DND.7 - ทะลวงร้อยศอก
ซือหยูเป็นที่รู้จักหลังจากที่ได้ชนะเฉินเฟิง ข่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วทั้งสำนักเพียงชั่วพริบตา เหล่าศิษย์ระดับเงินต่างได้เห็นสภาพน่าสมเพชของหม้ายอสรพิษ
“โอ้ ศิษย์พี่ซือกลับมาแล้ว กรุณานั่งพักผ่อน ศิษย์น้องจะรินชาให้ท่าน”
เมื่อซือหยูกลับมาที่หอ อูซงก็รอรับใช้เขา เขารินชาให้ซือหยูและกล่าวยกยอไม่หยุดหย่อน
ซือหยูรู้เลยว่าอูซงกำลังเหงื่อแตกพลั่ก ซือหยูที่ชนะเฉินเฟิงกลายเป็นตัวตนที่น่ากลัวต่ออูซง พลังของซือหยูเพิ่มขึ้นมากและเขาก็ขี้คร้านกับอูซงที่ได้แต่รังแกผู้อ่อนแอและสรรเสริญผู้มีกำลัง
“ออกไป! อย่าเสแสร้งต่อหน้าข้า!”
อูซงกลับดีใจแทนที่จะโกรธเพราะมันไม่รุนแรงที่เขาคิดไว้
“เข้าใจแล้ว ศิษย์น้องจะไม่รบกวนศิษย์พี่ซืออีก”
อูซงที่กำลังใจเต้นเช็ดเหลือบนใบหน้าอย่างมีความสุข
“โชคดีที่ซือหยูไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น ด้วยพลังนั่นข้าอาจจะไม่ต้องนอนที่ทางเดินออกแล้วก็ได้”
ซือหยูนั่งคิดอย่างเงียบเชียบ
“ข้าเป็นหนึ่งในร้อยอันดับศิษย์ระดับเงินแล้ว การประเมินทำให้ข้าออกจากสำนักไม่ได้แล้ว แต่ฉินเฟิงจับตาดูข้าอยู่ มันคงไม่ง่ายดายเช่นนั้นแน่”
ซือหยูกัดฟัน
เขาไม่คิดจะเอาชนะใจเจียงซื่อฉิงแล้ว แต่ฉินเฟิงคงจะไม่ให้เขาได้อยู่อย่างสบายแน่
ความแค้นต่อฉินเฟิงนี้...วันหนึ่งเขาจะเอาคืนเป็นสองเท่า! ดังนั้นเขาต้องเร่งบ่มเพาะพลัง! นอกจากเพื่อการป้องกันตัว...ยังต้องทำเพื่อชำระแค้นเรื่องวันนี้
“รอก่อนเถอะฉินเฟิง!”
ซือหยูกำหมัดแน่น
ฉินเฟิงไม่เพียงแย่งคนรักไปจากซือหยู เขายังอยากเอาชีวิตซือหยูด้วย หากซือหยูไม่ล้างแค้นเขาจะต้องเป็นคนเหลวแหลกไปตลอดกาล!
แต่ทั้งพลังและตระกูลของฉินเฟิงต่างแข็งแกร่ง ซือหยูต้องฝึกอย่างหนักเพื่อเพิ่มพลัง!
ข้า! ซือหยูจะขัดขืนโชคชะตา! การประเมินครานี้ทุกคนตะต้องตกตะลึง! ซือหยูนั่งคิดอยู่นานและตั้งเป้าหมายอันหอมหวาน
มันเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยาน แต่เขาก็ตั้งใจจะทำมัน!
