ตอนที่ 157 เรื่องเล็กฟังเจ้า เรื่องใหญ่ฟังข้า
ตอนที่ 157 เรื่องเล็กฟังเจ้า เรื่องใหญ่ฟังข้า
เป็นอีก 3 วันที่พวกเขาทั้งสองฝึกฝนวิชายุทธุ์ด้วยความน่าเบื่อและไร้สีสัน
2 วันที่แล้วหยางไค่ได้ฝึกฝนร่างกายของตนเองให้แข็งแกร่งจากพลังฟ้าดินจนเสร็จสิ้น พลังแห่งฟ้าดินที่เขาได้รับกว่าครึ่งถูกนำไปฝึกฝนโลหิต เนื้อหนัง เส้นเอ็นและกระดูกของเขา เพื่อให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพียงพอที่จะต้านทานการโจมตีจากเขตแดนที่สูงกว่า ส่วนพลังแห่งฟ้าดินที่เหลือถูกดูดซับจากกระดูกทองคำ เสมือนครั้งที่ผ่านมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
แต่ซู่เหยียนยังคงหลอมละลายผลึกน้ำแข็งนพเก้า ทำให้หยางไค่มิกล้าเคลื่อนไหวไปมา เขากำลังฝึนอดทนต่อความปราถนาอันแรงกล้าที่ทำให้เขาทุกข์ทรมาณยิ่งนัก
ในวันที่ 3 ขนตาที่โค้งงอนสั่นระรัวไปมา ในที่สุดซู่เหยียนก็ได้ลืมตาของนาง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสุขและความดีใจอย่างสุดขึ้ง
สติสัมปชญะของหยางไค่แข็งทื่อ ลมหายใจของเขาเริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
เป็นเวลากว่าหลายวันที่เขาต้องทนต่อความหิวกระหายแห่งแรงปราถนา เขารอจนถึงตอนนี้รอจนจิตใจแห้งเหี่ยวเฉา
ดวงตาของทั้งประสานซึ่งกันและกัน ซู่เหยียนได้กล่าวด้วยความซาบซึ้ง : ขอบคุณ
เมื่อนางลืมตา นางพบว่าร่างกายของนางมีการเปลี่ยนแปลงราวฟ้ากับดิน จากการหลอมละลายและสกัดพลังแห่งผลึกน้ำแข็งนพเก้าเข้าสู่ร่างกาย ไม่เพียงเติมเต็มพลังแห่งปราณจิตเย็นที่นางต้องสูญเสียไป
มันยิ่งทำให้พลังปราณจิตเย็นของนางบริสุทธุ์มากยิ่งขึ้นและจากการประสบความสำเร็จในการฝึกฝนเคล็ดวิชาหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง แม้ว่าเขตแดนของนางไม่มีความก้าวหน้า แต่ว่าความแข็งแกร่งของนางแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้านั้นถึง 3 เท่า ลมปราณแท้จริงแผ่ซ่านไปยังแขนขาทั้ง 4 ของเขา มันไม่ต้องใช้พลังอำนาจในการหมุนเวียน แต่ยังคงสามารถเคลื่อนไหวไปมาอย่างไม่หยุดทุกส่วนทุกอนุของร่างกายต่างชุ่มช่ำไปด้วยพลังลมปรารแท้จริงและกำลังปลดปล่อยอำนาจพลังที่แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ใบหน้าที่งดงามของนางประกายด้วยแสงสว่างที่สง่างาม เมื่อจ้องมองออกไปเสมือนว่านางเป็นนางเซียนน้อยแห่งสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า
จาการฝีกฝนเคล็ดวิชาหยินหยางผสานรวมเป็นหนึ่งและการสกัดพลังอำนาจแห่งผลึกน้ำแข็งนพเก้า ทำให้รอยแผลเป็นจำนวนมากมายที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนวิชายุทธุ์เป็นเวลากว่า 20 ปีจางหายไปในทันที
ผิวหนังทุกส่วนของร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นผิวหนังที่อ่อนนุ่มเสมือนผิวของเด็กทารก ขาวบริสุทธุ์ดั่งหมิะ เปล่งประกายราวคริสตัล และเนียนละเอียดั่งหยกที่ล้ำค่า
