ตอนที่แล้วตอนที่ 147 มรดกแห่งฟ้าสวรรค์ที่แท้จริง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 149 ทดสอบ

ตอนที่ 147 สุภาพบุรุษ


ตอนที่ 147 สุภาพบุรุษ

ราวกับว่ามารปฐพีรู้ซึ้งถึงความคิดภายในใจของหยางไค่ มารปฐพีจึงกล่าวอย่างช้าๆ : นายน้อยไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องนี้ เพราะมรดกแห่งฟ้าสวรรค์สิ่งที่สำคัญที่สุดคือโชคชะตา ผู้ที่มีโชคชะตาที่จะได้รับมรดกฟ้าสวรรค์แม้นว่าเขาการบ่มเพาะพลังและเขตแดนของเขาจะอยู่ในระดับต่ำไม่ว่าอย่างเขาก็สามารถครอบครองมรดกแห่งฟ้าสวรรค์ แต่หากคนผู้นั้นเป็นคนไร้ซึ่งโชคชะตาที่จะได้รับมรดกแห่งฟ้าสวรรค์แม้นว่าการบ่มเพาะพลังและเขตแดนของเขาจะอยู่ในระดับสูงมากเพียงได้ เขาก็ไม่มีวันที่จะครอบครองมรดกแห่งฟ้าสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์นี้ไปได้ นายน้อย หรือว่านายน้อยลืมโชคชะตาที่สองสาวน้อยนั้นได้รับเมื่อหลายวันก่อนที่ผ่านมา ?

ดวงตาของหยางไค่ประกายด้วยความกระจ่างในทันที

โชคชะตาที่หู่เจี่ยวเอ่อและหู่เหม่ยเอ่อได้รับมรดกแห่งฟ้าสวรรค์หยางไค่เห็นมันกับตา ตนเองพำพักอยู่ในถ้ำเป็นเวลาหลายสิบวันแตกลับไม่พบร่องร่อยของมรดกแห่งฟ้าสวรรค์ แต่ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในถ้ำ พวกเขากลับได้รับมรดกฟ้าสวรรค์เสมือนว่าถูกลิขิตกำหนดไว้

อืม ข้าทราบแล้ว หยางไค่พยักหน้าเบาๆ เขาปล่อยความวิตกกังวลออไป และเหลือบมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบนอีกครั้ง และหาพื้นที่เงียบสงบในบริเวณใกล้เคียง นั่งขัดสมาธิลงไป

ในเมื่อต้องแย่งชิงมรดกแห่งฟ้าสวรรค์ ตนเองจึงต้องฟื้นฟูพลังความแข็งแกร่งให้กลับมาเหมือนเดิม

บันไดสีทองที่อยู่ในชั้นเมฆ กว่าที่มันจะสยายลงมาถึงพื้นล่างคงต้องใช้เวลาประมาณ 3 วัน นั้นหมายความว่าเขาจะมีเวลา 3 วันในการฟื้นฟูพลังความแข็งแกร่งของตนเอง

ซู่เหยียนจ้องมองหยางไค่ด้วยความประหลาดใจ นางครุ่นคิดสักครู่ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากฝูงชนที่มากมาย หาพื้นที่ที่เงียบสงบซึ่งไมห่างจากหยางไค่มาก และนั่งลงเพื่อฟื้นฟูพลังความแข็งแกร่งของตนเอง

เมื่อมองเห็นหยางไค่และซู่เหยียนกระทำเช่นนี้ ยอดฝีมือรุ่นเยาว์คนอื่นๆจะสามารถละทิ้งศักดิ์ศรีและความทะเยอทะยานของตนเองได้อย่างไร ? พวกเขาต่างจ้องมองไปยังซู่เหยียนและหยางไค่เช่นเดียวกับศิษย์คนอื่นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจิตใจของพวกเขายังเติบโตและแข็งแกร่งเช่นหยางไค่และซู่เหยียน