เวลาและวารีมิคอยใคร ฉินเฟิงรู้ว่าซือหยูพัฒนาพลังอย่างรวดเร็วและเขาจะไม่นั่งดูอยู่เฉยๆเป็นแน่
โอกาสเดียวของซือหยูที่จะจัดการฉินเฟิงได้คือการเพิ่มพลังอย่างมากเพื่อสำเร็จระดับยุทธสูงขึ้นก่อนที่เรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้นกับเขา
และหลังจากที่เขาได้สร้างชื่อจากพลังอันน่าเกรงขามแล้วเขาจะมีค่าและได้รับการปกป้องจากเหล่าศิษย์ นี่เป็นเรื่องดีกว่าการเป็นศิษย์ระดับเงินที่ไม่มีความสำคัญกับสำนัก สำนักไม่ได้สนใจความเป็นความตายของศิษย์ระดับเงินเลย
“อูซง ข้าจะไม่อยู่แปดวัน หากมีผู้ท้าประลอง ฝากเจ้ารับคำท้าแทนให้ข้าด้วย!”
ซือหยูเตรียมเสบียงก้าวออกจากประตูมุ่งหน้าไปหอยุทธภัณฑ์ของสำนัก
เพื่อการฝึกตำราลับศรทะลวงร้อยศอก เขาต้องการธนู
หอยุทธภัณฑ์ของสำนักสร้างขึ้นเพื่อเอื้ออำนวยอาวุธแก่ศิษย์ให้ฝึกฝน แต่เช่นเดียวกับห้องตำรา ศิษย์แต่ละคนจะเลือกอาวุธได้หนึ่งครั้งต่อปีเท่านั้น หากศิษย์ต้องการอาวุธสองชิ้นจะต้องจ่ายเพิ่มสองตำลึงเงิน
ซือหยูไม่เคยเลือกอาวุธมาก่อน อาวุธแรกจึงเลือกได้อิสระและเหลือเงินเก็บ ศิษย์ระดับเงินในสำนักแต่ละคนจะได้หนึ่งตำลึงเงินทุกเดือนไว้ใช้จ่าย ทำให้มีเงินเหลือเก็บเพียงไม่กี่ทองแดงจนซื้ออย่างอื่นไม่ได้
เมื่อเขาเข้าหอยุทธภัณฑ์ก็พบคนเต็มไปหมด ซือหยูมองทั้งหอยุทธภัณฑ์และพบว่ามีอาวุธหลักๆสี่ชนิดคือ มีด ดาบ ปืน และพลอง ในหอมีอาวุธสี่ประเภทนี้จำนวนมากหลายรูปแบบ
ซือหยูเดินผ่านบรรดาอาวุธหลักเข้าไปยังลึกสุดของหอและพบธนูเพียงไม่กี่ชิ้น มันยังเสียและถูกทิ้งให้ฝุ่นเกาะอีกด้วย เขาไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ซือหยูวัดน้ำหนักธนูและเลือกธนูน้ำหนักเบาที่สายธนูยืดหยุ่นง่ายแก่การดึง ร่างกายของเขาไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ธนูที่สายไม่ยืดหยุ่นจึงไม่เหมาะกับเขา
พลังของธนูกับลูกธนูขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อย่างแรกคือคุณภาพของธนู วัตถุดิบ ความยืดหยุ่น ความแข็งแกร่งและความแข็งแรง อย่างที่สองคือพลังแขนที่เพิ่มระยะและความเร็วของลูกธนู สุดท้ายคือสายตาของนักธนู
หากนักธนูมีแขนที่แข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวก็ยังใช้ไม่ได้เพราะอาจจะยิงพลาดเป้า แต่ถ้าหากมีแขนที่อ่อนแอธนูก็จะแล่นช้า หากยิงถูกเป้ามันก็ดีกว่านักธนูที่ยิงได้หลายลูกแต่พลาดเป้า
แขนซือหยูอาจจะไม่แข็งแรงแต่สายตาของเขาคือชั้นหนึ่ง สำหรับเขาการใช้ธนูอาจจะไม่แย่กว่าคนที่มีกล้ามเนื้อเต็มตัวเลย
ตอนนั้นเองซือหยูก็ได้ยินเสียงแทรกเข้ามาท่ามกลางความเงียบ เขาหันไปพบสาวสวยสวมเสื้อสีขาวยืนอยู่ตรงพื้นที่สำหรับฝึกธนู
พื้นที่นั้นทำให้ศิษย์ทดสอบพลังของธนูก่อนจะเลือก
ที่ด้านหลังหญิงสาวมีคนยืนถือซองธนูและสอนทักษะธนูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เซี่ยเอ๋ย เจ้ามีพรสวรรค์จริงๆ ทักษะธนูเจ้ายอดเยี่ยมมาก ข้าไม่มีอะไรจะชี้แนะเจ้าอีกแล้ว”
ชายคนนั้นเป็นอาจารย์สอนธนู
ซือหยูประทับใจเขาเล็กน้อย สำนักมีการสอนให้ศิษย์รู้วิธีใช้อาวุธ ซือหยูเคยเห็นชายคนนี้สอนศิษย์คนอื่นมาบ้าง
แต่เมื่อก่อนเขาอารมณ์ไม่ดีมาก เขามักจะเฆี่ยนตีดุด่าศิษย์ที่โง่เขลาซึ่งตอนนี้เขาสุภาพราวกับคนละคน
อาจารย์คนนี้ยังเป็นคนสกุลเจียงและเป็นพี่น้องกับเจียงซื่อฉี
ซือหยูนึกถึงวันที่เจียงซื่อฉีอยากจะเอาหน้าดยุคฉิน เจียงซื่อฉีลากเขามาหาดยุคฉินอย่างไม่สนใจร่างกายอันอ่อนแอของเขา เมื่อซือหยูนึกถึงตอนนั้นเขาก็ไม่พอใจ
ซือหยูหยุดมองพวกเขาและเริ่มคิดถึงตำราลับศรทะลวงร้อยศอก มันเป็นความรู้ด้านธนูมากกว่าจะบอกว่าเป็นวิชาบ่มเพาะพลังเพราะมันเข้าใจได้ง่าย
แม้ว่าจะผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ซือหยูก็ได้เรียกความทรงจำจากตำราลับศรทะลวงร้อยศอกได้สิบชั่วโมงและจำมันขึ้นใจ
เขาหาธนูเหล็กธรรมดาและไปที่ซ้อมยิงเพราะตั้งใจละลองทักษะของเขา เขาหายใจช้าๆและใจเย็นลง
เขาย่อตัวเล็กน้อยและนิ่งราวกับหิน ท่านี้จะลดแรงดึงตอนยิงธนูและเพิ่มความแม่นยำด้วย
เขาถือธนูด้วยมือหนึ่งข้างและใช้มืออีกข้างเหนี่ยวลูกธนูกับสายธนู เขาเพิ่งสมาธิทั้งหมดไปที่แขนทั้งสองข้างและกลั้นหายไปขณะที่ดวงตามองเป้าหมายที่ห่างออกไปร้อยเมตร
หัวใจของตำราลับศรทะลวงร้อยศอกคือเมื่อยิงธนูออกไป ตัวผู้ฝึกวิชาจะเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและรีดพลังทั้งหมดออกมาจากธนู
ขั้นตอนนี้ผู้ฝึกจะต้องสอดคล้องกับพลังภายในร่างกายซ้ำไปซ้ำมาจากนั้นจะเข้าสู่ความสงบ ถึงตอนนี้ผู้ฝึกจะเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่ธนูอย่างเต็มที่และยิงธนูได้โดยไม่มีการแทรกแทรงจากสิ่งรอบข้าง
เมื่อซือหยูปล่อยนิ้ว ศรโลหะก็แล่นผ่านอากาศและโดนเป้าหมายที่ห่างออกไปร้อยเตร
แต่ซือหยูก็ยังไม่พอใจ
ลูกธนูปักที่ขอบเป้าและห่างจากกลางเป้าอยู่มาก
การยิงธนูของซือหยูเรียกความสนใจจากหญิงสาวที่กำลังฝึกธนูอยู่พร้อมกับอาจารย์เจียงที่กำลังสอน
อาจารย์เจียงยักคิ้ว
“เจ้าเด็กไร้มารยาทนี่มาจากที่ใดกัน? เจ้าคิดว่าเจ้าทำอะไรอยู่ตอนที่พวกเรากำลังฝึก?”
