DND.8 - กำไรจากเหตุพิพาท
“ตอนเจ้าเลือกธนู...ไม่มีใครบอกเจ้าหรือว่านี่เป็นของเสียที่ถูกทิ้ง?”
ดอกฟ้าถามด้วยเสียงประหลาดใจ
ธนูบนโต๊ะนี้เป็นของเสีย คุณภาพของวัตถุดิบ สายธนู ความแม่นยำนั้นย่ำแย่ มันเป็นของมีปัญหาที่กำลังจะถูกกำจัดทิ้ง
แต่ประหลาดมากที่ชายหนุ่มคนนี้ใช้ธนูคันนี้ยิงเป้าร้อยเมตรได้หลายครั้งหลายครา!
ด้วยความสงสัย นางใช้ธนูนั้นยิงเป้า แต่แม้จะมีทักษะที่ยอดเยี่ยม นางก็พลาดกลางเป้า และลูกธนูยังไม่เข้าเป้าเลยแม้แต่น้อย!
ซือหยูเริ่มตกใจ ตรงนั้นเป็นที่วางของไม่ได้คุณภาพงั้นหรือ?
“ลองใช้ธนูข้าสิ”
นางปลดธนูสีโลหิตจากบ่าให้ซือหยู
คุณภาพของธนูยอดเยี่ยมมาก เมื่อมองไกลๆก็จะเห็นว่ามันคล้ายกับหยกสีชาด
เมื่อซือหยูถือธนูก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่มาจากตัวธนูเองและความอบอุ่นที่มาจากมือราวกับหยกของนาง
“นี่เป็นธนูที่ดีนะ”
แม้ว่าเขาจะไม่รู้วิธีชมธนู แต่สัญชาตญาณก็บอกเขาว่ามันเป็นของดี
เขามองไปข้างหน้าด้วยธนู ขณะที่ดึงสายหนูก็พบว่าธนูคันนี้ไม่ต้องออกแรงมากและเหมาะกับคนที่ไม่มีกล้ามเนื้อมากนักเช่นเขาหรือสตรี
ซือหยูเพ่งสมาธิส่งพลังทั้งร่างไปยังแขน เขาใช้ความสามารถของดวงตาอย่างเต็มที่และมองกลางเป้าที่ห่างออกไปร้อยเมตรได้อย่างชัดเจน
ฟึ่บ-
เสียงใส สะอาด และคมกริบทะลวงผ่านอากาศในหอยุทธภัณฑ์
ธนูโลหะแล่นเข้ากลางเป้า! ยิ่งกว่านั้นมันยังปักอยู่ตรงส่วนกลางที่สุดของกลางเป้าที่มีขนาดเท่าลูกตาอีกด้วย
พลังของศรทะลวงร้อยศอกมากขนาดนี้เชียวหรือ!
หญิงสาวแสดงที่แสดงว่าเป็นไปอย่างที่นางคิดไว้
“ว่าแล้วเชียว ปัญหาคือตัวธนูจริงๆด้วย เจ้ายอดเยี่ยมนัก! เพียงครึ่งชั่วโมงเจ้าก็เชี่ยวชาญศรทะลวงร้อยศอกแล้ว”
อาจารย์เจียงประหลาดใจ แต่เขาก็ยังคงคิดว่าซือหยูเป็นเจ้าหนุ่มกลัดมันที่แอบไปซ้อมลับหลัง เขาคิดว่าซือหยูชำนาญธนูมากและแสร้งทำเป็นมือใหม่เพื่อจะเอาบางสิ่งจากเซี่ย
แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าซือหยูเป็นอัจฉริยะเพราะเขาสำเร็จศรทะลวงร้อยศอกตั้งแต่อายุยังน้อย
ซือหยูโล่งอกที่เขาได้สำเร็จศรทะลวงร้อยศอกแล้ว
“ซือหยู หากคิดว่าธนูนั่นเหมาะกับเจ้าก็รับไว้เถอะ ในหอยุทธภัณฑ์นี้ไม่มีธนูใหม่ๆให้เจ้าเลือกหรอก”
นางตอบอย่างใจกว้างพร้อมหัวเราะเบาๆ
ซือหยูใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม แม้จะไม่เธอกันมาก่อนแต่นางก็ให้ธนูล้ำค่ากับเขา เห็นได้ชัดว่าธนูนี้ไม่ใช่ของหอยุทธภัณฑ์แต่ถือธนูของนาง