หลังจากนั้นยอดฝีมือคนอื่นๆต่างกระแอ่มไอเบาๆ ก่อนจะหาพื้นที่บริเวณที่สงบนั่งขัดสมาธิลงไป เหลือเพียงศิษย์สาวกสามัญทั่วไปที่รวมกลุ่มกันซึ่งกำลังกล่าวสนทนาออกความคิดเห็นภายใต้ความวุ่นวาย ความตื่นตะลึงและความหวาดกลัว

และไม่รู้ว่าหู่เจี่ยวเอ่อและหู่เหม่ยเอ่อคิดเช่นไร พวกนางทั้ง 2 ต่างวิ่งไปนั่งเคียงข้างกับหยางไค่อย่างรวดเร็ว

หยางไค่ลืมตาจ้องมองพวกนางทั้ง 2 สองพี่น้องที่มีหน้าตารูปร่างกลิ่นอายทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายคลึงกันกำลังยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวาน จนหยางไค่มิอาจแยกแยะว่าใครเป็นใคร

หลังจากนั้นหยางไค่หลับตาลงไปและไม่ลืมตาอีกเลย

เกิดอะไรขึ้น? มีคนคนหนึ่งกล่าวด้วยความไม่พอใจในทันที เมื่อหยางไค่มองเห็นการกระทำของเขาหยางไค่รู้ในทันทีว่านางคือหู่เจี่ยวเอ่อ : พวกเราทั้งสองมานั่งเคียงข้างเจ้า ถือเป็นความโชคดีของเจ้า ทำไมเจ้าถึงแสดงสีหน้าหน้าตาที่น่าเกลียดเช่นนั้น ?

หยางไค่หัวเราะอย่างขมขื่นและเอ่ยปากกล่าว : หญิงสาวทั้งสองที่มีเสน่ห์เย้าย้วและหอมหวานเสมือนบุพผาที่บานสะพรั่งอย่างงดงาม บุพผาที่งดงามทั้งสองมานั่งเคียงข้างข้าถือเป็นเกียรติอันสูงสุดของเข้า ข้าจะกล้าแสดงสีหน้าที่น่าเกลียดได้อย่างไรกัน ?

หลังจากที่ใกล้ชิดกับสองพี่น้องเป็นเวลานาน พวกเขารู้สนิทสนมกันมากขึ้น พวกเขาไม่ใช่คนแปลกหน้าเหมือนก่อน บางคำพูดก็สามารถกล่าวออกมาอย่างไม่เคอะเขิล

เมื่อได้ยินดังนี้ หู่เจี่ยวเอ่อเม้มปากไปมาและถลึงตาใส่หยางไค่ด้วยความน่าเอ็นดู : ปากของเจ้าช่างหวานหยดย้อย !!

หู่เหม่ยเอ่อกล่าวตอบเช่นกัน : เดิมข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนเถรตรง ไม่คิดว่าคำกล่าวของเจ้าจะกะล่อนเช่นนี้

หยางไค่กล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง : มันไม่ใช่คำกล่าวที่ประจบประแจงแต่เป็นคำกล่าวที่ข้ากล่าวออกมาจากใจจริง

สองพี่น้องดีใจอย่างยิ่งและยิ้มอย่างงดงามเสมือนบุพาผาที่บานสะพรั่งอย่างไม่โรยรา ทรวงอกของนางทั้งสองกระเพื่อมไปมากลิ่นกายที่หอมหวานยังโชยออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับว่าพวกนางทั้งสองเป็นนางเซียนที่คอยมอบสีสันและความสุขให้แก่คนในโลกนี้

หยางไค่เปลี่ยนหัวข้อในการสนทนา : แตต่ดูเหมือนว่ากลุ่มคนแห่งนิกายโลหิตไม่ชื่นชอบข้าเป็นอย่างมาก !!

พวกนางทั้งสองมองตาซึ่งกันและกัน ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเดียวกัน : เจ้าหวาดกลัว ?

หยางไค่กล่าวด้วยเสียงหัวเราะ : ข้าไม่กลัว แต่พวกเขาไม่มีเหตุผลในการโกรธแค้นข้า พวกเขาจะโกรธแค้นข้าเพื่ออะไร ?

