่สับสนและไม่สามารถโจมตีและรับมือกับเขาได้เป็นเวลานาน

ท่าร่าง เป็นสิ่งที่ขาดหายไปสำหรับหยางไค่

หยางไค่เข้าใจความสามารถของตนเองอย่างชัดเจน ตนเองเป็นผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนลมปราณหมุนเวียน เขาไม่สามารถสร้างท่าร่างที่น่าอัศจรรย์ออกมาได้

แต่ในขณะที่ตนเองกำลังเดินหรือวิ่ง ตนเองจะค้นหาค้นหาวิธีการที่เหมาะสมในการเคลื่อนไหวลมปราณ คิดไตร่ตรองว่าจะทำให้อย่างไรให้ความว่องไวของตนเองเพิ่มมากขึ้น จะทำอย่างไรให้พลังลมปราณที่เล็กน้อยของตนเองแสดงอำนาจพลังที่มีประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด

แม้ว่าวิธีการที่ออกมาจากความรู้สึกของตนเองจะไม่ใช่สิ่งที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุด มันไม่มีประโยชน์ต่อคนอื่นๆ แต่มันเป็นสิ่งที่เหมาะสมและมีประโยชน์มากที่สุดสำหรับตนเอง

วิชายุทธุ์ที่แข็งแกร่ง ล้วนเกิดจากปรมารจรรย์แห่งบรรพกาลที่มีความแข็งแกร่งในระดับสูงสร้างมันขึ้นมาจากความรู้สึกของตนเอง มันเป็นความสามารถของอำนาจพลังและความคิดของตนเอง

ในความรู้สึกจากจิตใต้สำนึก การเคลื่อนไหวของตนเองจะประหลาดอย่างน่าฉงน ทำให้สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสับสน ราวกับว่าจิตวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง แต่ว่าสองเท้าก็ยังเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุด

บางครั้งจะเคลื่อนไหวไปยังทิศทางตะวันออกเป็นระยะทาง 10 ลี้ บางครั้งจะเคลื่อนไหวไปยังทิศใต้เป็นระยะเทาง 10 ลี้โดยก้าวออกไปอย่างเชื่องช้า ในบางครั้งจะเคลื่อนไหวไปยังทิศตะวันตกหรือทิศเหนือ เมื่อพบเจอกับหุบเขาเขาจะเดินผ่านมัน เมื่อพบเจอกับสายน้ำก็จะก้าวผ่านมันไปเช่นเดียวกัน การเคลื่อนไหวช้าบ้างเร็วบ้างปะปนกันไป โดยไม่ทิศทางที่แน่นอน

ในบางครั้ง เขาจะชนกับต้นไม้หรือตกลงไปในบ่อน้ำ ทำให้ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล มอมแมม เสื้อผ้าฉีกขาด แม้นจะเป็นเช่นนี้ หยางไค่ไม่ได้สนใจกับภาพที่น่าสังเวชในของตนเองแม้แต่น้อย

สิ่งเดียวที่ยับยั้งการเดินทางของเขา คือเมื่อพละกำลังทางด้านร่างกายหมดลง หยางไค่จึงหยุดการเดินทาง หาสถานที่หลับนอนและหาของกินในป่าเพื่อประทังชิวิตต่อไป แต่หลังจากที่พักฟื้นพละกำลังของตนเองอย่างเต็มที่อีกครั้งเขาจะเดินทางต่อไปอีกโดยไม่รีรอ

มารปฐพีเฝ้าดูการกระทำด้วยความตื่นตะลึง จากประสบการณ์ที่โชกโชนของเขาทำให้เขาทราบอย่างชัดเจนว่าหยางไค่กำลังทำสิ่งใด เพราะว่าทราบ จึงทำให้เขาตกตะลึงอย่างไม่หยุด

เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนลมปราณหมุนเวียน แต่สามารถบรรลุความรู้สึกที่ลึกซึ้งเช่นนนี้ ราวกับว่าร่างกายของตนเองเชื่อมผสานรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน จิตใจและร่างกายรวมเป็นหนึ่ง มันเป็นการล้มล้างทำลายประสบการณ์และสิ่งที่เขาเคยพบเจอและเคยสัมผัสจนหมดสิ้น

แม้จะชื่นชมความสามารถของหยางไค่แต่มารปฐพีไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเขา

เพราะควาแข็งแกร่งของหยางไค่อ่อนแอเกินไป แม้จะดื่มดำกับความรู้สึกที่ลึกซึ้ง กำลังสร้างสิ่งที่เหมาะสมให้แก่ตนเอง ก็ไม่อาจได้รับสิ่งที่แข็งแกร่งให้แก่ตนเอง

จากความคิดของมารปฐพี การหาสถานที่สงบฝึกฝนและสร้างสมบัติวิเศษในการเคลื่อนไหวของตนเองดีกว่าการออกเดินทางวิ่งวุ่นไปทั่วเช่นนี้ เมื่อมีการช่วยเหลือจากสมบัติวิเศษ ไม่จำเป็นที่ต้องใช้ฝ่าเท้าของตนเองก้าวเดินหรือเดินทางอีกต่อไป

แต่เมื่อพิจารณาจากนิสัยของหยางไค่ มารปฐพีไม่กล้ากล่าวความคิดของตนเองออกไป เพราะวิธีการสกัดสมบัติที่เขาทราบ ล้วนเป้นวิธีการที่ชั่วร้ายจนถึงขีดสุด ต้องหลอมละลายร่างกายของมนุษย์สกัดเถ้ากระดูก ผนึกวิญญาณ หากกล่าวออกไป เขาต้องถูกผนึกและกักขังจากหยางไค่อย่างแน่นอน

10 วันผ่านไป หยางไค่ยังด่ำดึ่งอยู่ในความรู้สึกของตนเอง โดยไม่รู้ว่าเขาออกเดินทางเป็นระยะทางเท่าใด ความรู้สึกในการสร้างท่าร่างของตนเองไม่มีความคืบหน้า แต่เขาเข้าใจการควบคุมพลังลมปราณของตนเองอย่างยิ่ง

มันเป็นการกระทำที่ไร้ซึ่งผลตอบแทนอย่างแท้จริง

ขณะที่ความเร็วในการเคลื่อนไหวของหยางเพิ่มขึ้น ฝ่าเท้าทั้งสองของเขาจะปรากฏแส่งสว่างแห่งเปลวเพลิงทั้งสองข้าง แต่ในตอนนี้ แสงสว่างแห่งเปลวเพลิงพลันหายไป แม้กระทั่งสัมผัสไม่ได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังลมปราณ ในขณะที่เดินหรือวิ่ง ไร้ซึ่งร่องรอยและเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

ไม่เพียงเท่านั้น ร่องรอยการเคลื่อนไหวพลังลมปราณของตนเองค่อยๆสงบลง โดยไม่แตกต่างกับเขตแดนในครั้งก่อน เมื่อมีการเคลื่อนไหวพลังลมปราณ คนอื่นๆต่างสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

หลายวันผ่านไป หยางไค่ที่เดินวิ่งอย่างรวดเร็วเริ่มลดความเร็วในการเดินวิ่งของเขาอย่างกะทันหัน จนมันกลายเป็นการก้าวเดินที่เชื่องข้า แต่ในชั่วพริบตา ร่างกายของเขาประกายหายไป แต่เมื่อปรากฏอีกครั้ง ร่างกายของเขาอยู่ห่างจากตำแหน่งเกือบ 20 จ้าง

แต่ในขณะที่ร่างกายยังมิทันที่จะยืนหยัดอย่างมั่นคง ร่างกายของประกายไปมาอีกครั้งเมื่อร่างเงาของเขาจางหาย หยางไค่ได้กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม ราวกับว่าเขาไม่เคยเคลื่อนไหวในการเดินทางไปมา การก้าวเดินที่แผ่วเบาเฉกเช่นสายลมที่เบาบาง ยังคงก้าวไปครั้งหน้าอย่างไม่หยุด

หลังจากนั้น สถานการณ์ที่น่าประหลาดเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ว่าในครั้งนี้ร่างกายของหยางไค่ประกายมากกว่าครั้งที่แล้วถึง 1 ครั้ง

การทดสอบจากความรู้สึกเกิดขึ้นวันแล้ววันเล่า จนวันหนึ่ง ร่างกายของหยางไค่ประกายถึง 7 ครั้ง ทุกครั้งที่ร่างกายของเขาประกาย เขาจะอยู่ห่างจากตำแหน่งเดิมถึง 100 จ้าง

ใบหน้าของหยางไค่แดงก่ำ เขาหอบหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วง มุมปากของเขาเผยให้เห็นริยยิ้มที่ดีพึงพอใจ

เสียงของมารปฐพีดังขึ้น : ขอแสดงความยินดีที่นายท่านฝึกฝนท่าร่างที่เหมาะสมต่อตนเองจนสำเร็จ นายน้อยแข็งแกร่งดังเทพสวรรค์ ข้าบูชาในตัวของนายน้อย !!