ซือหยูรับธนูมาและขอบคุณอย่างจริงใจ
“ถือว่าข้าขอยืมธนูจากเจ้าในวันนี้ เมื่อถึงเวลาข้าจะคืนมันแก่เจ้า เจ้าอยู่ที่ไหนกัน? ถึงเวลาข้าจะได้เอาธนูไปคืน”
“ไม่เป็นไรหรอก ธนูคันนี้เป็นของเจ้าแล้ว”
นางหัวเราะและรีบเดินออกไปโดยทิ้งกลิ่นหอมอ่อนๆเอาไว้
อาจารย์เจียงกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“เจ้าเด็กน้อย มีของดีก็รับไว้เถอะน่า มีพวกปลิงมากมายและนี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยให้ธนูของนางเป็นของขวัญ! แต่เจ้าก็ยังไม่พอใจและอยากจะไปบ้านนาง อย่าเสียเวลาเลย นางไม่ใช่คนที่จะมาเป็นเพื่อนกับคนอย่างเจ้าหรอก”
ซือหยูหัวเราะอย่างไม่แยแส เขาขี้เกียจจะแก้ต่างความเข้าใจผิดของอาจารย์เจียง
ไม่ว่าจะเจียงซื่อฉีหรืออาจารย์เจียง เขาก็เกลียดพี่น้องคู่นี้ทั้งสองคน
ซือหนูนำธนูไปที่ภูเขาที่เขาฝึกประจำ แต่เขาก็ไม่ได้หยุดอยู่ตรงที่เดิมที่เคยฝึก เขาเดินลึกเข้าไปอีก
สำนักตั้งอยู่ในส่วนของเทือกเขารัตติกาลหากผ่านภูเขาหลังสำนักไปก็จะเข้าสู่เทือกเขา มีสัตว์ป่ามากมายที่นั่นและอาจจะมีสัตว์อสูรด้วย!
สัตว์อสูรหมายถึงสัตว์ป่าบนภูเขาที่กินต้นธาตุจักรวาลเข้าไป ด้วยคุณสมบัติทางยาจะทำให้พวกมันมีสติปัญญาและแข็งแกร่งกว่าสัตว์ป่าอื่น
สัตว์อสูรเหล่านี้อันตรายมาก มิใช่แค่สติปัญญา พวกมันยังมีพลังมากกว่าสัตว์ป่าทั่วไปอีกด้วย
ซือหยูขึ้นเทือกเขารัตติกาลเพราะเห็นผลสองประการ ประการแรกคือเขาอยากจะเพิ่มพลังจากประสบการณ์สู้จริง
ประการที่สองคือเขาอยากจะล่าสัตว์และสัตว์อสูรเพื่อหาตำลึงเงินมาซื้อโอสถวิญญาณเพื่อเพิ่มพลังกายและกำลังภายใน
ช่วงก่อนที่ผู้ฝึกยุทธจะบรรลุระดับสามคือช่วงที่เรียกว่า ‘ช่วงสกัดร่างกาย’ และผู้ฝึกยุทธจะต้องทำให้ร่างกายแข็งแกร่งไปถึงขอบเขตที่เพียงพอ
โอสถวิญญาณมักจะใช้สกัดร่างกายของผู้ฝึกยุทธ มันทำจากวัตถุดิบหายากหลายชนิดที่มีราคาแพงมาก โอสถวิญญาณระดับต่ำก็มีค่าสูงถึงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน
สำนักจะให้เงินหนึ่งตำลึงเงินทุกเดือน หักค่าใช้จ่ายในแต่ละวันก็จะเหลือเงินเก็บเพียงไม่กี่ทองแดง
เด็กที่มาจากตระกูลยากจนอย่างเขาไม่มีทางได้สัมผัสโอสถวิญญาณเลย หากเป็นคนที่มาจากตระกูลร่ำรวย จะเป็นเงินสักหมื่นตำลึงเงินก็ขนหน้าแข้งไม่ร่วง
สำหรับศิษย์ทองคำจะได้ร้อยตำลึงเงินทุกเดือน
“ถึงพวกมันจะนั่งอยู่แต่ในบ้านไม่ทำอะไร มันก็จะได้โอสถวิญญาณมาเพิ่มพลังง่ายๆหากร้องขอ แต่ข้าต้องเข้ามาในเขาลึกเพื่อต่อสู่กับสัตว์ประหลาด!”
ซือหยูนึกถึงชีวิตก่อน มันเป็นยุคที่ต้องพึ่งพาความร่ำรวยจากพ่อแม่เพื่อประสบความสำเร็จ เขาไม่คิดว่าโลกนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน!
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าถ้าข้าพยายามมากกว่าพวกเจ้าเป็นสิบเท่าแล้วจะตามไม่ทัน!”
หัวใจของซือหยูไม่พอใจ
ครึ่งวันผ่านไป เขาได้เข้าสู่เทือกเขารัตติกาล
ซือหยูได้ยินเสียงบางอย่างผ่านใบไม้เบาๆ
ซือหยูระวังตัวและใช้พลังของดวงตาเต็มที่ทันที
ทันใดนั้นห่างจากเขาไปสิบศอก มีพื้นที่หนึ่งที่มีใบไม้ร่วงซ่อนอสรพิษที่สีเดียวกับใบไม้นั้นและมันกำลังเลื้อยอย่างรวดเร็วมาทางซือหยู
อสรพิษดวงตาสีเหลืองเข้มมีหัวทรงสามเหลี่ยมสีชาด มันคืออสรพิษเจ็ดก้าวที่มีชื่อเสียงทัวทั้งทวีป!
“อ๊ะ!”
เงาของซือหยูพริ้วไหวราวสายลมและเงาของขาเขาก็เคลื่อนไหวคล้าบกับแส้
ฟึ่บ-
อสรพิษเจ็ดก้าวกระเด็นไปและหยุดนิ้งหลังจากกระแทกกับท่อนไม้
ซือหยูกระโดดไปหามันและหยิบมีดสั้นที่เตรียมไว้ เขาค่อยๆเอาถุงน้ำดีออกจากนั้นจึงถลกหนังกับเขี้ยวพิษออก สุดท้ายเขาก็เก็บเนื้อของมันอย่างดี
ถุงน้ำดี หนัง และเขี้ยวของมันขายได้ประมาณสิบทองแดง ส่วนเนื้อของมันจะเป็นอาหารของซือหยู
หนึ่งร้อยทองแดงจะแลกได้หนึ่งตำลึงเงิน ซือหยูโชคดีที่ขึ้นเขามาแล้วได้สิบทองแดงในไม่นาน
ซือหยูจะต้องอยู่ต่อไปอีกห้าวัน
เขาเคลื่อนไหวคล่องแคล่วเป็นธรรมชาติราวกับเงาเมฆ ราวกับวิหคที่บินอย่างสง่างามบนท้องฟ้าเรียกร้องความสนใจจากผู้พบเห็น
เขาใช้ดวงตาอย่างเต็มที่ควานหาสัตว์ป่าที่เขาจะล่าและเอาไปขาย
ตกกลางคืนซือหยูมาแอบในถ้ำบริเวณทะเลสาบเล็กๆ เขาจุดไฟด้านนอกถ้ำเพื่อป้องกันสัตว์ป่า
“อสรพิษเจ็ดก้าวสอง กระต่ายป่าห้า ไก่ป่าสอง ไก่บ้านสาม ตัวนิ่มสอง หมาป่าหนึ่ง หมูป่าสอง ไก่สาม กับอินทรีย์ทองคำตัวใหญ่อีกหนึ่ง”
ซือหยูนับสัตว์ที่ล่ามาได้และคิดว่าเขาจะได้เงินประมาณ 1,200 ทองแดงซึ่งมีค่าประมาณสิบสองตำลึงเงิน
“ข้าหาเงินที่สำนักจ่ายทั้งปีได้ในห้าวันหรือนี่”
ซือหยูพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ในห้าวัน
ที่เขาพอใจที่สุดก็คือความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเขา
“ทางลัดสู่ความสำเร็จคือการฝึก มันเป็นเรื่องจริงทีเดียว!”
เขาไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเลยตลอดห้าวันที่ผ่านมา จากขอบเขตตอนนี้เขาได้สำเร็จระดับสองขั้นกลางโดยไม่รู้ตัวแล้ว อีกไม่กี่ก้าวเขาจะสำเร็จระดับสองขั้นสูงสุด
ตอนนั้นเองเขาก็ได้สำเร็จทลายจักรวาลขั้นสามระดับต้น ทลายจักรวาลจะครอบคลุมระดับสี่ชั้นของการโจมตีด้วยหมัดและขาทั้งสองข้าง แต่ในตอนนี้มันได้มีการโจมตีเพิ่มเป็นแปดชั้นแล้ว
หากสำเร็จทลายจักรวาลขั้นสามระดับกลางเขาจะโจมตีได้สิบหกชั้น หากสำเร็จขั้นสามระดับสูงเขาจะโจมตีได้ไม่จำกัด นั่นหมายความว่าทั้งหมัดและขาจะโจมตีต่อเนื่องไปตลอดจนกว่ามันจะรักษาสภาพไม่อยู่
เขายังพัฒนาเงาเมฆาได้ดีเช่นกัน เขาได้สำเร็จเงาเมฆาขั้นหนึ่งระดับต้นแล้ว ซึ่งทำให้เขามีความเร็วเทียบเท่ากับคนที่อยู่ในระดับสองขั้นสูง
ซือหยูยังสำเร็จศรทะลวงร้อยศอกระดับสูงสุดอีกด้วย เขาโจมตีสิ่งใดก็ได้ในระยะร้อยศอก ทักษะธนูของเขาเทียบได้กับผู้เชียวชาญวิชาธนูแล้ว
พัฒนาการของซือหยูไม่ได้เพิ่มขึ้นเพราะดวงตาของเขาอย่างเดยว มันเป็นเพราะคุณภาพอันยอดเยี่ยมของธนูสีชาดที่ทำให้ธนูใช้งานได้ง่ายมาก
“ข้าติดหนี้หญิงสาวผู้นั้นเสียแล้ว ตอนที่ข้าคืนธนูให้แก่นาง ข้าจะตอบแทนนางอย่างแน่นอน”
เมื่อซือหยูถือธนูที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเมื่อสัมผัส หัวใจเขาก็รู้สึกขอบคุณต่อหญิงสาวผู้นั้น
โครม-
เขาได้ยินเสียงต้นไม้หักจากระยะไกล ดูเหมือนว่าสัตว์ประหลาดตัวใหญ่จะทำให้ป่าภูเขาสั่นสะเทือน ตอนนี้เขาก็ได้ยินเสียงคนเบาๆ
เกิดอะไรขึ้นกัน มีคนสู้กับสัตว์ป่าที่แข็งแกร่งมากอยู่งั้นเหรอ?
ซือหยูรีบดับไฟและหายตัวไปในความมืด สำหรับซือหยูนั้นความมืดไม่ต่างอะไรกับตอนกลางวันเลย
เขาใช้เงาเมฆากระโดดบนต้นไม้ นี่ทำให้เขาดูเหมือนเงาเมฆและลอยในอากาศซ่อนตัวจากความมืดมิด
หลังจากสามนาทีซือหยูก็หยุดที่ต้นไม้ใหญ่และซ่อนตัวบนกิ่งไม้หนา
เขามองลงและพบอสรพิษยักษ์สีชาดที่ตัวใหญ่จนต้องอ้าปากค้าง
ร่างของมันใหญ่มาก แสดงถึงความแข็งแกร่งที่มากกว่าซือหยู! ตัวมันใหญ่พอที่จะกลืนเขาได้ทั้งตัว!
ที่น่าตกใจคือร่างของมันปกคลุมด้วยเพลิง ต้นไม้ในพื้นที่ที่มันเคยอยู่ทั้งหมดต่างโดนเผา
“นี่มันสัตว์อสูร!”
เขาตัวสั่น
สัตว์ธรรมดาไม่มีเพลิงรอบกายเช่นนี้แน่ มีเพียงสัตว์อสูรเท่านั้นที่จะมีพลังแบบนี้!
แม้มันจะเป็นสัตว์อสูรประเภทที่หนึ่ง แต่พลังของมันก็น่ากลัวมาก พลังของมันอยู่ในขอบเขตเทียบเท่ากับมนุษย์ที่มีพลังยุทธระดับสามขั้นกลาง มันเป็นสัตว์อสูรที่ซือหยูทำอะไรไม่ได้แน่นอน
โชคดีที่ข้างล่างมีคนสามคนกำลังต่อสู้กับมันอยู่
ในสามคนนี้ เด็กสาวสวมเสื้อสีม่วงอยู่ในขอบเขตระดับสามขั้นต้น กับหญิงสาวที่สวมเสื้อสีเหลืองและเด็กหนุ่มเสื้อเขียวที่อยู่ในระดับสองขั้นสูง
ทั้งสามช่วยกันจับอสรพิษสีชาดตัวนี้
“เร็วเข้า! หากเราจับมังกรไฟนี่ได้ เราจะมีเงิน! มังกรไฟนี่ขายได้ไม่ต่ำกว่าพันสองร้อยตำลึงเงินแน่!”
หญิงสาวที่สวมเสื้อเหลืองตะโกนเสียงดังและขว้างเข็มใส่อสรพิษสีชาดจากระยะปลอดภัย เธอทั้งตื่นเต้นและกลัว
1,200 ตำลึงเงินเชียวรึ? ซือหยูตื่นเต้นมาก มันมากกว่าสิบเท่าที่เขาหาได้ตลอดห้าวันซะอีก!
แต่ซือหยูก็พูดไม่ออกเพราะพวกเขาทั้งสามกำลังตกที่นั่งลำบาก
สาวน้อยเสื้อม่วงกับองครักษ์เริ่มตัวซีดเพราะใช้พลังจนเกือบจะหมดแล้ว อีกอย่างคืออสรพิษสีชาดที่เด็กพวกนี้เรียกว่ามังกรไฟก็แข็งแกร่งมาก
ทั้งสามคนใช้แรงจนเกือบจะหมดแล้ว ไม่ดีแน่ พวกเขาอาจจะตายก็ได้
ยังไงมังกรไฟก็อยู่ในขอบเขตระดับสามขั้นกลาง สามคนนั้นไม่มีใครพลังเทียบเท่าเลย
มังกรไฟมันฉลาด ดูเหมือนมันจะรู้ว่าทั้งสามหมดแรงแล้ว ดวงตาของมันแฝงความเจ้าเล่ห์ หลังจากที่มันหลบการโจมตีของทั้งสามคนแล้วมันก็ยกหางยักษ์ของมันฟาดไปรอบๆราวกับแส้
หางของมันมีพลังมหาศาลราวกับจะฟาดให้ภูเขาจมเป็นมหาสมุทรได้ การได้เห็นความรุนแรงขนาดนี้ทำให้ซือหยูหายใจไม่ออก
เด็กสาวเสื้อม่วงและเด็กหนุ่มได้ใช้พลังจนหมดแล้ว พวกเขาหลบการโจมตีไม่ทัน ตอนนั้นพวกเขาก็ได้กระอักเลือดออกมาและกระเด็นชนกับต้นไม้และหมดสติไป
มังกรไฟเจ้าเล่ห์มาก แทนที่มันจะกินสองคนที่หมดสติ มันกลับอ้าปากกว้างไปหาหญิงสาวอีกคนเพื่อไม่ให้เธอหนีไปได้
หญิงสาวกลัวและหันตัวกลับเพื่อหนี นางกรีดร้องเสียงดัง
“อ๊า!!! เสี่ยวฉี ช่วยข้าเร็ว มันจะกัดข้า….”
แต่ทั้งเด็กสาวเสื้อม่วงกับองครักษ์ได้หมดสติไปแล้ว