DND.4 - ทลายจักรวาล
วิชาบ่มเพาะพลังที่ได้จากในสำนักไม่เพียงพอต่อเขาในการประเมินอีกครึ่งปีแน่ เขาต้องการเรียนรู้วิชาบ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้
ระดับแรกในห้องตำรามีเพียงวิชาพื้นฐานที่บอกไม่ได้ว่าอ่อนแอหรือแข็งแกร่ง
นอกจากพลังของวิชาบ่มเพาะพลังเองแล้ว ผู้ที่ฝึกวิชาต้องเข้าใจวิชาด้วยว่าเข้ากับตนเองหรือไม่และเมื่อไหร่จะใช้พลังของมันได้อย่างเต็มที่
อย่างเช่นหากศิษย์คนไหนใช้วิชาขาเป็นหลัก วิชาขาใหม่ก็จะแข็งแกร่งมากเมื่อฝึกเสร็จแล้ว ต่างกับคนที่ไม่เคยฝึกวิชาขามาก่อน วิชาขาใหม่ของเขาจะไม่รุนแรงมากนัก
อย่างซือหยูเองก็ไม่ได้หาวิชาบ่มเพาะพลังใหม่ที่แข็งแกร่ง เขาหาวิชาที่ครบเครื่องและเหมาะกับพลังที่เขามี
ซือหยูรู้วิชาขาขั้นพื้นฐานและเชี่ยวชาญวิชาหมัดอยู่บ้าง มันจึงมีวิชาบ่มเพาะพลังหลายแบบที่เขาเลือกได้
“เอ๊ะ ทลายจักรวาล?”
ซือหนูเจอตำราเกี่ยวกับพื้นฐานวิชาบ่มเพาะพลัง มันเป็นการผสมผสานระหว่างวิชาหมัดและวิชาขา มันแข็งแกร่งและฝึกยากกว่าเมื่อเทียบกับลูกเตะหยก
ในบรรดาวิชาบ่มเพาะพลังพื้นฐาน วิชาทลายจักรวาลเป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุด หากมันถูกจัดกลุ่มก็จะจัดอยู่ในวิชาบ่มเพาะพลังพื้นฐานอันดับต้นๆ
“วสันต์สีเหลืองสื่อถึงพื้นพิภพ พื้นที่สีหยกสื่อถึงสวรรค์ เมื่อรวมกันแล้วจึงครอบคลุมทั้งโลกและสวรรค์”
ซือหยูตั้งใจอ่าน
“วิชาบ่มเพาะพลังนี้เป็นการผสมผสานระหว่างวิชาหมัดและวิชาขา มันเป็นการโจมตีที่ยากจะหลบหลีก มันแข็งแกร่งจนไม่ว่าจะหนีไปไหนก็ไม่มีทางพ้น”
“ก่อนที่จะเรียนวิชานี้ ผู้ฝึกตนจะต้องรู้ทั้งวิชาขาและวิชาหมัดที่ใช้ร่วมกันได้ดี ผู้ฝึกต้องเย็นดุจใบไม้ร่วงโรยและเคลื่อนไหวเร็วดั่งสายฟ้า”
“ปัจจัยหลักของวิชานี้คือผู้ฝึกตนจะต้องมีสายตาเฉียบคมที่สัมผัสพลังบนผืนดินและควบคุมทุกการเคลื่อนไหว มิเช่นนั้นการฝึกวิชานี้จะไม่เป็นผล”
“จงเลือกฝึกวิชานี้อย่างฉลาด ในตอนนี้มีคนไม่ถึงหนึ่งในพันที่เชียวชาญวิชานี้”
ดวงตาของซือหยูโชติช่วงไปด้วยไฟอันแรงกล้า นี่คือวิชาบ่มเพาะพลังที่เหมาะกับเขา
วิชาทลายจักรวาลเป็นวิชาที่แข็งแกร่งมาก หลายคนอยากจะสำเร็จมัน คนพวกนี้กาจจะมีวิชาหมัดและขาที่ดี แต่ปัจจัยหลักด้านสายตาไม่เพียงพอ
หากพูดเรื่องสายตาแล้ว ตาของซือหยูสามารถมองได้ไกลถึงหนึ่งร้อยเมตร เขาเห็นขาของมดได้ราวกับมันอยู่ใกล้สายตา
“ดีล่ะ! ข้าเลือกวิชานี้!”
ซือหยูดีใจ
เมื่อชายแก่เห็นตำราทลายจักรวาลเขาก็ส่ายหัวเบาๆ
“หนุ่มน้อย...อย่าทะเยอทะยานนักเลย เลือกวิชาที่เหมาะกับตัวเจ้าจะทำให้เจ้าสำเร็จ พลังของวิชานั้นเป็นเรื่องรอง”
ซือหยูโค้งคำนับแสดงความขอบคุณ
“ขอบคุณที่สอนสั่ง”
แม้ว่าชายแก่จะเย็นชา แต่ทุกคำพูดของเขาควรได้รับคำขอบคุณ
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว ซือหยูก็วางตำราทลายจักรวาลลงชั่วคราว
เพราะศิษย์แต่ละคนจะเข้ามายังห้องตำราได้ครั้งเดียวในหกเดือน เขาจึงต้องใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่า หลังจากที่ดูตำรามามากกว่าครึ่ง เขาก็ไม่พบวิชาใดที่เหมาะสม ราวกับว่าสิ่งที่เหมาะกับเขาเพียงอย่างเดียวก็คือวิชาทลายจักรวาล
ทันใดนั้นเขาก็พบตำราสุดท้ายที่ทำให้สายตาเขาเป็นประกาย
“ตำราลับศรทะลวงร้อยศอก”
“นี่เป็นอาวุธของผู้ใช้ธนู พลังของวิชานี้ขึ้นอยู่กับพลังแขนขวาและความแม่นยำของผู้ใช้ธนู พลังของอาวุธจะแตกต่างไปตามผู้ฝึกตน”
“ความต้องการพื้นฐานคือผู้ฝึกต้องมีสายตาที่มองเห็นแมลงไกลออกไปอย่างน้อยห้าสิบเมตรได้ หากทำไม่ได้แล้วก็ควรจะเลิกคิดฝึกวิชานี้ มิเช่นนั้นจะเสียเวลาเปล่า”
ซือหยูเห็นขามดได้ในระยะร้อยเมตร และมันก็เกินกว่าความต้องการพื้นฐานของวิชาศรทะลวงร้อยศอก
เขาชั่งใจความต้องการตำราและดูตำราอื่นต่อไป
หลังจากเปิดดูตำราอื่นคร่าวๆแล้วก็มีเพียงวิชาทลายจักรวาลและตำราลับศรทะลวงร้อยศอกเท่านั้นที่ดึงดูดเขาได้
เขาไม่รีบออกจากห้องตำรา เขาหาตำราอื่นต่อไปและพบว่ามันมีวิชาหลายประเภท
มีวิชาพิษอันน่ากลัว วิชาปรุงยา วิชากลยุทธ์ วิชายันต์….
ซือหยูที่ใช้วิชาบ่มเพาะพลังไม่สนใจวิชาพวกนี้
ตอนนั้นเขาก็ได้พบตำราวิชาตัวเบาเงาเมฆา และมันก็เป็นวิชาป้องกันตัว
“วิชาบ่มเพาะพลังนี้เหมาะกับผู้มีพลังปราณแข็งแกร่ง ตำรานี้ยากจะเข้าใจ โปรดเลือกให้ดี”
“สำหรับวิชาบ่มเพาะพลังนี้ เมื่อสำเร็จขั้นแรก ผู้ฝึกจะเร็วได้เท่าเสียง เมื่อสำเร็จขั้นสอง ผู้ฝึกว่าเร็วกว่าผู้ที่ระดับขอบเขตพลังสูงกว่า เมื่อสำเร็จขั้นสามที่เป็นจุดสูงสุด ผู้ฝึกจะเร็วกว่าผู้ที่ขอบเขตพลังสูงกว่าไปมาก”
“ผู้ที่จะเรียนวิชาบ่มเพาะพลังนี้จะต้องมีพลังปราณที่แข็งแกร่งมาก ตอนนี้มีไม่ถึงหนึ่งในหมื่นเท่านั้นที่สำเร็จวิชานี้ โปรดเลือกให้ดี”
ซือหยูตาลุกวาว หากมีคนไม่ถึงหนึ่งในหมื่นสำเร็จวิชานี้ หมายความว่าในสำนักนี้เองก็อาจจะไม่มีใครสำเร็จวิชานี้เลย
ซือหยูเพลิดเพลินอยู่กับการอ่านตำรา หากเขาสำเร็จวิชาร่วมกับศรทะลวงร้อยศอก พลังโจมตีระยะไกลของเขาก็จะเพิ่มขึ้นมาก แต่ช่างน่าเสียดายที่เขายืมตำราได้แค่เล่มเดียว
ซือหยูไม่อยากจะกลับไปที่ตำราทลายจักรวาล เขาเริ่มเปิดตำราและคิดกับตัวเองว่ามันเป็นไปได้ไหมที่เขาจะจำตำราบ่มเพาะพลังทั้งเล่มและยืมอีกเล่มแทน?
ในชีวิตก่อนหน้าเขามีความจำค่อนข้างดี แม้ว่าเขาจะจำภาพไม่ได้ แต่หนึ่งชั่วโมงเขาก็จำได้มากกว่าสามพันคำ เขาค่อยๆ นับคำในตำราทลายจักรวาลและเริ่มไม่มั่นใจ มันมีมากกว่าสามหมื่นคำ หมายความว่าเขาต้องใช้เวลาสิบชั่วโมงในการจดจำมันทั้งหมด
เห็นได้ชัดว่าห้องตำราไม่ให้ศิษย์อยู่สิบชั่วโมงแน่
เมื่อซือหยูเปิดหนังสือเขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในอีกพื้นที่หนึ่ง เขาพบว่าชายแก่ข้างๆ เขาหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์โดยไม่ขยับแม้แต่น้อย อากาศเองก็ดูนิ่งสงบ
และก็บังเอิญว่าศิษย์ที่เข้ามาก็หยุดนิ่งเช่นกัน
“นี่มันการคุมเวลา!”
เขาตกใจและคิดถึงพลังของเขาทันที
ตอนที่เขาอ่านตำรา ดวงตาของเขาปลล่อยพลังออกมาด้วยตัวเองและทำให้เขาเข้าไปในพื้นที่ที่เวลาไหลอย่างรวดเร็ว สำหรับเขา สิบชั่วโมงได้ผ่านไป แต่กับคนอื่นมันผ่านไปเพียงชั่วโมงเดียว
นี่ต่างจากตอนที่เขาสู้กับอูซง เมื่อตัวตนข้างในเขาถูกกระตุ้น เวลาก็จะไหลผ่านไปเร็วขึ้นสามในสิบส่วน
เมื่อจิตของเขาใจเย็นและสงบนิ่งอย่างเวลาที่เขาอ่านตำรา เวลาก็จะไหลเร็วขึ้นสิบเท่า
ซือหยูดีใจมาก เขารีบเพ่งสมาธิอ่านตำราทันที หลังจากสิบชั่วโมงหน้าเขาก็ซีดลง การจดจำสามหมื่นคำทำให้เขาเหนื่อยมาก
แต่เขาก็เต็มไปด้วยความสุขเพราะเนื้อหาวิชาทลายจักรวาลอยู่ในสมองของเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในโลกจริงเวลาก็ผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วโมง
ชายแก่ประหลาดใจ ซือหยูดูตำราเล่มเดียวตลอดหนึ่งชั่วโมง หรือเขากำลังจะพยายามจดจำทั้งตำรากัน? หากจำภาพไม่ได้มันก็เป็นไปไม่ได้หรอก
หลังจากนั้นซือหยูก็ใช้เวลาสิบชั่วโมงทำแบบเดิมกับตำราลับศรทะลวงร้อยศอก
สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกยืมตำราเงาเมฆา
การจดจำตำราบ่มเพาะพลังสองเล่มทำให้เขาเหนื่อยอ่อนอย่างมาก สำหรับซือหยูแล้วทั้งสามวิชาบ่มเพาะพลังคือขีดจำกัดของเขา
ชายแก่ตกตะลึง
“เจ้าหนู ข้าบอกเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้กินสิ่งที่เจ้าเคี้ยวได้ และเจ้าก็ยังไม่ฟังข้า มีคนมากมายอยากจะสำเร็จเงาเมฆาแต่ก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้”
“หากเจ้าไม่ได้อะไรเลยในหกเดือนนี้รู้ไหมจะเกิดอะไรขึ้น!”