ไม่ต้องประจบข้าให้มาก หยางไค่หัวเราะอย่างแผ่วเบา : เจ้าความคิดของเจ้า เจ้าคิดว่าท่ารางแห่งการเคลื่อนไหวนี้เป็นอย่งไร ?

มารปฐพีนิ่งไปสักครู่ ก่อนจะกล่าวตอบด้วยความลังเล : นายน้อยอยากฟ้งความจริงหรือความเท็จ ?

กล่าวความเท็จให้ข้าฟังก่อน

เสียงของมารปฐพีดังขึ้นในทันที : ท่าร่างนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ไม่คู่ควรใช้ในโลกมนุษย์ แต่ควรใช้ในสวรรค์ชั้นฟ้า ในขณะที่เคลื่อนไหวไร้ซึ่งร่อยรอยในการค้นหา ข้ารู้สึกละอายใจ เพราะในช่วงเวลาที่มีชึวิตไม่เคยเห็นท่าร่างที่อัศจรรย์และแข็งแกร่งเช่นนี้ ข้าไม่ทราบจริงๆว่าจะกล่าววิจารณ์มันอย่างไร

หยางไค่หัวเราะเสียงดัง : คำกล่าวนี้ของเจ้าดูเหมือนเป็นเรื่องที่โกหกอย่างมาก กล่าวความจริงมา

ฮึฮึ มารปฐพีกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง : นายน้อยอยู่ในเขตแดนลมปราณหมุนเวียน สามารถสร้างท่าร่างที่แข็งแกร่งเช่นนี้ มันทำให้ข้านับถือในความตั้งใจของนายน้อย แต่ ท่าร่างนี้ยังไม่สมบรูณ์และเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ความรู้สึกที่สัมผัสจากจิตใต้สำนึกของนางน้อยในตอนนี้เป็นเพียงท่าร่างที่หยาบกร้าน หากใช้ท่าร่างนี้เผชิญหน้ากับศัตรูในระดับเดียวกัน มันคงไม่เกิดปัญหา แต่หากเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า มันยากที่จะแสดงอำนาจพลังของท่าร่างนี้

นอกจากนั้น ท่าร่างนี้ใช้กับระยะทางที่สั้นๆ ไม่เหมาะสมกับระยะทางที่ยาวไกล ข้าเห็นว่านายน้อยใช้ท่าร่างนี้ได้เพียง 7 ครั้งพละกำลังเรี่ยวแรงต่างๆของนายน้อยได้หมดลง มันคงเป็นขีดจำกัดสูงสุดของนางน้อย !!

อืม หยางไค่พยักหน้า ยอมรับในสิ่งที่มารปฐพีกล่าว

ความแข็งแกร่งในตอนนี้ของเขาอ่อนแอเกินไป เขาไม่สามารถรู้สึกสัมผัสสิ่งที่ลึกซึ้งและแข็งแกร่งได้มากกว่านี้ เขาพึงพอใจที่สามารถสร้างท่าร่างที่เหมาะสมให้แก่ตนเอง หากในภายภาคหน้าความแข็งแกร่งของเขาก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เขาจะฝึกฝนวิชายุทธุ์นี้อีกครั้ง โดยไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน

นอกจากนั้น สิ่งที่เขาได้รับไม่เพียงแต่การสร้างท่าร่างนี้ขึ้นมา แต่สามารถซ่อนพลังลมปราณที่เคลื่อนไหวในขณะที่กำลังเดินทาง ในขณะที่ไม่ลงมือโจมตี หยางไค่ดูเหมือนคนสามัญทั่วไป แม้จะลงมือโจมตี ก็ไม่เคลื่อนไหวอย่างผกผันเหล่ากับปีศาจเหมือนครั้งก่อน นอกจากการใช้เคล็ดวิชาแห่งความไร้พ่ายเท่านั้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด