ตอนที่ 150 ฝึกฝน
ตอนที่ 150 ฝึกฝน
สองพี่น้องต่างปีนป่ายตามหลังหยางไค่อย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่ปีนป่ายบันไดสีทองกว่า 100 ขั้น ทั้ง 3 คนพบว่าการคาดการณ์ของหู่เจี่ยวเอ่อนั้นถูกต้อง ยิ่งปีนป่านสูงมากเท่าไหร่ พลังหยางที่ซ่อนเร้นอยู่ในบันไดสีทองจะแข็งแกร่งและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งต้องใช้พลังลมปราณจำนวนมากในการต่อต้านและสลายพลังหยางที่ร้อนระอุนั้น
เงยหน้ามองเบื้องบน ซึ่งมองเห็นขั้นบันไดสีทองจำนวนมากมายที่มิอาจนับได้ จิตใจของสองพี่น้องต่างโอดครวญด้วยความข่มขืน
ในทางกลับกัน หยางไค่เพลิดเพลินกับการปีนป่ายบันไดสีทองอย่างมาก หลังจากที่ปีนป่ายกว่า 100 ขั้น จุดตันเถียนของตนเองมีหยดน้ำพลังลมปราณหยางเพิ่มขึ้น 1 หยด มันล้วนเป็นพลังหยางที่พุ่งดันขึ้นมาจากฝ่าเท้าของเขาและดูดซับพลังเหล่านั้นกลั่นกรองเป็นหยดน้ำพลังลมปราณหยางและเก็บไว้ในจุดตันเถียนของเขา
หลังจากที่ปีนป่ายบันได้สีทองกว่า 300 ขั้น หยางไค่และสองพี่น้อยต่างเริ่มชะลอตัวในการปีนป่าย ทุกย่างก้าวที่พวกเขาปีนป่ายขึ้นไป จะมีพลังหยางที่ร้อนระอุพุ่งเข้าสู่ภายในร่างกายของพวกเขา จากขั้นบันไดสีทองที่สูงขึ้นเรื่อยๆ พลังที่ร้อนระอุเริ่มรุนแรงและแข็งแกร่งอย่างช้าๆ แต่มันยังไม่รุนแรงและแข็งแกร่งพอที่จะให้พวกเขาทั้ง 3 หยุดการเคลื่อนไหว
แต่มันเป็นประโยชน์ต่อหยางไค่ เพราะกลยุทธุ์หยางต้องการพลังหยางที่ร้อนระอุเช่นนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือหู่เหม่ยเอ่อ หู่เหม่ยเอ่อที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 2 แต่สามารถเดินข้ามขั้นบันได้สีทองกว่า 300 ขั้นได้อย่างง่ายดาย มันเหนือความคาดหมายของเขาอย่างยิ่ง
แต่หลังจากที่ผ่านการปีนป่ายบันได้สีทองกว่า 300 ขั้น พลังหยางที่ซ่อนเร้นอยู่ในบันไดสีทองเริ่มรุนแรงและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เมื่อพวกเขาทั้ง 3 ย่างกรายออกไปอีก 1 ขั้น พวกเขาจะหยุดพักสักครู่ก่อนที่ก้าวต่อไปอีก
เมื่อปีนป่ายบันไดสีทองกว่า 400 ขั้น สถานการณ์เช่นนี้เริ่มแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ทุกครั้งที่สองพี่น้องก้าวข้ามบันได้ 1 ก้าวพวกนางทั้งสองต้องหยุดพักประมาณ 3 ลมหายใจ เมื่อถูกคุกคามด้วยพลังหยางที่ร้อนระอุเป็นเวลานาน ทำให้ร่างกายของพวกนางเริ่มเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ แต่จากสภาพของพวกนางทั้งสอง พวกนางทั้งสองสามารถที่จะยืนหยัดและต่อต้านได้อีกต่อไป
ระหว่างที่หยางไค่ก้าวข้ามบันได้ เขาคอยนับจำนวนของขั้นบันได้อย่างเงียบๆภายในใจ
เขาเชื่อว่าบททดสอบในครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ หากว่ามันมีการทดสอบเพียงเท่านี้ มันคงเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับทุกคน ท่ามกลางบทสอบต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่ลึกลับและเต็มไปด้วยอันตรายรอคอยพวกเขาอย่างแน่นอน
ขั้นที่ 480 หู่เจี่ยวเอ่อและหู่เหม่ยหยุดการก้าวเดิน หู่เจี่ยวเอ่อจ้องมองหยางไค่ที่เพลิดเพลินกับปีนป่ายบัน จิตใจของนางเต็มไปด้วยความไม่พึงพอใจ
พวกนางทั้งสองเป็นคนกล่าวเองว่าจะปกป้องหยางไค่ แต่ทำไมเมื่อก้าวผ่านขั้นบันไดเหล่านี้พวกนางทั้งสองจึงดูเหมือนเหนื่อนล้ากว่าหยางไค่ ? แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความสุขและความเพลิดเพลิน
หยุดพักก่อนค่อยเดินทางต่อไป หยางไค่เหลือบมองที่หู่เจี่ยวเอ่อ
ไม่ต้อง !! หู่เจี่ยวเอ่อขบฟันแน่น ก่อนจะก้าวไปยังด้านหน้าของหยางไค่
หลังจากที่เดินก้าวข้ามบันไดประมาณ 10 ก้าว ในขณะที่หู่เจี่ยวเอ่อกำลังจะเหยียบย่ำไปยังบันไดขั้นที่ 500 ทันใดนั้นร่างกายของนางสั่นสะท้านไปมา
หยางไค่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงรีบดึงนางเอาไว้
ทั้งสองจ้องตาซึ่งกันและกัน และหู่เจี่ยวเอ่อได้กล่าวขึ้น : ทำไมถึงเปลี่ยนไป ?
คิ้วของหยางไค่กระตุกไปมา เขาไม่ได้กล่าวถามต่อไป แต่ตนเองกลับก้าวไปยังบันไดขั้นที่ 500 เพื่อสัมผัสการเปลี่ยนแปลงนั้นด้วยตนเอง ครั้งนี้พลังที่พุ่งดันเข้าสู่ฝ่าเท้าไม่ใช่พลังหยางที่ร้อนระอุแต่เป็นพลังหยินที่เยือกเย็น
ความเยือกเย็นที่ทิ่มแทงกระดูก
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน คือเหตุผลที่ทำให้หู่เจี่ยวเอ่อตกใจ
มันเป็นบททดสอบที่แท้จริง ? หยางไค่หัวเราะเบาๆ เขาไม่คาดหวังว่าพลังที่ซ่อนเร้นในบันไดสีทองจะเป็นพลังหยางที่ตนเองต้องการ หากเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่ฝึกฝนวิชายุทธุ์ที่เกี่ยวข้องกับพลังหยางก็สามารถขึ้นไปยังจุดสูงสุดของชั้นเมฆนี้
แต่ในสถานการณ์นี้แตกต่างกัน หลังจากปีนป่ายขั้นบันไดทั้งหมด 500 ขั้นกลับกลายเป็นพลังหยินที่เยือกเย็นที่พุ่งโจมตี มันเป็นการดำงอยู่ของพลังที่ต่อต้านพลังหยางอย่างแท้จริง
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังหยินที่เยือกเย็นพุ่งปะทะเข้าสู่ร่างกาย หยางไค่มีสองทางเลือกที่จะตัดสินใจ
ทางเลือกที่ 1 ใช้พลังลมปราณหยางที่อยู่ภายในร่างกาย สลายความเยือกเย็นให้อยู่ในอุณหภูมิที่อบอุ่น
ทางเลือกที่ 2 เคลื่อนไหวกลยุทธุ์หยาง กลั่นกรองพลังหยินที่เยือกเย็น ดูดซับเข้าไปในกระดูกทองคำ
แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด การสูญเสียพลังลมปราณในร่างกายเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ วิธีการที่สองต้องสูญเสียพลังลมปราณเป็นจำนวนมาก การสลายความเยือกเย็นเป็นวิธีการที่ง่ายยิ่งกว่า
หากว่าจุดตันเถียนของหยางไค่ไม่ได้กักเก็บหยดน้ำพลังลมปราณที่มากมายเช่นนี้ เขาคงจะใช้วิธีการแรก
แต่ในตอนนี้จุดตันเถียนของหยางไค่มีหยดน้ำพลังลมปราณหยางกว่า 100 หยด ทำให้เขาไม่ต้องกังวลถึงผลที่ตามมาในภายหลัง เขาสามารถใช้วิธีการที่ 2 ได้อย่างสบายอารมณ์
กลยุทธุ์หยางหมุนเวียน สลายพลังเยือกเย็นที่พุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขาและถูกหลอมละลายดูดซึมเข้าไปในกระดูกทองคำทันที
ไปกันเถอะ !! หยางไค่หันหน้ากลับไปยิ้มให้แก่หู่เจียวเอ่อและหู่เหม่ยเออ ก่อนจะก้าวนำพวกเขาออกไป
หู่เจี่ยวเอ่อจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่หงุดหงินก่อนจะกล่าวกระซิบกระซาบกับน้องสาวของนาง : เขากำลังภาคภูมิใจกับสิ่งใด ?
หู่เหม่ยเอ่อกล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่ขมขื่น : เขาไม่ได้แสดงกิริยาเช่นนั้น !!
เขากำลังแสดงกิริยาเช่นนั้น !! เจ้าเด็กบ้า เจ้ากล้าดูถูกข้า !! นางขบฟันไปมา และหมุนเวียนเคล็ดวิชาของพวกนางทั้งสองเพื่อต่อต้านความเยือกเย็นที่พุ่งเข้าสู่ร่างกายและไล่ตามหยางไค่อย่างไม่หยุด
ระยะเวลา 1 วัน พวกเขาทั้งสามปีนป่ายบันไดสีทองทั้งหมด 1000 ขั้น !!
ในขณะที่ก้าวมาถึงขั้นที่ 1000 หยางไค่ก้าวเท้าออกไปเพื่อทดสอบอีกครั้ง เขาพบว่ามันเป็นอย่างที่ตนเองคาดการณ์เอาไว้ พลังที่ซ่อนเรนอยู่ในบันไดสีทองขั้นที่ 1001 แปรเปลี่ยนเป็นพลังหยางทีร้อนระอุอีกครั้ง
การเปลี่ยนแลงของพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในบันไดสีทองจะแปรเปลี่ยนทุกๆ 500 ขั้น แต่พลังหยางและพลังหยินที่ซ่อนเร้นอยู่ในบันไดสีทองจะรุนแรงและแข็งแกร่งขึ้นเป็นทวีคูณ มันรุนแรงและแข็งแกร่งพอที่จะให้ศิษย์สาวกทั้ง 3 สำนักประมาณ 9 ส่วนตัดสินใจที่จะหยุดการปีนป่ายขึ้นไปยังจุดสูงสุดของบันไดสีทองนี้
มีเพียงศิษย์สาวกที่มีการบ่มเพาะพลังและเขตแดนในระดับสูง จึงจะสามารถใช้การบ่มเพาะพลังทั้งหมดของตนเองต่อต่อต้านพลังหยางและพลังหยานที่พุ่งโจมตีตลอดเวลาและก้าวมาถึงขั้นที่ 1000 ของบันไดสีทองนี้ได
ในความเป็นจริง ไม่มีทางที่หู่เหม่ยเอ่อจะปืนป่ายขึ้นมาถึงจุดนี้ แต่นางสามารถทำได้ นอกจากนั้นนางยังไม่รู้สึกอ่อนล้าหรืออ่อนเพลียแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นหู่เจี่ยวเอ่อที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริง สีหน้าของนางแสดงออกถึงความอ่อนล้าและความอ่อนเพลียอย่างมาก
พวกเขาทั้ง 3 ตัดสินใจที่จะพำพักอยู่ในจุดนี้เป็นเวลาครึ่งวัน
ในขณะเดียวกัน ในความสูงของขั้นบันไดสีทองจำนวน 3000 ขั้น มีเงาร่างสีขาวค่อยๆก้าวเดินไปยังจุดสูงสุดอย่างช้าๆ การก้าวเดินปีนป่ายของนางแพร่กระจายกลิ่นอายที่เงียบสงบออกมาอย่างต่อเนื่อง เสมือนว่าพลังที่ซ่อนอยู่ในบันได้สีทองไม่อาจหยุดยั้งและทำอันตรายต่อนางได้
เสื้อผ้าของนางปลิวไสวตามแรงลม สีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่นางจะใช้มือสางเส้นผมของนางให้กลับมาอยู่ที่หลังหูเหมือนเดิม โดยปลดปล่อยกลิ่นอายที่เยือกเย็น การกระทำที่นางแสดงออกไม่มีท่าทีหอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยหรืออ่อนล้าแม้แต่น้อย
เสียงโจมตีดังออกมาจากฝ่าเท้าของนาง พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในบันไดสีทองกำลังพุ่งเข้าสู่ร่างกายของนาง แต่ในขณะที่มันกำลังพุ่งเข้าสู่ร่างกายของนางพลังเหล่านั้นเสมือนลมวายุในม่านเมฆที่มลายหายไปในทันที
ใบหน้าของนางงดงามอย่างประณีต ทำให้ท้องฟ้าที่งดงามแปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิดในทันที ผิวของนางยังละเอียดอ่อนขาวเนียนดังหยกหิมะที่บริสุทธุ์ ดั่งหยกมรกตที่ล้ำค่า ราวกับตุ๊กตาน้ำแข็งหิมะที่ล้ำค่าจนไร้ซึ่งฐิติ
นางคือ ซู่เหยียน !!
ซู่เหยียนที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาปราณจิตเย็นคล้ายคลึงกับหยางไค่ ภายใต้การทดสอบของพลังหยางที่ร้อนระอุและพลังหยินที่เยือกเย็น พวกเขาทั้งสองต่างสองต่างครอบครองความได้เปรียบจากการฝึกฝนวิชายุทธุ์ของตนเอง
ท่ามกลางศิษย์สาวก 700 -800 คน ศิษย์สาวกที่ฝึกฝนวิชายุทธุ์ที่เกี่ยวข้องกับพลังหยินและพลังหยางไมได้มีเพียงหยางไค่และซู่เหยียนทั้งสองคน แต่เมื่อมาถึงตรงนี้ คนเหล่านี้ต่างตระหนักถึงความได้เปรียบของพวกเขา แต่การบ่มเพาะพลังและเขตแดนของคนเหล่านั้นต่างมีความสูงต่ำที่แตกต่างกัน วิชายุทธุ์ของพวกเขาต่างมีข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบ ไม่มีใครที่สามารถก้าวไปยังบันได้สีทองขั้นที่ 3000 เฉกเช่นซู่เหยียนได้
ระยะทางของบันไดสีทองขั้นที่ 2000 มีเงาร่างของศิษย์สาวกหลายๆคน
เจี่ยหงเฉินที่มีใบหน้าที่แดงก่ำจากความร้อนระอุ เขาหอบหายใจและถอนหายใจอย่างหนักหน่วง และกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในขั้นบันไดสีทอง และกำลังใช้โอสพวิเศษในการฟื้นฟูพลังลมปราณที่สูญเสียไป
มรดกแห่งฟ้าสวรรค์ต้องเป็นของข้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ต้องเป็นของข้า !! เมื่อได้รับมรดกแห่งฟ้าสวรรค์ ข้าเจี่ยหงเฉินจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับ 1 แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ย หอวายุพิรุณและนิกายโลหิต ! ข้าจะมีอำนาจพลังที่แข็งแกร่งที่สามารถโยกย้ายศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวไปยัง 2 สำนักที่เหลือ และข้าจะสามารถการปราบปรามนิกายโลหิตและหอวายุพิรุณให้อยู่ภายใต้การปกครองของข้า !!ข้าจะทำให้คนที่ล่วงเกินข้าตายโดยไม่มีที่ฝังศพ !!หยางไค่เจ้าจะเป็นคนแรกที่ต้องตาย !! ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าเจี่ยหงเฉิน จะเป็นจักรพรรดิสูงสุดแห่งใต้หล้านี้ !!
เจี่ยหงเฉินดูเหมือนคนเสียสติ พลังลมปราณภายในร่างกายเคลื่อนไหวด้วยความวุ่นวายและความผันผวนที่รุนแรง เขตแดนในระดับเช่นเจี่ยหงเฉินโดยทั่วไปจะไม่เกิดสถานการณ์เช่นนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีเพียงผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณจึงจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น
ฉากเหตุการณ์ที่ที่ศิษย์สาวกทั้ง 3 สำนักต่อสู้กับสัตว์ปีศาจ ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเขา
เขามองเห็นศิษย์ทั้ง 3 สำนักต่างร่วมมือการต่อสู้เพื่อกำราบสัตว์อสูร สิ่งที่เขามองเห็นมีเพียงการสายตาที่ดูหมิ่นเกลียดชังจากพวกเขาทั้งหลาย เพราะเจี่ยหงเฉินเป็นคนที่ทำให้สัตว์อสูรเกรี้ยวโกรธและอาละวาด แต่ท้ายที่สุดมันถูกหมัดที่มีพลังอำนาจที่แข็งแกร่งโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งทำให้ศิษย์สาวกทั้ง 3 สำนักมีโอกาสฆ่าสัตว์อสูร
แม้ว่าตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ จะไม่มีใครเข้ามากล่าวติเตียนหรือพูดคุยกับเขา แต่ความเงียบงำที่ไร้ซึ่งสุ้มเสียงเช่นนี้ทำให้ความเกรี้ยวโกรธและความเกลียดชังของเจี่ยหงเฉินยากที่จะหมดไปจากจิตใจของเขา ศิษย์สาวกจำนวนมากมายที่เคยเคารพนับถือเขา กลับใช้สายตาที่ไม่เหมือนเช่นเคยในการจ้องมองเขา เสมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ
สิ่งที่เกิดขึ้นยากที่จะให้เจี่ยหงเฉินยอมรับ !!ไม่มีใครที่จะสามารถใช้สายตาเช่นนี้ในการจ้องมองเขา !ไม่มีใครทั้งนั้น !!
เบื้องบนของเจี่ยหงเฉินที่ห่างกันประมาณ 100 ขั้นฟางจือชิกำลังหอบหายใจอย่างหนักหน่วง จากการย่างกรายของเขาทุกๆก้าว ร่างกายของเขาสั่นสะท้านโดยมิอาจฝืนทนได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลายพลังแห่งความเยือกเย็นที่คอยแทรกซึมเข้าไปยังร่างกายภายในของเขา แม้แต่คิ้วของเขายังกลายเป็นสีขาวของเกล็ดน้ำแข็งที่เยือกเย็น
อั๊ย พักก่อนเถอะ !! ฟางจือชิแสดงสีหน้าอย่างเรียบเฉย เขารู้ดีว่ามรดกแห่งฟ้าสวรรค์ขึ้นอยู่กับโชคชะตา มันไม่ถูกตัดสินจากการบ่มเพาะพลังและเขตแดนที่สูงต่ำอย่างที่ทุกคนเข้าใจ
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะมีความปรารถนาที่จะครอบครองมรดกแห่งฟ้าสวรรค์ แต่เขาไมได้ลุ่มหลงจนบ้าคลั่งเช่นเจี่ยหงเฉิน
สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนเป็นด่านทดสอบสำหรับผู้ฝึกยุทธุ์ที่ฝึกฝนวิชายุทธุ์แห่งพลังหยินและพลังหยาง !! ฟางจือชิกล่าวไปด้วยและดึงโอสพฟื้นฟูลมปราณจากทรวงอกของเขาและกลืนเข้าไปในปาก : บ้าเอ้ย แล้วข้าจะเข้าร่วมด่านทดสอบแห่งนี้เพื่ออะไร ? มันเป็นการเสียเวลาโดยใช้เหตุ ? ข้านำพาศิษย์สาวกคนอื่นๆไปค้นหาสมบัติวิเศษในถ้ำแห่งมรดกฟ้าสวรรค์จะยังดีเสียกว่าอีก !!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาพบว่ามันมีเหตุผลและความเป็นไปได้มากกวา หลังจากนั้น ฟางจือชิลุกขึ้น และไม่ปีนป่ายขึ้นนไปอีก แต่เขากลับค่อยๆโผบินไปยังเบื้องล่าง หลังจากนั้นไม่นานเขาได้ออกจากบันไดสีทองที่ไม่จุดสิ้นสุดนี้
หลังจากที่มาถึงพื้นดินเบื้องล่าง เขามองเห็นตู่ยี่ฉางที่มีหน้าตาที่เศร้าโศกซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอย่างนิ่งสงบ
ย๊าก ศิษย์น้องตู่ ทำไมเจ้าถึงออกมาจากบันไดสีทองนั้นละ ? ฟางจือชิกล่าวถามด้วยความประหลาดใจ
ตู่ยี่ฉางจ้องมองฟางจือชิด้วยสายตาที่เย็นชา เมื่อหวนคิดถึงการกระทำของศิษย์พี่คนนี้ ใบหน้าของนางแดงก่ำในทันที หน้าเบือนหน้าหนีและกล่าวพึมพำโดยไม่สนใจฟางจือชิแม้แต่น้อย
มามามา ศิษย์พี่ยังหาคนที่จะเคียงข้างไม่ได้ โชคดีที่เจ้าอยู่ที่นี้ !! ฟางจือชิก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะดึงตู่ยี่ฉางเข้า และโอบกอดนางโดยสนใจความรู้สึกของนางแม้แต่น้อย
ศิษย์พีกำลังทำอะไร ? ตู่ยี่ฉางดิ้นรนต่อต้าน แต่นางจะสามารถหลบหนีจากอ้อมกอดที่พันธนากานางเอาไว้ได้อย่างไร ? มือของเปรียบเสมือนเหล็กกล้าที่กอดรัดเอวของนาง กลิ่นอายที่เร่าร้อนของชายหนุ่มโชยออกมาจนทำให้หัวใจของตู่ยี่ฉางเต้นกระตุกไปมาอย่างรุนแรง
ปล่อยข้าน่ะ หากยังไม่ปล่อยข้าจะกัดแขนของท่าน !! ตู่ยี่ฉางกล่าวอย่างดุดัน เสมือนพยัคฆ์ตัวน้อยที่กำลังสยายเขี้ยวเล็บของตนเองออกมา
บุรุษกำลังทำบางสิ่งบางอย่าง สตรีต้องปิดปากห้ามกล่าวพูด ติดตามข้าก็เพียงพอ !! ฟางจือชิกล่าวอย่างกระหายอำนาจ
เสมือนจิตวิญญาณของตู่ยี่ฉางหลุดลอย นางไม่ได้ดิ้นรนต่อต้านเมื่อครั้งที่ผ่านมา
เบื้องบนบันไดสีทองที่ไม่ถึง 2000 ขั้น หล่งจ้วนแห่งนิกายโลหิตกำลังนั่งพักฟื้นพลังลมปราณของตนเอง บุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์อัจฉริยะที่มีความสามารถที่แข็งแกร่งแห่งสำนักทั้ง 3 พลังความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ต่างกันมาก ดังนั้นระยะห่างระหว่างขั้นบันไดที่กำลังปีนป่ายจึงไม่แตกต่างกันมาก
เมื่อเทียบกับเจี่ยหงเฉินที่กำลังบ้าคลั่ง ฟางจือชินั้นแตกต่างจากเขามาก ใบหน้าที่กังวลของหล่งจ้วนเต็มไปด้วยความคาดหวังเล็กๆ เขาไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถขึ้นไปยังจุดสูงสุดโดยสวัสดิภาพหรือไม่
หากว่าตนเองสามารถทำได้มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับเขา แต่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหล่งจ้วนไร้ซึ่งความมั่นใจ ท่ามกลางศิษย์สาวกทั้ง 3 สำนักแม้ว่าพลังความแข็งแกร่งของเขาจะอยู่ในระดับสูง แต่ว่าอายุของเขามากกว่าคนอื่นๆ หากกล่าวอย่างจริง หล่งจ้วนไม่ได้โดดเด่นหรือเก่งกล้าสักเท่าไหร่
นอกจากศิษย์ที่อยู่ในระดับสูง ศิษย์สาวกคนอื่นๆต่างอยู่ในขั้นบันไดสีทองประมาณขั้นที่ 1000
หยางไค่และสองพี่น้องแห่งนิกายโลหิตต่างอยู่ในตำแหน่งประมาณนี้
ยังมีศิษย์สาวกที่กำลังปีนป่ายดิ้นรนอยู่ในขั้นบันไดสีทองที่ต่ำกว่าระดับ 1000 จำนวนมากมาย ทุกย่างก้าวของพวกเขาต้องสูญเสียพลังลมปราณจำนวนมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพักฟื้นเป็นเวลานานจึงจะสามารถเดินทางต่อไปได้
แต่ การเดินทางที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและความทุกข์ทรมาณ ก่อให้เกิดผลลัพธุ์ที่ดีต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก ภายใต้การทดสอบจากบันไดสีทอง ไม่เพียงสามารถคัดเลือกผู้ที่จะได้ครอบครองมรดกแห่งฟ้าสวรรค์ การอดทนต่อความยากลำบากโดยไม่ท้อถอย ทำให้พวกเขามีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับผลประโยชน์อย่างมากในการเดินทางยากลำบากและทุกข์ทรมาณเช่นนี้
มันเป็นการฝึกฝนความเข้มแข็งให้แก่จิตใจ
หล่างฉู่วเต่กำลังดิ้นรนอยูในบันไดสีทองขั้นที่ 100 หญิงสาวที่มีรูปร่างที่เย้ายวน ใบหน้าที่งดงาม ในเวลานี้ศีรษะของนางเต็มไปด้วยไอแห่งความเยือกเย็น ร่างกายของนางสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ แต่นางยังคงกัดฟันอดทนต่อไปโดยปฏิเสธที่จะยอมแพ้ต่อความยากลำบากและความทุกข์ทรมาณในครั้งนี้
ทุกครั้งที่นางนึกถึงสายตาที่เยือกเย็นของหยางไค่ ทำให้จิตใจของนางค่อนข้างที่จะเจ็บปวด
สองมือของนางกำหมัดไว้แน่น หอบหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนที่จะก้าวเท้าขึ้นไปยังขั้นบันไดที่สูงกว่า
นางเป็นหญิงสาวที่มีความทะเยอะทะยาน และยินดีที่จะพึ่งพายอดฝีมือที่แข็งแกร่ง แต่นั่นเป็นความผิดของตนเองหรือไง ? ตัวนางเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง !! คุณสมบัติไม่ดีเท่าที่ควร หลังจากที่เข้าสู่หอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว พยายามตั้งใจฝึกฝนด้วยความยากลำบากจนมาถึงวันนี้ ซึ่งมีพลังความแข็งแกร่งเพียงเขตแดนลมปราณหมุนเวียนขั้นที่ 7 เท่านั้น พลังความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้ในสายตาของยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งมันจะเทียบค่ากับสิงใดได้อีก ?
นางต้องพึงพายอดฝีมือที่แข็งแกร่ง เพียงต้องการหาที่พึ่งพาของตนเองเท่านั้น มันเป็นเพียงทางเลือกเดียวในการอยู่รอดอย่างปลอดภัยของหญิงสาวคนหนึ่ง
นางไม่ใช่ซู่เหยียน ไม่ใช่หญิงสาวที่ทุกคนต่างจ้องมองด้วยสายตาที่เคารพและชื่นชม นอกจากความชาญฉลากของาง ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถพึ่งพาได้อีกต่อไป
เรือนร่างที่ทำให้ชายหนุ่มจ้องมองอย่างไม่กระพริบตา เรือนร่างที่ทำให้หญิงสาวอิจฉาในความเย้ายวนของนาง แต่หล่างฉู่วเต่ไม่เคยคิดว่ามันเป็นคุณสมบัติที่ดี หากสามารถทำได้ นางไม่ต้องการรูปร่างหน้าที่งดงามและเย้ายวนนี้
มันกระต้นความปรารถนาของชายหนุ่ม กระตุ้นความอิจฉาริษยาของหญิงสาว
เมื่อหลายวันกอน ภายใต้สถานการณ์แห่งความเป็นความตาย ตัวนางนิ่งเงียบไป โดยไม่มีใครยื่นมือช่วยเหลือเขา หรือว่า คำกล่าวของตนเองในวันนั้น จะทำให้หยางไค่ใช้สายตาที่เย็นชานั้นจ้องมองนางทุกครั้งไป
ฮึฮึ ศิษย์น้องที่มีจิตใจคับแคบ !! ทำไมเจ้าถึงไม่หัดเป็นคนใจกว้างมากกว่านี้
ไม่สามารถพึงพาใครได้ มีเพียงตนเองที่แปรเปลี่ยนเป็นคนแข็งแกร่ง จึงเป็นความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง !!
กลิ่นอายที่ไร้ซึ่งรูปร่างพุ่งออกมาจากร่างกายของหล่างฉู่วเต่ มันโอบรอบร่างกายของนางและเคลื่อนไหวไปมา หล่างฉู่วเต่แสดงสีหน้าด้วยความตื่นตะลึง ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความสุข
ภายใต้การครุ่นคิดที่วุ่นวาย ในที่สุดนางก็สามารถก้าวข้ามเขตแดนของตนเอง ไปยังเขตแดนลมปราณหมุนเวียนขั้นที่ 8
สีหน้าของนางแสดงออกด้วยความตื่นเต้น นางหลับตา เพื่อสัมผัสการเปลี่ยนแปลงในการก้าวข้ามเขตแดน
ให้ตนเองแปรเปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งในสถานที่แห่งนี้ !!!
นางก้าวเดินอีกครั้ง ซึ่งรวดเร็วกว่าก่อนหน้านั้นอย่างมาก จิตใจที่เต็มไปด้วยเรื่องที่เจ็บปวดใจ ถูกแทนทีด้วยความดีใจอย่างถึงที่สุด
หลังจากที่พำพักกว่าครึ่งวัน หยางไค่และสองพี่น้องแห่งนิกายโลหิตเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
หลังจากผ่านมากกว่า 1000 ขั้น ความรู้สึกแห่งความกดดันเริ่มแสดงออกมาอย่างชัดเจน พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในบันไดสีทองมีพลังความแข็งแกร่งทีค่อนข้างรุนแรง ในตอนแรกสองพีน้องยังไม่ต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน แต่หลังจากที่ยิ่งปีนป่ายขึ้นสูงพวกเขาทั้งสองต้องพักฟื้นเป็นเวลาที่ยาวนานยิ่งขึ้น
หยางไค่ก็เช่นกัน
แม้ว่าเขาจะฝึกฝนวิชายุทธุ์แห่งพลังหยาง แต่เพราะการบ่มเพาะพลังและเขตแดนของเขาอยู่ในระดับต่ำ แตกต่างกับซู่เหยียนที่ก้าวข้ามขั้นบันไดสีทองเสมือนเมฆที่ล่องลอยขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นการเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงลดลงและไม่ได้รวดเรวเหมือนในตอนแรก โดยที่ไม่มีใครเป็นภาระให้แก่ใคร
พวกเขากัดฟันอดทนจนมาถึงขั้นที่ 2000 พวกเขาจึงหยุดเพื่อพักฟื้นอีกครั้ง
การเดินทางที่ผ่านมาเมื่อสักครู่ พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในขั้นบันได้ทุกๆ 5 ขั้นจะมีพลังที่แตกต่างกัน ความเยือกเย็นและความร้อนระอุสลับกันไปมา ทำให้คนที่เริ่มปรับตัวได้กับสภาพพลังที่พ่งุโจมตีเข้ามาต้องปรับตัวใหม่อีกครั้ง
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงทำให้ร่างกายของพวกเขาต้องสูญเสียพลังลมปราณเป็นจำนวนมาก มันยังเป็นการทดสอบจิตใจของพวกเขาอีกด้วย
สองพี่น้องแห่งนิกายโลหิตหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้าอย่างไม่หยุด ทรวงอกของพวกนางกระเพื่อมไปมา แต่ว่าหยางไค่กลับมีสีหน้าที่เรียบเฉย แม้ว่าเขาจะสูญเสียพลังลมปราณไปเป็นจำนวนมาก แต่หยดน้ำพลังลมปราณหยางที่กักเก็บไว้ในจุดตันเถียนเพียงพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เจ้าไม่เหนื่อย ? หู่เจี่ยวเอ่อกล่าวถามอย่างอดไม่ได้ ตั้งแต่การเหยียบย่ำขันบันไดขั้นที่ 1 จนถึงตอนนี้ หยางไค่ไม่เคยแสดงอาการที่เหนื่อยล้าออกมา มันทำให้นางแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก
ก่อนหน้าที่พวกนางทั้งสองจะได้รับมรดกแห่งฟ้าสวรรค์ หู่เจี่ยวเอ่อไม่มีทางเชื่อว่าน้องสาวของตนจะสามารถปีนป่ายมาถึงจุดนี้ นางคงจะหยุดการก้าวเดินตั้งแต่ขั้นที่ 1000
แต่ว่าหยางไค่อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มเช่นเดียวกัน ระหว่างทางนางไม่เคยเห็นหยางไค่กลืนกินโอสพวิเศษ ร่างกายของเขาจะมีพลังลมปราณที่มากมายเช่นนั้นได้อย่างไร ?
ก็ยังดี หยางไค่นั่งอยู่บนบันได้เพื่อฟื้นฟูพละกำลังและจิตวิญญาณของเขา เขากล่าวตอบโดยไม่เหลี้ยวแล
ตัวประหลาด !! หู่เจี่ยวเอ่อหัวเราะอย่างข่มขื่น !!