ระหว่างข้าและเจ้า ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ เสมือนว่าสติของหยางไค่กำลังจะหลุดลอย ซู่เหยียนที่เขาเคยรู้จักให้ความรู้สึกที่สง่างาอย่างเยือกเย็น แต่ซู่เหยียนในเวลานี้กลับทำให้ตนเองเกิดอารมณ์ต้องการในตัวนางอย่างมิอาจหักห้ามใจ ความรู้สึกเช่นนี้ไม่มีทางจางหายไปจากการใกล้ชิดที่แนบแน่นของพวกเขาทั้งสอง
ซู่เหยียนยิ้มอย่างอ่อนหวาน การที่พวกเขาทั้งสองมีความรู้สึกที่เชื่อมผสานจากจิตวิญญานของพวกเขาทั้งสอง มันทำให้ทั้งคู่รู้สึกอบอุ่นห้วงจิตใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เสมือนว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่ต้องกล่าวอะไรมาก พวกเขาตั้งรับรู้ถึงความคิดของกันและกัน
ใช่แล้ว เจ้าเพิ่งก้าวข้ามเขตแดนลมปราณหมุนเวียน เขตแดนนี้มีความพิเศษมากกว่าเขตแดนอื่นๆ .. ซู่เหยียนค่อยจัดการกับสีหน้าที่กำลังแสดงออกของตนเอง
ยังมิทันที่นางจะกล่าวจบ นางถูกหยางไค่กล่าวแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาด : เจ้ารู้สึกไหม ว่าการกระทำของพวกเราทั้งสองในตอนนี้ไม่เหมาะสมที่จะกล่าวสนทนาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนลมปราณหมุนเวียน มันน่าแปลกหากเราทั้งสองยังคงสนทนาในหัวข้อนี้ต่อไป
ซู่เหยียนอึ้งไปชั่วขณะ ใบหน้าของนางแดงก่ำไปจนถึงหูทั้งสองข้างของนาง
หยางไค่จ้องมองซู่เหยียนและยิ้มให้แก่นาง ทันใดนั้นหยางไค่ได้เกรงช่วงเอวของเขา และออกแรงเคลื่อนไหว อ๋าาา !! ซู่เหยียนส่งเสียงครางที่คร่ำครวญออกมาในทันที
?
ในเวลานี้ นางรู้สึกว่าตนเองถูกส่งไปยังสวรรค์ชั้นเมฆ แต่ยังไม่ทันที่นางจะยืนหยัดร่างกาย นางก็ถูกส่งไปยังนรกเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาณ
ความรู้สึกขึ้นลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้จิตวิญญานเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความสุขสม ทำให้นางไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
หนุ่มสาววัยแรกรุ่น ไม่เคยพาลพบความปราถนาที่สุขสม ทำให้ร่างกายของพวกเขาทั้งสองกระตือรือร้นต่อการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย เพียงการขยับเคลื่อนไหวเพียงแผ่วเบา ก็สามารถทำให้พวกเขาทั้งสองรู้สึกถึงแรงกระตุ้นที่แข็งแกร่งจนมิอาจต้านทานต่อความรู้สึกนั้นได้
เมื่อถูกเสียงครางที่เย้ายวนใจของนางกระตุ้นอย่างรุนแรง การกระทำของหยางไค่เริ่มไร้ซึ่งความเกรงใจ สองมือของเขาบีบเค้นไปยังทรวงอกทั้งสองของนาง ค่อยๆโน้มศีรษะไปยังช่องว่างระหว่างทรวงอกของนางเพื่อสูดดมกลิ่นหอมหวานของทรวงอกคู่นั้น หลังจากนั้นเขาค่อยๆจูบดูดไปยังผิวที่นวลเนียนของซู่เหยีนอย่างอ่อนโยนและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ผมของซู่เหยียนสยายลงไปยังหัวไหล่ของนาง นางใช้สองมือโอบกอดศีรษะของหยางไค่อย่างแน่นหนา และกดศีรษะของหยางไค่ไปไปยังสองปทุมถันของนาง สองขาที่เรียวยากอดรัดบนเอวของหยางไค่โดย จากนั้นนางได้เกรงร่างกายของนางและเริ่มขยับเคลื่อนไหว
เพื่อตอบรับความสุขที่เปี่ยมล้นจากจังหวะที่ทิ่มแทงเข้ามาจากหยางไค่โดยมิอาห้ามปรามได้ หลังจากนั้นสักครู่ ซู่เหยีนจึงกุมเส้นผมของหยางไค่ไว้แน่นและกล่าวด้วยความทุกข์ทรมาณ : รอ ..รอก่อน .
เกิดอะไรขึ้น? หยางไค่เงยหน้าจ้องมองนาง การเคลื่อนไวหที่รุนแรงค่อยๆสงบลง
ซู่เหยียนยังมิอาจกล่าวสิ่งใดออกไป นางสูดลมหายใจเข้าออกเป็นเวลานานจึงทำให้สติที่หลุดลอยกลับมาเหมือนเดิม ร่างกายของนางแดงก่ำไปทั้งตัว ดวงตาเต็มไปด้วยความปราถนาที่ใสซื่อ นางกัดริมฝีปากไว้แน่นและกล่าวด้วยความสงสัย : เมื่อสักครู่ .ข้ากำลังร้องคราง ?
ไม่น่ะ ! หยางไค่ส่ายหัวปฏิเสธ ใบหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม
ข้าไม่ได้ครางจริงน่ะ ! ซู่เหยียนไม่ยังไม่วางใจ เพราะนางในตอนนั้น สติพร่ามัวและว้าวุ่น นางไม่รู้ว่าตนเองกำลังครางด้วยเสียงใด
ไม่ได้ครางจริงๆ! หยางไค่กล่าวตอบด้วยความมั่นคง
เจ้าโกหกข้า ! ซู่เหยียนมองเห็นความเจ้าเล่ห์ในสายตาของเขา และกล่าวถามด้วยความไม่แน่ใจ จากการกระทำต่อมาของหยางไค่ ทำให้สติของนางเริ่มอ่อนระทวยอีกครั้ง
สองมือของหยางไค่โอบอุ้มซู่เหยียนและยกร่างกายของนางขึ้นมา หมุนร่างกายของนางไปด้านหน้า โดยแผ่นหลังที่นวลเนียนของนางอยู่ตรงหน้าของเขา
ในตอนแรกหยางไค่ไม่ต้องการที่จะอยู่ในสภาวะที่อึดอัดเช่นนั้นกับนางจึงได้หมุนตัวของนางออกไป แต่เมื่อหยางไค่มองเห็นแผ่นหลังที่ขาวนวลเนียนของนาง สีหน้าของเขาเริ่มแสดงออกด้วยความตื่นเต้นและหิวกระหาย ดวงตาของเขาแดงก่ำอย่างสุดขีด
ในค่ำคืนที่จวนของซู่เหยียน แม้ว่าหยางไค่จะมองเห็นแผ่นหลังที่งดงามของหนาง แต่ในเวลานั้นนางยังสวมใส่เสื้อคลุมที่บางเบา แสงยังมืดสลัว ทำให้เขามองเห็นได้ไม่ชัด
แต่ในตอนนี้ นางอยู่ใกล้ชิดกับเขาอย่างแนบแน่น ทุกส่วนของแผ่นหลังของนางไม่คลาดสายตาจากหยางไค่แม้แต่น้อย
มันเป็นแผ่นหลังที่งดงามจนสามารถทะลายผืนฟ้าทะลายผืนดิน
เอวบางที่เย้ายวนอย่างสง่างาม รองรับกับหัวไหล่ที่มีเสน่ห์ ก่อเกิดเป็นเรือนร่างที่งดงามอย่างน่าหลงไหล ก้นสีขาวอันเต่งตึงของนาง ทำให้เส้นเชีพจรของเขากระตุกไปมาอย่างรุนแรง ด้านหลังและด้านหน้าของนางงดงามอย่างมิอาจเทียบเคียง มันเพียงพอที่จทำให้ชายหนุ่มคนหนึ่งลุ่มหลงและบ้าคลั่งกับสิ่งที่เขากำลังมองเห็น
ไม่เพียงเท่านี้ ในตอนนี้ แผ่นหลังที่ขาวนวลเนียนของซู่เหยียนถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงระเรือจากโลหิตที่สูบฉีดจากการเคลื่อนไหวอย่างเร้าร้อนเมื่อสักครู่ ทันใดนั้นผิวหนังสีแดงระเรื่อของนางสั่นระรัวไปมาเสมือนมีหงสาเมฆาเยือกเย็นที่มีชีวิตเวียนว่ายอยู่ภายใน อย่างไม่หยุด ในบางเวลามันจะหยุดที่ตำแหน่งหัวไหล่ของซู่เหยียนในบางเวลามันจะหยุดที่กลีบบุพผาของซู่เหยียน
มันคือหงสาเมฆาเยือกเย็นที่พลันหายไป
ทันใดนั้น หยางไค่เริ่มรู้สึกว่าแผ่นหลังของตนเองเริ่มร้อนลุ่มอย่างกะทันหัน
มันยังอยู่ภายในร่างกายของพวกเขา แต่ว่ามันแปรเปลี่ยนเป็นตราประทับที่ประทับอยู่บนร่างกายของพวกเขาทั้งสอง
หลังจากที่หยางไค่หยุดเคลื่อนไหวร่างกายเป็นเวลานานในที่สุดหยางไค่เริ่มเคลื่อนไหวร่างกายของเขาอีกครั้ง
ร่างกายส่วนล่างเต็มไปด้วยความชุ่มช่ำ กลิ่นอายแห่งความเร่าร้อนแพร่กระจายไปยังตำหนักศักดิ์สิทธิ์อันมหึมา เสียงของร่างกายที่สอดประสานรวมเป็นหนึ่งและเสียงครางเบาๆของซู่เหยียน ก่อให้เกิดเสียงที่น่าชวนฝันจนมิอาจหยุดยั้งการเคลื่อนไหวไปมาและขึ้นลงของร่างกาย
พวกเขาทั้งสองต่างมอบความสุขที่เพลิดเพลิ่นให้แก่กันและกัน พวกเขาทั้งสองต่างร้องขอการสอดประสานซึ่งกันและกันหย่างไม่หยุดยั้ง เสมือนปลาที่แหวกว่ายอยู่ในสายน้ำ ไม่แบ่งฐานะดร ไม่แบ่งสถานะ ไม่แบ่งความแข็งแกร่ง แต่ต่างถวิลหาซึ่งกันและกัน โดยมิอาจที่จะแยกจากกันได้
********************
ภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์อันมหึมา กลิ่นอายที่น่าหลงใหลยังมิทันที่จะเหือดหาย แต่หยางไค่และซู่เหยียนได้จัดการสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ของพวกเขาทั้งสองจนเสร็จสิ้น
ตรงหน้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์อันมหึมา มีกระจกน้ำแข็งที่ซู่เหยียนสร้างขึ้นจากพลังปราณจิตเย็นของตนเอง มันส่องประกายดังลูกแก้วที่สดใส ซู่เหยียนนั่งอยู่ตรงหน้าของกระจกน้ำแข็ง และจ้องมองตนเองในกระจกน้ำแข็งอย่างเงียบๆ
หญิงสาวที่อยู่ในกระจกคือหญิงสาวบริสุทธุ์ที่เพิ่งผ่านการลิ้มรสความสุขที่หอมหวานจากชายหนุ่ม ใบหน้าที่ขาวเนียนของนางถูกย้อมด้วยสีแดงระเรื่อ
หยางไค่ยืนข้างๆนาง กำลังช่วยนางสางผมสีดำที่ยาวสลวยของนาง
ไร้ซึ่งสุ้มเสียง แต่เต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ
งามอย่างมีเสน่ห์ ดวงตาที่งดงามของนางเยือก แข็งแกร่งมากกว่าเดิมไม่น้อย ยกเว้นขณะที่นางจ้องมองหยางไค่ ความเยือกเย็นเหล่านี้จะแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนในทันที
หยางไค่รับปิ่นปักผมของซู่เหยียน และปักลงไปยังผมเกล้าขึ้นจนเสร็จสรรพ
ซู่เหยียนเกล้าผมไม่เหมือนเช่นเคย ในครั้งนี้ซู่เหยียนเกล้าผมทั้งหมดไปยังด้านหลังศีรษะของนาง เผยให้เห็นลำคอที่ยาวเนียน มันเป็นการเกล้าผมของหญิงสาวที่ได้แต่งงานเข้าเรือนกับชายหนุ่มขอตนเอง
งดงาม !! หยางไค่กล่าวชม
ชอบไหม ?
ชอบ ! หยางไค่กล่าวตอบ และยื่นมือทั้งสองวางไปยังไหล่ที่กลมกลึงของซู่เหยียน
แม้ว่าทั้งสองจะผ่านความสัมพันธุ์ที่ลึกซึ้ง แต่ในขณะที่หยางไค่ต้องเผชิญหน้ากับซู่เหยียน เขายังคงรู้สึกกังวลเหมือนเช่นเดคย ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่ซู่เหยียนให้เขาในครั้งก่อน โดยมิอาจลบเลือนภายในระยะเวลาสั้นๆ
หลังจากที่วางมือไว้บนไหล่ที่กลมกลึงของซู่เหยียน ซู่เหยียนไม่ได้ขยับเขยื้อน มือของหยางไค่จึงค่อยๆเลื่อนต่ำลง
ภายในกระจกน้ำแข็ง มุมปากของซู่เหยียนเผยให้เห็นรอยยิ้มที่มีเลศนัย ในขณะที่สองมือของหยางไค่กำลังจะเลื่อนจับไปยังทรวงอกทั้งสองของนาง นางใช้สองมือของนางปกป้องไว้อย่างกะทันหัน
ซู่เหยียน . หยางไค่โน้มตัวลง ริมฝีปากของเขาค่อยเลื่อนเตะไปยังติ่งหู่ของนาง
เขาพบว่าตำแหน่งนี้ของซู่เหยียนไวต่อความรู้สึก เป็นตำแหน่งต้องห้าม ที่ไม่สามารถแตะต้องได้
ไม่ !! ซู่เหยียนหลีกเลี่ยงอารมร์ที่ครุ่กกรุ่นนี้ นางรู้ดีหากว่านางถูกหยางไค่จูบ ตนเองต้องกลายเป็นหญิงสาวที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในการต่อต้าน นางจะรีบกล่าวอย่างกะทันหัน : พวกเรามาตกลงเรื่องที่สมควรกันดีกว่า !!
เรืองที่สมควร ?ได้ !! หยางไค่เก็บสีหน้าที่กระหาย ก่อนจะนั่งลงเคียงข้างนาง
ซู่เหยียนยื่นมือสัมผัสไปยังชายหนุ่มที่ยึดครองร่างกายที่บริสุทธุ์ของนาง สายตาของนางราวกับอยู่ในภวังค์ นางจ้องมองหยางไค่อย่างยาวนานก่อนจะเอ่ยปกากล่วขึ้น : ปีนี้ เจ้าอายุเท่าไหร่ ?
หยางไค่สูดลมหายใจเข้าและกล่าวตอบ : 20 !!
สีหน้าของหยางไค่ไม่เป็นธรรมชาติ ดวงตาของเขาไม่มั่นคง หลังจากที่กล่าวจบเขายังได้กล่าวส่งเสริมอีกครั้ง : ไม่ได้โกหกเจ้า !!
ซู่เหยียนยิ้มอย่างแผ่วเบาจ้องมองนาง โดยไม่กล่าวสิ่งใด
เสมือนว่าในเวลานี้หยางไค่กำลังนั่งอยู่บนพื้นดินที่ขรุขระ ร่างกายของเขาไม่เป็นธรรมาชาติเหมือนเช่นเคย หลังจากนั้นสักครู๋เขาจึงกล่าวด้วยเสียงต่ำอย่างช่วยไม่ได้ : 15 กำลังจะย่างเข้าสู่ 16
ข้าอายุ 20 !! ข้าอายุมากกว่าเจ้า หลังจากนี้เจ้าต้องฟังข้า
เรื่องเล็กฟังเจ้า เรื่องใหญ่ฟังข้า มุมปากของหยางไค่เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์
ซู่เหยียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกรักและเอ็นดู มือที่นวลเนียนหยุดตรงหน้าของหยางไค่ : เจ้ายังเด็กเกินไป เจ้าผ่านประสบการณ์เรื่องราวที่ลึกซึ้งค่อนข้างเร็ว มันจะไม่ดีต่อตัวเจ้า
อายุไม่ใช่ปัญหา !! หยางไค่จ้องมองหน้าด้วยความรู้สึกที่เสน่ห์หา คิ้วของเขาขมวดไปมา การแสดงออกของเขาแฝงด้วยความนับที่ลึกซึ้ง : เจ้าก็ผ่านท่วงท่าและลีลาของข้ามาแล้ว
ใบหน้าของซู่เหยียนแดงก่ำ นางถลึงตาใส่หยางไค่ : ห้ามแกล้งข้าด้วยเรื่องเช่นนี้ !!