ซือหยูไม่พูดอะไร
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคนนั้นมีอำนาจมาก อาจารย์เจียงจึงต้องออกหน้าเพราะหวังจะสร้างผลงาน
“ข้าทำอะไรน่ะรึ? ข้าก็ฝึกทักษะธนูอยู่นี่ไง หากมีกฎห้ามศิษย์ฝึกธนูที่นี่ ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย”
ซือหยูใจเย็นและไม่ตื่นตูม เขาเพียงหยิบธนูอีกดอกและเล็งเป้าอีกครั้ง
อาจารย์เจียงวางซองธนูและรีบเดินไปหาซือหยูด้วยหน้าถมึงทึง
“อาจารย์เจียง ท่านไม่ต้องทำอะไรหรอก มาต่อกันเถอะ”
หญิงสาวพูดอย่างนุ่มนวล เสียงนางอ่อนโยนและน่าฟัง
เมื่อนางพูด ดวงตาสดใสของนางก็มองท่าของซือหยู พร้อมรู้สึกว่ามันแปลก
“นี่เป็นครั้งแรกของเจ้าเหรอ?”
ซือหยูที่กำลังตั้งใจฝึกพยักหน้าเบาๆ และตอบโดยไม่หันไปมอง
“ใช่ นี่เป็นครั้งแรกของข้า”
หญิงสาวยิ้มและพยักหน้า
“ไม่เลว เจ้ายิงเป้าร้อยเมตรได้ในครั้งแรก”
อาจารย์เจียงมองซือหยูหัวจรดเท้าพร้อมส่ายหัวและหัวเราะร่วน
“ท่ายืนเขาไม่ดีเลย เขาอาจจะเรียนรู้เพียงพื้นฐานและมาฝึกเลย ข้าเดาว่าเขาแค่โชคดียิงโดนเท่านั้นแหละ”
หญิงสาวไม่คิดจะพูดอะไรกับความเห็นของอาจารย์เจียง ส่วนซือหยูนั้นไม่ได้ยินอะไร
เขารู้ส่วนสำคัญของตำราลับศรทะลวงร้อยศอก แต่เขาก็ยังไม่เชี่ยวชาญทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงฝึกต่อไปทีละส่วน
ธนูดอกที่สองแล่นไปยังขอบเป้าเช่นเคย แต่มันก็ใกล้กลางเป้ากว่าเดิมเล็กน้อย
“อะไรกัน?”
หญิงสาวตกใจ
จากท่าของซือหยู มันเป็นโชคจริงๆเหรอที่จะยิงเป้าร้อยเมตรได้สองครั้ง?
ในแต่ละครั้ง ธนูแล่นเข้าใกล้กลางเป้าขึ้นเรื่อยๆใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ครั้งแรกและครั้งที่สองอาจจะเป็นเพราะโชค แต่ธนูที่แล่นถูกเป้าทั้งห้ารอบจะเป็นโชคได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นท่ายิงของซือหยูยังปรับให้ดีขึ้นเรื่อยๆและเริ่มมีเอกลักษณ์
อาจารย์เจียงกระพริบตาไปมาและจ้องซือหยูที่กำลังฝึกอยู่
ซือหยูกำลังง่วนอยู่กับการฝึก
แต่นับจากดอกที่ห้าซือหยูก็พบว่ามันยากที่จะยิงให้ถูกกลางเป้า ธนูทุกดอกอยู่ไกลจากกลางเป้ามากนัก
ในตอนแรกเขาดีขึ้นเรื่อยๆเมื่อฝึก ทักษะของเขาเพิ่มพูนขึ้นแต่เพราะบางอย่างเขาก็พัฒนาต่อไปไม่ได้ มันมีระยะห่างของลูกธนูกับกลางเป้าเสมอ
มีสองครั้งที่จิตใจเขาไม่สงบจนไม่ได้คิดถึงความแม่นยำ แต่ความสับสนนั้นกลับทำให้เขายิงถูกกลางเป้า
หญิงสาวถอนหายใจและคิดว่านางได้พบกับอัจฉริยะเข้าแล้ว
อาจารย์เจียงตกใจ เขาหัวเราะและหัวเราะต่อแกมดูถูก
“ดูเหมือนจะเป็นพ่อหนุ่มกลัดมันอีกคน เขาจะต้องรู้ว่าเซี่ยชอบคนที่ทักษะธนูดีและมาฝึกที่นี่อยู่เนืองๆ เลยแอบฝึกและแสร้งทำเป็นไม่เคยยิงธนูมาก่อนเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเซี่ย มันมีคนประเภทนี้อยู่บ้าง”
ดวงตาหญิงสาวที่สดใจดั่งวารีเหลือบมองซือหยู นางรู้สึกชิงชังซือหยูและรีบออกไป
“ข้าจะไปแล้ว จิตใจข้าไม่สงบ”
หญิงสาวไม่สนใจซือหยูอีกและก้าวเท้าเบาๆจากไป
ก่อนนางจะไป นางหันมาเห็นธนูของซือหยูโดยบังเอิญ นางตกใจมากและทึ่งกับสิ่งที่ได้เห็น
“ขอดูธนูเจ้าหน่อย”
ใบหน้าหญิงสาวแสดงอาการแปลกๆ
เมื่ออาจารย์เจียงมองมาทางพวกเขา เขาก็ทำใบหน้าแปลกๆเช่นกัน ซือหยูหันมามองและก็พบว่าหญิงสาวที่ยืนข้างเขางดงามมาก
นางดูไร้เดียงสาและไร้ที่ติ นางเป็นคนที่เกิดมาสง่าผ่าเผย สิ่งปฏิกูลที่อยู่ต่อหน้านางพร้อมจะมลายหายไป
นี่เป็นความสวยงามที่ซือหยูคิดต่อนาง นางงดงามราวหญิงสาวที่ไม่ใช่มนุษย์
นางอายุราวสิบสี่ปีเศษเหมือนกับซือหยู
ดวงตาสีขาวหิมะของนางจับใจผู้คนทำให้รู้สึกอยู่ในท่ามกลางความหนาวเย็นสุดขั้ว บัวหิมะที่หายากได้เบ่งบานอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง
เมื่อเจอกับสายตาบริสุทธิ์ที่ชำระล้างสิ่งแปดเปื้อนออกไป ซือหยูยำเกรงนาง
ซือหยูเหม่อมองนางอย่างไม่เก็บอาการอยู่ชั่วครู่
“ขออภัย ยกโทษให้ความไร้มารยาทของข้าด้วย นี่ธนูข้า”
นางไม่สนใจที่ซือหยูจ้องเพราะคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้และยิ้ม
ความใจดีของซือหยูทำให้นางประทับใจ ในไม่กี่วินาทีที่ซือหยูหยุดนิ้งเพราะความงามของนางทำให้บอกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบนาง เขาไม่ใช้หนุ่มหื่นกามที่ตั้งใจจะเรียกร้องความสนใจ
นางรับธนูไปตรวจสอบด้วยดวงตาสีขาวหิมะ มืออันนุ่มลื่นราวกับหยกลูบธนูเบาๆ ไม่นานดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
อาจารย์เจียงเดินเข้ามาหาพวกเขาและค่อยๆตรวจสอบธนูเช่นกัน เขาตกใจ
“ปะ...เป็นไปไม่ได้…..”
กลุ่มลับเปิดแล้ว รายละเอียดในเพจเลยจ้า