DND.3 - ยักย้ายพื้นที่และเวลา
“บัดซบ!”
ซือหยูปกติจะใจเย็น แต่เมื่อเขาโกรธเขาจะโกรธจริงๆ เมื่อเขาต้องสู้เขาก็จะสู้ หากอดทนสิ่งใดในตอนที่ไม่ควรแล้วนั่นไม่ใช่การอดทน มันคือความขี้ขลาด!
เรื่องที่เกิดขึ้นบนทรงเดินดึงดูดความสนใจของศิษย์ระดับเงินคนอื่นทำให้พวกเขายื่นหน้าออกมาดู
“ฮ่า ดูซิข้าเห็นอะไร...ซือหยูมันกล้ากับอูซงงั้นเหรอ?”
บางคนเริ่มกอดอกพิงกำแพงเพื่อรอดู
“ใครจะไปรู้? หรือบางทีการที่ถูกขโมยสตรีไปจะทำให้มันเปลี่ยนเป็นคนละคน?”
“ฮ่าๆ เมื่อก่อนไอ้เวรซือหยูยังช่วยเก็บโถฉี่อูซงอยู่เลย! ตอนนี้มันกล้าสู้กับเขาเชียวรึ”
อูซงยิ้มอย่างเยือกเย็น
“ตอนนี้เจ้ากล้าขึ้นมาหน่อยแล้วนี่ อยากจะสู้กับข้ารึ?”
ซือหยูไม่สนใจคนอื่นและรีบโจมตีก่อน
“ลูกเตะหยกต่อเนื่อง!”
ซือหยูเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับกระต่าย เขาโจมตีอย่างรุนแรงปาดสายฟ้าฟาด
เขายืนด้วยขาข้างเดียวและเคลื่อนไหวด้วยความเร็ว เมื่อเขาขยับตัวขาอีกข้างก็ยกขึ้น การโจมตีและชักเท้าออกของเขานุ่มนวลและยืดหยุ่นมากทำให้อูซงหลบยากด้วยความสับสน
แต่อูซงก็หลบลูกเตะอย่างง่ายดายด้วยการถอยครึ่งก้าว
“หมัดเมาตั๊กแตน!”
เขาย่อตัวเล็กน้องและนิ่งราวกับศิลา เขาย่อเขาและเพิ่มพลังพร้อมที่จะกระโจนไปข้างหน้าและโจมตีด้วยท่าที่จะทำร้ายคู่ต่อสู้และป้องกันตัวเองได้ในท่าเดียวกัน
เขาทำแขนให้เหมือนเคียวและนิ้วชิดกัน เขากระโดดไปมาราวกับตั๊กแตนที่กำลังเล่นกับจักจั่น นี่ทำให้เขาป้องกันตัวไปพร้อมๆกับเตรียมการโจมตีได้
แขนขวาของอูซงเคลื่อนไหวเร็วปานสายฟ้าเพื่อป้องกันลูกเตะที่เข้ามา
เมื่อเขาได้ยินเสียงแขนเสื้อขาด แขนขวาของเขาก็เริ่มโจมตี แขนขวาเขาเล็งไปที่พื้นรองเท้าของซือหยูเพื่อต้านลูกเตะของเขา
คนดูรอบๆส่ายหัวและเยาะเย้ย
“เจ้าโง่รึเปล่า? ระดับหนึ่งขั้นสูงจะไปสู้ระดับสองได้ยังไง?”
“ถึงซือหยูมันจะโชคดีได้เป็นระดับสอง มันก็สู้อูซงที่อยู่ระดับสองมานานแล้วไม่ไหวหรอก”
แต่ซือหยูยังคงมั่นใจ เขาใช้ขาโจมตีอย่างต่อเนื่อง อูซงป้องกันเขาอีกครั้งแต่มันก็ยากกว่าเดิมเล็กน้อย เขารู้แล้วว่าการโจมตีถัดไปจะทำให้เขาป้องกันยากขึ้น
เขาเริ่มเจ็บนิ้วแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? เหตุใดระดับหนึ่งถึงมีพลังน่ากลัวเช่นนี้?
พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือดผลัดกันโจมตีอย่างต่อเนื่อง
ปั้ง-
เสียงดังจากการต่อสู้ทำให้มันยิ่งดึงดูดคนรอบข้าง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ซือหยูสู้กับอูซงได้นานขนาดนี้เชียวรึ? อูซงกำลังทนอยู่งั้นเหรอ?”
ในที่สุดคนดูก็เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นและหยุดเยาะเย้ยซือหยู
“ข้าไม่เห็นจะเป็นอย่างนั้นนะ อูซงกำลังลำบากอยู่!”
พวกเขาต่อสู้กันอย่างไม่มีอ่อนข้อ
ตอนนั้นเองซือหยูก็ประหลาดใจที่พบว่าอูซงช้าลงมาก เขาเคลื่อนไหวช้าลงสามในสิบส่วน
“...เกิดอะไรขึ้นกัน?”
ซือหยูตกใจ
ข้าไม่สนอีกแล้ว!
เมื่อศัตรูเขาช้าลง ซือหยูก็พบช่องโหว่ที่คางของเขา ทันใดนั้นเขาก็เตะอย่างแรงด้วยขาขวา
พลั่ก-
อูซงถูกเตะอย่างแรงที่ปลายคาง ร่างกายเขาเจ็บปวดอย่างมากและกระเด็นออกไปป หลังของเขาชนเข้ากับมุมเตียงที่ทำจากไม้แข็ง ทำให้เขาเจ็บมากและร้องออกมา หน้าผากของเขามีเม็ดเหงื่อนองหน้า
“นี่เจ้า….เป็นไปได้ยังไง!”
อูซงตกใจมาก อยู่ดีๆซือหยูก็เร็วกว่าเดิมสามเท่าและเตะจนเขากระเด็น
“เจ้าก้าวเข้าสู่ระดับสองแล้วงั้นรึ!”
เมื่ออูซงสัมผัสถึงกำลังภายในของซือหยู เขาก็รู้ว่าร่างกายของซือหยูเปลี่ยนไปมากและทะลุระดับสองแล้ว
คนอื่นที่ดูอยู่รอบๆซือหยูสังเกตพลังของซือหยูและนั่นทำให้พวกเขาอ้าปากค้าง
“อะไรกัน? เจ้านั่น….ซือหยูมันเป็นระดับสองแล้ว!”
หนึ่งในศิษย์ระดับหนึ่งขั้นสูงเปลี่่ยนน้ำเสียงและใจสั่นด้วยความกลัว
ในบรรดาศิษย์ระดับเงิน ซือหยูถือว่ามีฝีมือกลางๆ เขาไม่ได้แย่หรือดี เป็นแค่คนทั่วไปเท่านั้น
อาจารย์เฉินที่สอนพวกเขาบอกว่าซือหยูต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองปีในการฝึกก่อนจะก้าวเข้าสู่ระดับสอง แต่ซือหยูที่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับสองแล้วทำให้หลายคนต้องตกใจ การทีศิษย์ระดับเงินได้ก้าวเข้าสู่ระดับสองนั่นหมายความว่าเขาได้ก้าวข้ามศิษย์จำนวนมากไปแล้ว ศิษย์ที่ดูพวกเขารอบๆ นั้นเป็นเพียงแค่พวกระดับหนึ่งเท่านั้น
เมื่อซือหยูเตะอูซงจนกระเด็นก็ทำให้คนที่ดูอยู่สนใจ ทันใดนั้นพวกคนดูก็รีบกลับเข้าห้องของตัวเอง
“บ้าน่า! ซือหยูมันระดับสองแล้วงั้นเหรอ? ไม่นะ! ข้าเคยแกล้งมันมาก่อน!”
“บัดซบ! เจ้าเด็กนั่นซ่อนพลังมานาน! การที่มันชนะอูซงได้แสดงว่ามันต้องเป็นระดับสองมานานแล้ว มันเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจะได้จัดการกับพวกที่รังแกมันได้! ข้าอาจจะโดนมันเล็งก็ได้!”
“สวรรค์ตามืดบอดหรือไงกัน! ถ้ามันไปถึงระดับสองแล้ว แล้วทำไมข้าถึงทำไม่ได้ล่ะ? การประเมินศิษย์ระดับเงินใกล้เข้ามาแล้วด้วย!”
ตอนนั้นเองทุกคนก็รู้สึกกลัวแบบเงียบๆในห้อง เมื่อซือหยูเป็นศิษย์ระดับสองเขาก็เป็นตัวตนที่โดดเด่นท่ามกลางศิษย์ทั้งหมด ใครที่เคยหยามเกียรติเขาจะต้องลำบากใจแน่ที่จะต้องหวาดกลัวการล้างแค้นของเขา
ซือหยูรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงจากอดีต เขาถอนหายใจเงียบๆ นี่คือโลกที่เกียรติยศและชื่อเสียงตัดสินด้วยพลังจริงๆ!
เขามองอูซงที่โอดครวญด้วยความเจ็บปวดบนพื้น
“เอาเตียงเจ้าออกไป! ตั้งแต่นี้ทางเดินคือบ้านของเจ้า!”
ซือหยูเหวี่ยงแขนและโยนเตียงอูซงออกจากห้อง
เขาปฏิบัติกับศัตรูอย่างไร้ปราณี!
อูซงยากจะยอมรับแต่เขาก็เจ็บปวดอย่างมาก ประกอบกับซือหยูที่เปลี่ยนแปลงไปมาก เขาทำได้แค่กัดฟันและยอมรับความอัปยศเดินออกไป และพริบตาเดียวซือหยูก็หายไปในความมืด
“เป็นไงบ้าง? แผนถึงไหนแล้ว?”
เสียงอันคุ้นเคยของฉินเฟิงดังมาจากความมืด
“เจ้านั่นมันสำเร็จระดับสองแล้ว ข้าหักซี่โครงมันไม่ได้ แผนการล้มเหลวแล้ว”
อูซงตอบกลับด้วยความนับถือ
“สำเร็จระดับสอง? เจ้านั่นน่ะนะ? เจ้าขยะนั่น?”
ฉินเฟิงพึมพัมกับตัวเองด้วยความตกใจ
“เจ้าไปได้แล้ว เจ้าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีก ข้าจะหาคนที่เก่งกว่าเจ้า!”
“ใครกัน?”
อูซงปฏิเสธที่จะยอมรับ หากเขามีเวลามากพอ เขาก็ชนะซือหยูได้แน่
“เฉินเฟิง!”
ฉินเฟิงพูดแดกดัน
“อะไรกัน? แม่หม้ายอสรพิษเฉินเฟิงงั้นเหรอ?”
อูซงที่ไม่พอใจเริ่มเต็มไปด้วยความกลัว
เฉินเฟิงเป็นคนแข็งแกร่งที่สำเร็จระดับสองขั้นสูงแล้ว ในบรรดาศิษย์ระดับเงินเธออยู่ในลำดับร้อยคนแรก เธอใช้วิชาพิษได้อย่างดีเยี่ยมทำให้ยากที่จะเข้าใกล้เธอในระยะสามนิ้ว ซึ่งก็หมายความว่ายากมากหากจะสู้กับเธอ ในการดวลใครก็ตามที่ได้เจอกับเธอจะต้องเจอกับวันที่ยากลำบาก สิ่งที่ทำให้เธอน่ากลัวก็คือแม้ว่าจะเป็นสตรี เธอก็โหดร้ายป่าเถื่อน
เธอโจมตีอย่างดุร้ายเสมอ ไม่มีใครหน้าไหนหนีได้อย่างไร้แผล การกระอักเลือกและซี่โครงหักเป็นการบาดเจ็บปกติหากจะสู้กับเธอ วิชาพิษของเธออยู่ในระดับสูง หลายคนไม่รู้ตัวเลยเมื่อถูกพิษของเธอและมันก็สายเกินไปเมื่อพิษทำงาน
ครั้งหนึ่งศิษย์สตรีที่หน้าตาน่ารักจนเฉินเฟิงต้องอิจฉามาดวลกับเธออย่างเป็นทางการ เธอชนะเพราะมีพลังสูงกว่าศิษย์คนอื่นเล็กน้อย
ในตอนนั้นดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกินขึ้น แต่หนึ่งเดือนถัดมาพิษที่ซ่อนอยู่ในร่างกายผู้หญิงคนนั้นก็ทำงานทำให้ใบหน้าของเธอเป็นหนองและไม่มียารักษา
เธอหดหู่ใจจนจ้องลาออกจากสำนักไป
แม้ว่าผู้อาวุโสในตระกูลเธอจะหาวิธีรักษาใบหน้าของเธอ เธอก็พลาดโอกาสเข้าสำนักและจบอนาคต
ในสำนัก ศิษย์ระดับเงินหลายคนที่ชิงชังเธอ แต่ก็ไม่มีใครกล้าล้างแค้นเพราะเฉินเฟิงเป็นนองสาวของเฉินเทียนหนาน
พลังของเฉินเทียนหนานน่ากลัวเทียบได้กับศิษย์ระดับทองคำ ไม่มีศิษย์ระดับเงินคนไหนสู้เขาได้ ดังนั้นเขาจึงได้ชื่อว่าเป็นราชาระดับเงิน นั่นหมายความว่าเขาเป็นศิษย์ระดับเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนัก!
เฉินเทียนหนานเป็นคนโหดร้ายเช่นเดียวกับเฉินเฟิง แล้วใครจะกล้าไปล้างแค้นเฉินเฟิงกัน?
เมื่อคิดถึงคนที่น่ากลัวอย่างราชาระดับเงินอูซงก็หน้าซีด หากซือหยูเจอเธอล่ะก็...อูซงตัวสั่นด้วยความกลัว ไม่ว่าผลการต่อสู้จะเป็นยังไง แต่เขาก็ต้องเจอกับผลที่ตามมาแน่
เช้าวันถัดมาซือหยูรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เขาตื่นเต้นตลอดทั้งคืน หม้อทองแดงนั่นได้ให้โอกาสเขาพลิกโชคชะตา เขาใช้เวลาทั้งคืนตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของร่ายกาย
เขาหยุดคิดเรื่องหม้อทองแดงในหัวที่ไม่ขยับแม้แต่น้อย การเปลี่ยนแปลงสำคัญคือดวงตาของเขา ม่านตานั้นไม่เพียงทำให้เขาเห็นในความมืด มันยังมอบพลังให้เขาเพิ่มความเร็วอีกด้วย
สำหรับคนในทวีปชินหยูแล้วนี่อาจจะเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ
ซือหยูมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์อยู่มากทำให้เขาเข้าใจหลักการที่ทำให้เขาเพิ่มความเร็ว...มันคือการจัดการพื้นที่และเวลา!
ในตอนที่เขาต่อสู้ อูซงรู้สึกได้ว่าเขาเร็วขึ้นกว่าเดิมสามในสิบส่วน ทำให้เขารู้ว่าเขามีพลังที่จะฝืนธรรมชาติได้ ซือหยูจึงนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
หากเป็นอย่างนี้ ต่อให้คู่ต่อสู้ของเขามีพลังสูงกว่าเล็กน้อย เขาก็ยังมีโอกาสชนะ
เขายังไม่รู้สึกอิ่มเอมใจจากพลังใหม่ของเขา พลังของเขายังอ่อนแอเกินไป!
สำหรับเขาได้สำเร็จระดับสองในคืนก่อนและชนะอูซงก็เพราะการหมั่นฝึกฝนที่ทำให้เขามีพื้นฐานที่หนักแน่น
แต่ศัตรูที่แท้จริงของเขาไม่ใช่อูซง...มันคือฉินเฟิง ศิษย์ระดับทองคำที่เหนือกว่าคนทั้งหมดและยังเป็นบุตรชายของผู้มีอำนาจอย่างดยุคฉิน!
“เพื่อจะแกร่งขึ้น ไม่ใช่แค่ต้องฝึกหนักกว่าเดิม วิธีการก็สำคัญไม่แพ้กัน! พรุ่งนี้ข้าจะเลือกวิธีบ่มเพาะพลัง!”
หลังรุ่งสาง ซือหยูไปที่ห้องตำราในสำนักทันที
ด้วยบัตรลูกศิษย์สำนัก เขาสามารถเข้าออกสำนักได้ แต่ศิษย์ระดับเงินเข้าได้เพียงระดับแรกเท่านั้น ระดับสองและสามต้องสูงกว่านั้น
มีเพียงศิษย์ระดับทองคำเท่านั้นที่เข้าเขตระดับสองได้ ในระดับสามมีเพียงศิษย์อสูรสิบคนที่ไม่เคยปรากฏตัวออกมาเข้าไปได้ แม้ว่าซือหยูจะอิจฉาคนที่ระดับสูงกว่า เขาก็ยังไม่คู่ควรพอ ดังนั้นเขาจึงจำยอมเข้าไปในระดับแรก
“วิชาบ่มเพาะพลัง 101 กับ 1,001 วิชาช่วยบ่มเพาะพลัง เจ้าเลือกเรียนได้หนึ่งอย่างและจะเรียนวิชาอื่นไม่ได้ไปอีกครึ่งปี”
ชายแก่ในห้องตำราแนะนำเขา เขามองซือหยูต่างออกไป
เมื่อศิษย์สำนักเริ่มฝึกวิชาบ่มเพาะพลัง พวกเขาไม่ได้คิดมันอย่างหนักแน่นนัก เมื่อพวกเขาไม่เห็นพลังที่เพิ่มขึ้นมาเมื่อฝึกเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็เปลี่ยนวิถีและเรียนอย่างอื่นต่อ
นั่นเป็นเรื่องที่เปลืองพลังและเวลามาก และจะไม่ได้อะไรเลย ประมาณกันว่าผลจากการฝึกจะได้ผลหลังจากที่ฝึกมาหกเดือน
ศิษย์สำนักจะต้องเลือกวิธีบ่มเพาะพลังอย่างรอบคอบ หากเลือกผิดทางพวกเขาจะต้องรอไปอีกหกเดือน และหลังจากที่ศิษย์สำนักเลือกวิชาแล้ว พวกเขาต้องมั่นใจในการฝึกวิชา ซือหยูคิดว่ามันน่าเสียดายที่เขาจะเรียนวิธีบ่มเพาะพลังใหม่ได้อีกในครึ่งปี
วิชาบ่มเพาะพลังแบ่งเป็นสามระดับคือระดับพื้นฐาน ระดับกลาง และระดับสูง
“ลูกเตะหยกต่อเนื่อง” เป็นวิชาพื้นฐาน และในบรรดาวิชาเพาะบ่มพลังมันยังเป็นเป็นวิชาพื้นฐานที่ฝึกได้ง่ายที่สุด
พลังของซือหยูในอดีตไม่มากนัก เขาจึงเริ่มฝึกได้ช้า เขาจึงจงใจที่จะเลือกวิชาบ่มเพาะพลังที่ดูดซับและฝึกได้ง่าย