ชายแก่ไม่พอใจ
“จงจำไว้ว่าเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปสอนวิชาบ่มเพาะพลังที่เจ้าได้จากสำนัก! หากมีคนจับได้เจ้าจะถูกขับออกจากสำนัก!”
“ข้าเข้าใจดี!”
เมื่อเขากลับไปที่หอพัก อูซงก็เอนหลังพิงทางเดินและอดทนต่อความอัปยษที่มีคนจ้องมองเขา เมื่อเห็นซือหยูกลับมา อูซงก็โมโหทันที
“ที่นี่เหมาะกับเจ้าดีนี่”
ซือหยูยิ้มกับตัวเองและไม่สนใจอูซงอีก
อูซงรักษาความเยือกเย็นและหัวเราะให้กับความโชคร้ายที่ซือหยูจะต้องเผชิญ
“เจ้าอยู่ได้ไม่นานหรอก ในที่สุดข้าจะได้อยู่ในห้องนั่นแต่เพียงผู้เดียว”
ซือหยูคิ้วกระตุก
หลังจากที่เข้าห้องพัก ซือหยูพบซองจดหมายสีดำบนโต๊ะ
...
ศิษย์น้องซือ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสำเร็จระดับสองแล้วและพลังเจ้าก็เพิ่มขึ้นมาก ข้าอยากจะขอประลองเพื่อให้เราได้ชี้แนะซึ่งกันและกันในอีกเจ็ดวันที่สนามประลองระดับเงินของสำนัก ข้าอยากจะประลองกับเจ้า
- เฉินเฟิง
…
เฉินเฟิง? เขาเห็นภาพรอยยิ้มของเฉินเฟิงทันที
ซือหยูได้ยินชื่อเสียงของเฉินเฟิงมาบ้าง ไม่เพียงแต่แต่ความป่าเถื่อน วิชาพิษของเธอก็พิศดารเข้าใจยาก มีศิษย์บางคนที่พิการจากการสู้กับเธอมาแล้ว
“นี่จะต้องเป็นฝีมือไอ้ฉินเฟิง!”
ซือหยูรู้ได้ทันที เฉินเฟิงที่เขาไม่เคยพบจะอยากประลองกับเขาทำไมกัน?
ซือหยูหัวใจเต้นแรง หากมันเป็นการประลองธรรมดาเขาคงจะไม่ต้องสนใจมัน
อีกเจ็ดวันในลานประลองคืองานที่จะจัดทุกหกเดือนของสำนักเชี่ยเฟิง หากผู้ท้าประลองอยู่ระดับเดียวกันแล้ว ศิษย์ที่ถูกท้าจะปฏิเสธการประลองไม่ได้
ซือหยูสำเร็จระดับสองขั้นต้นและเฉินเฟิงสำเร็จระดับสองขั้นกลาง พลังของพวกเขานับว่าอยู่ในระดับเดียวกัน ซือหยูไม่สามารถปฏิเสธคำท้าประลองนี้ได้ หากเขาปฏิเสธเขาก็จะถูกลงโทษโดยการลดระดับและไล่ออกจากสำนัก
ฉินเฟิงจับตาดูซือหยูอยู่ เขาตั้งใจจะให้ซือหยูปฏิเสธคำท้าประลองและนั่นก็จะเป็นข้ออ้างที่ทำให้เขาถูกขับออกจากสำนักได้
“ฮ่าๆๆ เจ้าควรจะยอมแพ้ซะ เฉินเฟิงไม่ใช่คนที่เจ้าจะสู้ด้วยได้ เจ้าที่เพิ่งสำเร็จระดับสองไม่นานน่ะ”
อูซงหัวเราะให้กับความโชคร้ายของซือหยู
ซือหยูยังคงใจเย็นและเดินทางไปที่ป่าเทือกเขา
“ข้าไม่แน่ใจว่าข้าจะสำเร็จไปถึงระดับสองขั้นกลางในอีกเจ็ดวัน หากจะมีอะไรที่เพิ่มพลังข้าได้ นั่นก็จะต้องเป็นวิชาบ่มเพาะพลังทั้งสาม”
อย่างแรกคือวิชาทลายจักรวาลที่ผสมผสานระหว่างวิชาหมัดและขา วิชานี้ไม่ได้ต้องการทักษะที่ครอบคลุมมากนัก มันให้ความสำคัญกับพื้นฐานมากกว่า ผู้ฝึกจะต้องใช้วิชาหมัดและขาได้และมีร่างกายที่คล่องแคล่ว สำคัญที่สุดคือสายตาที่เฉียบคม
ซือหยูมีครบทุกอย่าง ซือหยูไม่เหมือนคนอื่น เขาฝึกในพื้นที่เปิดในป่าเทือกเขาอันกว้างขวาง
สองวันผ่านไป
แกร๊ก-
หมัดและลูกเตะที่เร็วราวกับเงาพุ่งตรงไปที่จุดเดียวกันของต้นไม้ ซือหยูโจมตีใส่จุดเดียวกันซ้ำๆด้วยความแม่นยำสูงมาก เวลาที่หมัดและลูกเตะปล่อยออกไปต่อเนื่องกันน้อยกว่าครึ่งวินาที
ใบหน้าของซือหยูเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ในชีวิตก่อนของเขา พลังของซือหยูนับได้ว่าเท่าคนทั่วไป แต่เขาก็ไม่หยุดฝึกฝน เขาฝึกฝนทุกวันจนร่างกายของเขาแข็งแรงมาก ประกอบกับดวงตาใหม่ของเขาแล้วก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นที่เขาจะสำเร็จวิชา ในเวลาอันสั้นซือหยูก็สำเร็จวิชาทลายจักรวาลขั้นแรกแล้ว!
ในขั้นแรกหมัดและขาจะโจมตีจุดเดียวพร้อมๆกันด้วยพลังระเบิด รวมกับวิชาบ่มเพาะพลังเองแล้วมันก็สามารถเอาชนะศิษย์ที่สำเร็จระดับสองขั้นต้นส่วนมากได้แล้ว
แต่มันยังไม่พอ! ซือหยูต้องเอาชนะคนที่เป็นระดับสองขั้นกลาง และพลังของเธอก็พิศดารอีก ทำให้มันยากที่จะหลบหลีก
ซือหยูตั้งใจฝึกต่อไป
สามวันผ่านไป เหลืออีกสองวันก่อนที่เขาจะต้องกลับไปประลองในสำนัก
หมัดขวาเขาต่อยต้นไม้และตามด้วยลูกเตะที่รวดเร็วปานสายฟ้าในจุดเดียวกัน วิชาของเขาเริ่มแข็งแกร่งและระเบิดพลังได้เต็มที่แล้ว
แต่มันยังคงไม่พอ ขาซ้ายของซือหยูเตะออกไปทันทีในจุดเดิมและหมัดซ้ายก็ถูกปล่อยไปอย่างรวดเร็ว
เขาโจมตีจุดเดิมอย่างต่อเนื่องด้วยหมัดและขาทั้งสองข้าง ทุกการโจมตีนั้นรุนแรงและมีพลังระเบิดอันน่ากลัว
วิชาบ่มเพาะพลังนี้มีการโจมตีสี่ขั้นและทุกขั้นคือการโจมตีแบบอัดอากาศจากทุกทิศทางและไม่มีทางหลบได้
นี่คือหลักสำคัญของวิชาทลายจักรวาล