ข้าไม่ได้ทำ หยางไค่กล่าวอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากนี้อย่าคิดแต่เรื่องเช่นนี้
หยางไค่ถอนหายใจด้วยร่างกายที่อ่อนระทวย ราวกับว่าร่างกายของเขาไร้ซึ่งจิตวิญญาณ
เมื่อเห็นเช่นนั้น จิตใจที่เยือกเย็นของนางอ่อนลงในทันที นางกล่าวด้วยเสียงที่สั่น : เจ้าต้องสัญญากับข้าว่าอย่าคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้ อย่าทำให้การฝึกฝนวิชายุทธุ์ของเจ้าต้องถดถอยเพราะเรื่องเช่นนั้น ข้าจะ ไปหาเจ้าเดือนละ 1 ครั้ง
เดือนละ 5 ครั้งได้ไหม ? หยางไค่เริ่มต่อรอง
ซู่เหยียนจ้องมองหยางไค่ด้วยสีหน้าที่ราบเฉย โดยไม่กล่าวตอบสิ่งใด
4 ครั้ง .3 ครั้ง .ได้ได้ได้ เดือนล่ะ 2 ครั้งได้ไหม ?
ได้ เดือนละ 1 ครั้งก็ได้ !! แม้ว่าปากของหยางไค่จะตกลงกับข้อเสนอของนาง แต่ในใจของเขาไม่ยินยอม หากว่าเขาพบเจอกับนาง หากว่าปากของสัมผัสติ่งหูของนางนางคงจะอ่อนระรวยไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและกลายเป็นลูกแกะในกำมือของเขา
ข้าไม่ต้องการที่จะปิดกั้นความต้องการของเจ้า ข้าทราบดีว่าการฝึกฝนเคล็ดวิชาคู่เป็นผลดีต่อเราทั้งคู่ แต่ว่าร่างกายของเจ้าค่อนข้างอ่อนแอ รอให้เจ้าเติบโต รอให้ผ่านไปอีกหลายปี ข้าจะไม่ขอร้องให้เจ้าทำเช่นนี้อีก เสียงของซู่เหยียนอ่อนโยนและแผ่วเบา : เจ้าอดทนอีกหน่อยได้ไหม ?
สุ้มเสียงที่จริงเสมือนการข้อร้องอ้อนวอน
อืม หยางไค่พยักหน้า เขารู้ดีว่าซู่เหยียนทำเพื่อเขา หลายปีที่ผ่านมาหยางไค่ใช้ชีวิตในหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวอย่างยากลำบาก ร่างกายของตนเองค่อนข้างซูบผอม มันเป็นสาเหตุที่ทำให้ซู่เหยียนเข้าใจผิด
นอกจากนั้น เจ้าเพิ่งก้าวข้ามเขตแดนลมปราณหมุนเวียน
?
เรื่องนี้ข้าทราบดี หยางไค่ไม่ให้นางกล่าวต่อไป
ซู่เหยียนจ้องมองหยางไค่ นางพยักหน้าและกล่าว : เจ้าทราบก็ดี เขตแดนนี้ค่อนข้างพิเศษกว่าเขตแดนอื่นๆ ผู้ฝึกยุทธุ์ทุกคนต่างต้องพบเจอกับเรื่องราวเช่นนี้ เจ้าต้องระมัดระวังตนเองให้ดี
ในขณะที่กล่าว ซู่เหยียนลูบไล้ไปที่ลำคอของนางเบาๆ หลังจากนั้นจึงคลายจี้หยกของนาง และสวมไปยังลำคอหยางไค่