หู่เจี่ยวเอ่อกล่าว : ในเมื่อเจ้าล่วงเกินศิษย์สาวกชายคนอื่นๆแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวไปแล้ว หากเจ้าล่วงเกินศิษย์สาวกชายแห่งนิกายโลหิตเพิ่มเข้าไปอีก มันจะเป็นอะไรไป ?

นางกำลังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ตนเองฉาบโฉยโอกาสในขณะที่ช่วยเหลือซู่เหยียน

หยางไค่หัวเราะด้วยสีหน้าที่ขมขื่น

หู่เจี่ยวเอ่อหัวเราะอย่างสนุกสนานนางมองไปยังหู่เหม่ยเอ่อและกล่าว : ให้ข้าจูบเจ้าสักครั้งไหม เพื่อให้ศิษย์สาวกชายคนอื่นๆอิจฉาเจ้ายิ่งขึ้น ?

หยางไค่เหลือบมองไปที่หู่เจี่ยวเอ่อก่อนจะยื่นหน้าเข้าหานางและกล่าว : มันเป็นสิ่งที่ข้าต้องการอย่างสุดหัวใจ !!

ทันใดนั้นใบหน้าของหู่เจี่ยวเอ่อแดงก่ำนางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคือง : ฝันไป !!

พอได้แล้ว ท่านพี่หยุดหยอกล้อกันซักที ให้เขาพักฟื้นก่อนเถอะ บาดแผลของเขายังไม่หายดี หู่เหม่ยเอ่อดึงแขนพี่สาวของนางไปมา นางทนไม่ได้ทีพี่สาวของนางหยอกล้อกับหยางไค่เช่นนี้

หู่เจี่ยวเอ่อจึงละสายตาจากหยางไค่และค่อยๆหลับตาของตนเอง

หยางไค่และหู่เหม่ยอ่อยิ้มให้แก่กัน ก่อนจะปรับตำแหน่งที่นั่งของตนเองและเริ่มหลับตาฟื้นฟูพลังความแข็งแกร่งของตนเอง

จากเวลาที่ไหลผ่านไป ศิษย์สาวกทั้ง 3 สำนักต่างสูญเสียความอยากรู้อยากเห็นและความตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ พวกเขาทั้งหมดต่างนั่งขัดสมาธิและฟื้นฟูลมปราณของตนเอง แต่พวกเขาลืมตาเพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของบันไดสีทองเป็นบางครั้ง

สองวันผ่านไป หยางไค่รู้สึกว่ามีคนคนหนึ่งเดินมาหยุดตรงหน้าของเขา เขาค่อยๆลืมตาขึ้น ซึ่งมองเห็นตู่เย่วฉางและบุรุษหน้าตาหล่อเหลาแห่งหอวายุพิรุณ

บุรุษผู้นี้คือฟางจือชิที่จะมอบโอสพแห่งสัตว์อสูรให้แก่เขา

หยางไค่ อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ? ตู่ยี่ฉางกล่าวถามด้วยความจริงใจ

ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง หยางไค่ยิ้มให้แก่นางสายตาหยุดลงที่ฟางจือชิ ก่อนจะยกมือคำนับ : ศิษย์พี่ท่านนี้คือศิษย์พี่ฟาง ?

ก่อนหน้านี้หยางไค่ไม่เคยรู้จักฟางจือชิ แต่การแสดงออกด้วยความปราถนาดีของเขาเมื่อสองวันก่อนหยางไค่สัมผัสได้อย่างชัดเจน ดังนั้นหยางไค่จึงไม่รู้สึกอึดอัดเวลาที่กล่าวสนทนากับเขา

ใช่ ข้าเอง ฟางจือชิกล่าวตอบอย่างมีมารยาท และหัวเราะเบาๆ : หมัดของศิษย์น้องเมื่อสองวันก่อนเต็มไปด้วยอำนาจพลังที่แข็งแกร่ง ทำให้ศิษย์พี่ชื่นชมยิ่งนัก !! ข้าอยากสลับร่างกับเจ้าอย่างมาก เพื่อสัมผัสสายตาที่ชื่นชมและยกย่องจากสาธาณชน ว้าวว !! น่าอิจฉายิ่งนัก !!

ศิษย์พี่ฟางชื่มชมเกินไป

ฟางจือชิกล่าว : ศิษย์น้องหยางคือบุรุษที่กล้าหาญและควรคู่กับคำชื่นชมนี้ ข้าเคารพชื่นชมคนประเภทนี้ที่สุด หากไม่ใช่เพราะเราทั้งสองอยู่ต่างสำนัก ข้าต้องการที่จะสาบานเป็นพี่น้องกับเจ้า จากนี้ต่อไป มีทุกข์ร่วมทุกข์ มีสุขร่วมสุข !!

หู่เจี่ยวเอ่อจ้องมองด้วยสีหน้าที่ดุดัน : น่าขนลุก !!

คิ้วของฟางจือกระตุกไปมา

ตู่ยี่ฉางดึงแขนของฟางจือชิและกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ฝืนบังคับ : ศิษย์พี่ ท่านเป็นคนที่อ่อนโยนยิ่งนัก !!

หลังจากที่กล่าวจบนางหันไปมองหยางไค่และกล่าว : เจ้าไม่ต้องใส่ใจกับคำพูดของศิษย์พี่ฟาง ดูเหมือนว่าสมองของเขาจะมีปัญหา !

ศิษย์น้อง เจ้ากำลังพูดอะไร ? ฟางจือชิถลึงตาจ้องมองตู่ยี่ฉาง

ไม่เป็นไร ศิษย์พี่ฟางเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกมาตามความรู้สึกของเขา !! หยางไค่ยิ้มอย่างแผ่วเบา เขาไม่คิดเลยว่า ศิษย์หมายเลขหนึ่งแห่งหอวายุพิรุณจะเป็นคนที่แปลกประหลาดเช่นนี้

ศิษย์น้องหยางช่างเข้าใจในสิ่งที่ข้ากล่าว ฟางจือชิกล่าวอย่างตื้นตันใจ

หู่เจี่ยวเอ่อที่อยู่อีกแทรกขัดจังหวะเข้ามา : หยางไค่ เจ้าต้องระมัดระวังเขาด้วย คนคนนี้ไม่หลงไหลในสตรี ในสายตาของเขามีเพียงบุรุษหนุ่ม เจ้าอย่าเกรงใจและมีมารยาทต่อเขาไปมากกว่านี้ ไม่แน่ว่า.........เขาอาจจะมองเจ้าด้วยสายตาที่พิเศษยิ่งกว่านี้

หลังจากที่กล่าวจบ หู่เจี่ยวเอ่อยิ้มกริ่มด้วยความสนุก

คำกล่าวของหู่เจี่ยวเอ่อ ง่ายที่จะให้คนที่ได้ยินเข้าใจผิด

ใบหน้าของหยางไค่แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำในทันที

ฟางจือชิกล่าวอย่างขมขื่น : เว้ย เจ้าส่ายร้ายข้าได้อย่างไรกัน ? ศิษย์น้องหยาง เจ้าอย่างฟังเรื่องที่ไร้สาระของนาง ข้าฟางจือชิไม่ใช่คนเช่นนั้นอย่างแน่นอน

หยางไค่กระแอ่มเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่เป็นธรรมาชาติมากเท่าไหร่

ฟางจือชิกังวลจนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ เขาหันกลับไปมองซ้ายขวา ก่อนจะดึงตู่ยี่ฉางที่อยู่ข้างๆเข้ามา กอดเอวนางไว้และจูบลงไปที่ริมฝีปากของนาง

ดวงตาตะลึงจนอ้าปากค้าง

หู่เจี่ยวเอ่อและหู่เหม่ยตะลึงจนอ้าปากค้างเช่นเดียวกัน พวกนางทั้งสองจ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาที่โง่เขลา

การดิ้นรนต่อต้านของตู่ยี่ฉางทำให้เกิดเสียงครางดังออกมา ทำให้ใบหน้าของสองพี่น้องแด่งก่ำในทันที

หลังจากผ่านไปอย่างเนินนาน ฟางจือชิจึงปล่อยตู่ยี่ฉาง เขาเช็ดมุมปากของตนเองก่อนจะหล่าวด้วยเสียงหัวเราะ : เป็นอย่างไร ศิษย์น้องหยาง คราวนี้เจ้าเชื่อข้าหรือยัง ?

หยางไค่จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เคารพและยกนิ้วให้เขาและกล่าวตอบ : ศิษย์พี่ฟาง ท่านเป็นบุรุษชายชาติชาตรีที่แท้จริง !!

คำชื่นชมนี้ไหลเวียนเข้าสู่หัวใจภายในของฟางจือชิ เขาหัวเราะอย่างเสียงดัง ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ใบหน้าของตู่ยี่ฉางแดงก่ำ ดวงตารวยหลินด้วยน้ำตา ก่อนจะพุ่งฝ่ามือตบไปที่ใบหน้าของฟางจือชิ

เจ้าคนเลว !! ตู่ยี่ฉางกระทืบเท้าไปมา สองมือกุมใบหน้าและวิ่งหนีออกไป

วิ่งช้าๆ ระวังสะดุดล้ม !! ฟางจือชิกุมใบหน้าที่ถูกตบและกล่าวตะโกนให้แก่ตู่ยี่ฉางที่กำลังวิ่งหนีไป

ศิษย์พี่ฟาง.......เจ้า........ไม่ตามนางไป? หยางไค่มองเงาด้านร่างของตู่ยี่ฉาง และไร้ซึ่งคำพูดที่จะกล่าวต่อ

ไม่ต้องสนใจนาง มันเป็นเพียงความขุ่นเคืองเล็กๆน้อยๆจากนาง อีกไม่นานนางคงจะกลับมาเอง ฟางจือชิกล่าวอย่างไม่สนใจ

เป็นดั่งที่ฟางจือกล่าว หลังจากผ่านไปเพียง10 ลมหายใจ ตู่ยี่ฉางเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ นางก้มหน้าต่ำจนถึงทรวงอก สองมือของนางกุมชายเสื้อไปมา และเดินเข้ามายังด้านหน้าของฟางจือชิด้วยความอ่อนล้าและความอาย

ฮึฮึ ฟางจือชิกระพริบตาไปมาด้วยความรู้สึกที่พึงพอใจให้แก่หยางไค่

ศิษย์พี่................ ตู่ยี่ฉางทำใจให้กล้าหาญ ก่อนจะเดินแขนของฟางจือชิไปมา

ทำอะไร ? คิ้วของฟางจือชิขมวดไปมา และกล่าวถามด้วยเสียงที่แผ่วเบา

ตู่ยี่ฉางยกมือขึ้น และตบไปยังใบหน้าอีกข้างของฟางจือชิ และกล่าวด้วยความโกรธเคือง : เจ้าคนชั่ว !!

หลังจากที่ตบหน้าฟางจือชิอีกครั้ง ดูเหมือนว่าตู่ยี่ฉางได้คลายความโกรธเคืองของนาง นางหันหลังกลับไปและก้าวเดินออกไปด้วยความสง่างาม

ฟางจือชิบลูบไล้ใบหน้าของตนเอง ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

ฮ่าฮ่า......... หู่เจียวเอ่อและหู่เหม่ยเอ่อหัวเราะคิดคักจนไหล่ของพวกนางทั้งสองสั่นระรัว เหตุการณ์ที่พวกเขาคาดไม่ถึงได้เกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขา ในตอนแรกขณะที่ตู่ยี่ฉางเดินกลับมา จิตใจของสองพี่น้องเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ในเวลานี้ เหลือไว้แต่เพียงความชื่นชมเท่านั้น

ศิษย์น้อง........... ฟางจือชิกล่าวด้วยสุ้มเสียงที่ติดอ่าง เขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังรู้สึกเช่นไร เขาหันหน้ามองหยางไค่และกล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่ฝืนกลั้น : ข้าจะกลับไปจัดการกับนางเดี่ยวนี้ !!

หู่เจี่ยวเอ่อตบมือด้วยความพอใจ : เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่างสนุกยิ่งนัก อ๊ย ฟางจือชิอ่ะ ฟางจือชิ ในที่สุเจ้าก็มีวันนี้

มุมปากของฟางจือชิกระตุกไปมาและถอนหายใจอย่างยาวเหยียด : เดินทางอยู่ริมทะสาป เป็นไปไม่ได้ที่รองเท้าจะไม่เปื้อนโคลน ?

หยางไค่กระแอ่มเบาๆ ไม่อยากให้พวกเขาโต้เถียงกันต่อไป : ศิษย์พี่ฟางมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า ?

เมื่อได้ยินดังนี้ สีหน้าของฟางจือชิเคร่งขรึมในทันที เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าและกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง : ข้ามามาหาเจ้า เพราะอยากถามเจ้าว่า เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ ?

เมื่อได้ยินฟางจือชิกล่าวเช่นนี้ สีหน้าของหู่เจียวเอ่อและหู่เหม่ยเอ่อแปรเปลี่ยนความจริงจังในทันที

ดวงตาของหยางไค่กระพริบไปมา เขาไม่ได้กล่าวตอบ ฟางจือชิกล่าวถามอีกครั้ง : คนมีศีลธรรมไม่กล่าวคำพูดที่เป็นเท็จ หากศิษย์น้องหยางกล่าวว่าไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ข้าจะเชื่อในคำกล่าวของเจ้า

หยางไค่จ้องมองฟางจือชิ เขาทราบดีว่าฟางจือชิเริ่มระแคระคายเขาจากการที่เขาตักเตือนให้ทุกคนหนีออกไป หากเขาทราบเรื่องราวที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาจะถอยหนีได้อย่างไร ?

แต่ว่าเรื่องราวเช่นนี้จะกล่าวออกไปหรือไม่กล่าวออกไปมันก็ไม่มีผลร้ายแรงที่ตามมา แม้ว่าตนเองจะไม่กล่าวออกไป หากบันไดสวรรค์ที่สยายลงมาจากชั้นเมฆถือพื้นดินด้านล่าง ศิษย์สาวกทั้ง 3 สำนักต้องไปตรวจสอบสืบหาต้นตอที่แท้จริงของมันจนกระจ่าง

เขาจ้องมองไปที่หู่เจียวเอ่อและหู่เหม่ยเอ่อ ซึ่งยังคงจ้องมองเขาอย่างตั้งใจ

เมื่อถึงตอนนี้ หยางไค่ปล่อยความคิดของตนเองออกไป ก่อนจะเอ่ยปากกล่าวอีกครั้ง : ข้ารู้ไม่มาก แต่หลังจากที่บันไดสีทองสยายลงมาถึงพื้นดินด้านล่าง ข้าจะไปตรวจสอบว่าเป็นอย่างที่ข้ารู้หรือไม่ ?

ฟางจือชิกล่าวถาม "เป็นอันตรายหรือไม่?"

หยางไค่ยิ้มอีกครั้ง : คำกล่าวนี้ศิษย์พี่ฟางคงถามผิดคน

ฟางจือชิพยักหน้าช้าๆ เขากำหมัดเอาไว้ และกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง : ขอบคุณศิษย์น้องที่ตักเตือน หากเจ้ามีเวลา มาเป็นแขกให้แก่หอวายุพิรุณ ข้าจะดูแลเจ้าด้วยเหล้าชั้นดีแห่งหอวายุพิรุณ

ได้ !!

หลังจากที่ฟางจือชิเดินจากไป หยางไค่มองไปที่สองพี่น้องและกล่าวด้วยรอยยิ้ม : พวกเจ้าอยากรู้ในสิ่งที่ต้องการจะรู้ ยังจะนั่งอยู่ตรงนี้เพื่อให้ศิษย์สาวกชายแห่งนิกายโลหิตแค้นเคืองข้าทำไม ?

เจ้าไล่พวกเราทั้งสอง ? หู่เจี่ยวเอ่อถลึงสายตาให้แก่หยางไค่

หู่เหม่ยเอ่อรีบกล่าวอย่างเร่งรีบ : พวกเราไม่ได้มาเพราะเหตุผลนี้ .........อั๊ย........

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด