DND.2 - หม้อเก้ามังกรศักดิ์สิทธิ์
รูปปั้นแก้วนั้นเป็นสิ่งที่ซือหยูทำเองกับมือและมอบให้กับเจียงซื่อฉิงเพื่อแทนเครื่องหมายแห่งความรัก
ทุกเดือนสำนักจะมอบเงินหนึ่งตำลึงแก่ศิษย์แต่ละคน ซือหยูใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น เขาไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่หรือกินอาหารที่ดี ขณะที่ศิษย์หนุ่มคนอื่นดื่มเหล้าใต้จันทรา ซือหยูก็เก็บเงินและไม่เอามาใช้สักแดงเดียว
เขาใช้เงินทั้งหมดที่สะสมไว้ซื้อแก้วและค่อยๆสลักมันทีละเล็กทีละน้อยเพื่อให้มันกลายเป็นเจียงซื่อฉิงที่งดงาม
ในหน้าร้อน ขณะที่คนอื่นเพลิดเพลินกับบรรยากาศเย็นสบาย เขาก็สลักมันต่อไปจนเหงื่อไหลไม่หยุด ครึ่งหนึ่งเขาถึงกับป่วยจากความร้อนและต้องไปพักฟื้นตัวในหอพัก
ในหน้าหนาว ขณะที่คนอื่นอบอุ่นท่ามกลางเตาไฟ เขาก็อดทนสลักมันจนความเย็นทำให้ผิวหนังของเขาแตกและเลือดไหลออกมา
หลังจากหนึ่งปีเขาก็สลักเจียงซื่อฉิงที่สวยงามที่สุดเท่าที่เขาจะจินตนาการได้สำเร็จ
เขายังจำเจียงซื่อฉิงที่มีแววตาสดใสอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความตื่นเต้นนั้นได้
แต่หนึ่งปีหลังจากนั้นเธอก็ได้คืนทุกอย่างกับเขา
ซือหยูก้มลงมองรูปปั้นแก้วอันงดงามในมือ มันมีดวงตาคู่สดใสราวกับดวงดารา ไม่ใช่แค่เพราะมันไม่มีค่ากับซือหยูตัวจริง มันยังคงเป็นสิ่งเย้ยหยันเขาอีก
กับคนในอดีต สตรีหลายคนก็ร่วมหลับนอนกับบุรุษที่มั่งมี
เขาไม่ได้ชอบเจียงซื่อฉิงอีกแล้ว นอกจากรูปร่างที่ดูงดงาม เธอก็ไม่มีอะไรดีเลย
“เมื่อความรักได้สิ้นไปแล้ว ข้าจะเก็บมันไว้เพื่อสิ่งใดอีกเล่า? ของสิ่งนี้มันไม่มีความหมายอีกแล้ว”
น่าแปลกใจที่ซือหยูไม่ได้แสดงอาการผิดหวัง เสียใจ หรือโกรธแค้น เขาใจเย็นราวกับทะเลสาบในฤดูใบไม้ร่วง
เพล้ง-
รูปปั้นงดงามแตกกระจายออกทันที สิ่งเชื่อมสัมพันธ์สุดท้ายระหว่างเขากับเจียงซื่อฉิงก็หายไป
เขายืดตัวและยิ้มอย่างโล่งใจราวกับว่าได้ยกภูเขาออกจากอก
“ถ้าเป็นอย่างนี้ข้าจะได้ไม่ต้องคิดมาก ข้าห่วงว่าเจ้าจะยังมีความรู้สึกหลงเหลืออยู่น่ะ”
หากเจียงซื่อฉิงยังคงเหลือความรู้สึกต่อซือหยู บางทีเศษวิญญาณที่ยังเหลืออยู่คงจะกังวลและไม่สบายใจ
เธอแน่วแน่มาก ทันทีที่เธอคืนเครื่องหมายแห่งความรัก ความผูกพันทั้งหมดที่ซือหยูรู้สึกก็ได้หายไป
“ลาก่อน อดีตฉิงเอ๋อของข้า...อดีตคนรักของข้า”
เขาโบกมือและถอนหายใจอย่างอ่อนโยนราวกับว่ามันเป็นข้อความส่งถึงซือหยูคนเก่าที่บอกให้เขาได้จากไปอย่างสงบ หลังจากนั้นเขาจะได้ผ่อนคลายลงและเป็นอิสระโดยไม่หันหลังกลับ
มาและไปราวกับฝุ่นผง หายไปตามมิติแห่งกาลเวลา
ซือหยูได้จากไปแล้ว เหลือไว้แต่ซือหยูคนใหม่
เจียงซื่อฉิงตัวสั่น คำพูดอำลาดูเหมือนจะเจาะทะลุน้ำแข็งที่ปกคลุมหัวใจของเธอ
เธอหันกลับไปมองแผ่นหลังของซือหยู แต่เธอก็เห็นเพียงเงาที่จมหายไปตามฝูงชน
ทันใดนั้นใจของเธอก็สั่น ราวกับว่าเธอได้สูญเสียสิ่งที่ล้ำค่าอย่างมาก...ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เธอจะหาไม่ได้อีกแล้ว
เธอมองรูปปั้นแก้วที่แตกกระจายอย่างเสียขวัญ
หลังจากทำใจอยู่นานเธอก็ดีขึ้น ดวงตาของเธอแข็งกร้าวเพราะเธอได้ทำลายด้ายเส้นสุดท้ายในใจไป
“ข้า เจียงซื่อฉิงที่งดงาม ข้าถูกลิขิตให้เป็นสตรีที่ยอดเยี่ยม เจ้า...ซือหยู...คู่ควรกับข้างั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ความผิดข้า! นี่เป็นเพราะเจ้าไร้ความสามารถ! ทางที่ข้าเลือก...เจียงซื่อฉิงจะต้องไม่คิดผิดอย่างแน่นอน!”
จากนั้นเจียงซื่อฉิงก็จากไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ฉินเฟิงมองด้วยสายตาแข็งกร้าว เขาพูดอย่างดูถูก
“เจ้าหมอนั่นแสร้งทำสบายใจเพื่อเอาชนะฉิงเอ๋อ ฮื่ม...ข้าไม่คิดว่ามันจะยอมหรอก!”
ต่างจากฉินเฟิง ดยุคฉินมองแผ่นหลังของซือหยูและคิดว่ามันน่าจะมีอะไรซ่อนอยู่และส่ายหัว
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น! ชายคนนั้นไม่ได้ไร้ค่าอย่างเจ้าพูด เขาใจเย็นและยืดหยุ่นเป็นอิสระ หากฝึกสักหน่อยเขาก็จะเก่งขึ้นมาได้”
“งั้นก่อนที่มันจะผงกหัวขึ้นมาก็ฆ่ามันซะสิ!”
ฉินเฟิงไม่ชอบใครก็ตามที่มีสัมพันธ์กับผู้หญิงของเขา โดยเฉพาะคนที่เคยรักกันมาก่อน
ดยุคฉินส่ายหัว
“ไม่! จักรพรรดิใกล้จะจบชีวิตลงแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาแย่งบัลลังก์ ข้านั้นสนับสนุนองค์รัชทายาท เจ้าชายคนอื่นตอนนี้ก็มองข้าเป็นเสี้ยนหนามแล้ว”
“พวกเขาจับผิดข้างทุกอย่าง เจ้าที่ขโมยคู่ของคนอื่นมาก็แสดงให้ข้าที่ไม่ได้สอนสั่งเจ้าให้ดี นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาจะใช้ต่อต้านข้าโดยง่าย”
เมื่อเขาพูดถึงตรงนี้เขาก็เริ่มโกรธเล็กน้อย
“ตอนที่ข้ายุ่งอยู่กับกิจการเมือง ทำไมข้าต้องลงมาเขตเซียนหยูเพื่อช่วยเจ้าเรื่องนี้กัน?”
“ตอนนี้ ถ้าเจ้าฆ่าซือหยูมันก็ไม่ต่างกันเจ้าฆ่าคนเพื่อขโมยภรรยา...ข้าที่เป็นพ่อเจ้าก็ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เหมือนกัน!”
ดยุคฉินใจเย็นมาก
“ตอนนี้เจ้ารอไปก่อน ไม่สายไปถ้าจะฆ่าเขาหลังจากเรื่องขัดแย้งในบัลลังก์เสร็จแล้ว”
ฉินเฟิงเข้าใจแต่เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ
“หมายความว่าข้าต้องปล่อยให้เขาลอยหน้าลอยตาผ่านข้าไปงั้นสิ? มันเป็นเสี้ยนหนามของข้า และข้าจะต้องริดมันทิ้งไป”
ดยุคฉินโบกมือเบาๆ
“ถึงเราจะฆ่ามันไม่ได้ตอนนี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราทำอะไรมันไม่ได้เลย เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ข้าที่เป็นพ่อเจ้าจะหาทางเอาซือหยูออกไปจากสำนักเพื่อตัดเส้นทางยุทธของเขา เราจะได้ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะมาทำอะไรเราในอนาคต”
หลังจากดื่มชาถ้วยน้อย ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อสีฟ้าก็พาดยุคฉินกลับ
“ข้าจะให้เจียงซือฉีจัดการเรื่องนี้”
ดยุคฉินแอบให้ของขวัญเพื่อเป็นของแทนความสัมพันธ์ระยะยาวกับเขา
เจียงซือฉีหัวเราะ
“ท่านดยุคไม่ต้องกังวล อีกครึ่งปีจะมีการประเมินของสำนัก ทุกปีมีศิษย์ระดับเงินถูกขับออกไปกว่าครึ่ง ซือหยูที่ความสามารถต่ำ ก็จะเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน”
“หากเป็นเช่นน้ันก็ดีแล้ว”
ดยุคฉินจากไปด้วยความโล่งใจ
เมื่อฉินเฟิงเห็นพ่อของเขาออกไปแล้ว เขาก็เกิดความคิดขึ้นมา
“ฮื่ม ถึงข้าจะไม่ต้องลงมือเองเขาก็ต้องถูกไล่ออกไปอยู่ดีสินะ ช่างง่ายดายเสียจริง”
เขาพูดอย่างเย็นชา
“ฉิงเอ๋อยังคงมีเยื่อใยกับมัน นางจะต้องเห็นซือหยูตกที่นั่งลำบากและรู้เสียทีว่าชีวิตมันช่างยากกับเขา และนางก็จะเลิกคิดกลับไปหามัน!”
ซือหยูกลับมาที่ป่าในเทือกเขาและฝึกฝนต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นก็มีผลกับเขามากและทำให้เขาเพ่งสมาธิกับการฝึกไม่ได้
เมื่อซือหยูมองไปยังท้องนภากว้างใหญ่ เขาก็กำหมัดแน่น
“แม้ความอับอายวันนี้จะเป็นของซือหยูคนก่อน ใครจะไปคิดว่าข้าเองก็ต้องทุกข์ทรมานเช่นเดียวกันด้วย?”
“ในโลกที่ยอมรับเพียงความแข็งแกร่งนี้ ทำไมพลังของข้าจึงต่ำนัก ถึงข้าจะฝึกมากกว่าคนอื่นหลายเท่า การเติบโตของข้าเหตุใดจึงได้เพียงครึ่งของศิษย์พวกนั้นกัน?”
เขามองท้องฟ้าอย่างไม่ยอมรับในโชคชะตา เขาตะโกน
“สวรรค์ไม่ยุติธรรม! หากมอบพลังให้ข้ามากกว่านี้ ข้าจะฝึกหนักเป็นสิบเท่าและเป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์และปกครองมนุษย์พวกนี้!”
เสียงดังก้องกังวาลที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจที่เขาจะปฏิเสธโชคชะตาได้ดังไปไกลถึงสรวงสวรรค์
ครืน-
ทันใดนั้นซือหยูก็เงยหน้า เขาเห็นวัตถุสีดำตกลงมาจากฟากฟ้าพร้อมกับเสียงดังราวกับฟ้าผ่า และมันกำลังร่วงมาทางเขา
“บัดซบ! ข้าแค่ตะโกนใส่ท้องฟ้า ทำไมข้าต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย?”
ตู้ม-
อ๊าก-
เสียงกรีดร้องดังไปทั่วทำลายความเงียบสงบของป่าเทือกเขา
ซือหยูหมดสติอยู่ตรงนั้นและไม่รู้ตัวว่ายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
ตกกลางคืน
“อ๊ากก...เจ็บๆๆๆ”
เขาสะบัดแขนขาเรียกสติกลับคืนมา เขาเอามือมาปิดหน้าผาก ปากของเขาสั่นระริก
“มือข้า!”
ซือหยูประหลาดใจ แม้จะเป็นกลางคืนเขาก็เห็นได้อย่างชัดเจนราวกับกลางวัน เขาเห็นมือของเขาอย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมองเห็นคางคกซ่อนอยู่ในร่องเห็นรอคอยเหยื่อที่อยู่ห่างออกไปร้อยเมตร
เขามองภาพสะท้อนจากเศษโลหะและต้องแปลกใจที่พบว่าม่านตาของเขาได้กลายเป็นสีขาวราวกับธาตุบริสุทธิ์อันงดงาม
เขาลุกขึ้นยืนด้วยความสับสน
“ร่างกายข้า!”
เขากระโดดขึ้นลงแต่พลังขาของเขาก็สูงกว่าที่คิดทำให้เขาเสียการทรงตัวจนเกือบจะล้มลง
หลังจากสำรวจไม่าน เขาก็พบว่ากำลังภายในของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ร่างกายของเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนละคน เขาตัวเบาและคล่องแคล่วราวกับวิหค เหมือนกับว่าเขาได้เอาน้ำหนักยี่สิบกิโลออกไปจากร่างกายของเขา
“ข้าก้าวเข้าสู่ระดับสองแล้ว!”
ซือหยูประหลาดใจและดีใจอย่างฉุดไม่อยู่
เขาอยู่ในระดับหนึ่งขั้นสูงมานานกว่าหกเดือนและไม่สามารถทะลุขอบเขตของระดับสองไปได้
เขาไม่คิดว่าเพียงโดนฟาดที่หัวแบบสุ่มๆ จะทำให้เขาก้าวข้ามระดับสองจนได้
ซือหยูสงสัยและเริ่มตรวจสอบต่างกาย
เขาประหลาดใจที่พบว่าในจิตของเขามีหม้อทรงโบราณสีทองแดงขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือที่มีลายมังกรเก้าตัวสลักเอาไว้ มังกรทั้งเก้าดูมีชีวิต มีของเหลวไหลออกมาจากหม้อนั้นและเปลี่ยนร่างกายของซือหยูอย่างมาก
“หรือจะเป็นไอ้นั่น...หม้อที่ตกใส่หัวข้าแล้วก็เข้ามาอยู่ในจิตงั้นเหรอ? เวลาเดียวกันของเหลวสีแดงประหลาดนั่นก็ชำระร่างกายข้าและทำลายสิ่งกีดขวางพลังภายในจนทำให้ข้าก้าวเข้าสู่ระดับสองเช่นนั้นหรือ?”
ซือหยูที่สับสนพยายามจะเอาหม้อเล็กออกไปแต่มันก็ไม่เป็นผล
หลังจากขบคิดอยู่นาน ซือหยูก็กัดฟัน
“ข้าไม่รู้ว่ามันจะโชคดีหรือโชคร้าย แต่ถ้ามีมันเข้ามาทำให้ข้าไปถึงระดับสองและให้ดวงตาแปลกๆกับข้า จากนี้ไปข้าจะอุทิศตัวให้กับการฝึกเท่านั้น ข้าจะต้องผ่านการประเมินในอีกครึ่งปีให้ได้”
ซือหยูกำหมัดด้วยความตื่นเต้น
เขามองขึ้นไปยังสวรรค์อีกครั้ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“กับพวกคนที่เฉยชาต่อข้า ขอบคุณที่เป็นเชื้อเพลิงแก่ข้า ทำให้ข้าไม่ยอมสยบแก่ใคร และให้ชีวิตอันน่าสนุกนี้กับข้า!”
เมื่อสายตากระจ่างชัดแล้ว การเดินทางจากเทือกเขากลับไปยังหอก็เป็นเรื่องง่ายดาย
ศิษย์ระดับเงินสองคนจะแบ่งหอพักด้วยกัน ด้วยความเล็กและแคบของห้องทำให้มีเตียงเพียงเตียงเดียว
ว่ากันว่าศิษย์ระดับทองคำมีสวนส่วนตัวและคนรับใช้อีกด้วย
ทั้งสำนักนี้มีศิษย์ระดับเงินหมื่นคนและระดับทองคำอีกร้อยคน มีข่าวลือว่าศิษย์แกนหลักที่ก้าวเข้าสู่ระดับอสูรมีเพียงสิบคนเท่านั้น
ใครก็คิดก็ได้ว่ามันยากแค่ไหนกับศิษย์ระดับเงินที่จะจินตนาการออกว่าความสะดวกสบายในพื้นที่ส่วนตัวแบบศิษย์ระดับทองคำเป็นยังไง
เพื่อนร่วมหอของซือหยูเป็นเด็กหนุ่มผิวคล้ำดูอารมณ์ไม่ดีชื่ออูซง
เขามาถึงระดับสองขั้นต้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน การที่มีเขาอยู่ร่วมหอกันทำให้ซือหยูถูกใช้ให้ทำนู่นทำนี่อย่างง่ายดาย
เขาแข็งแกร่งจนซือหยูทำอะไรไม่ได้ ประกอบกับเขาไม่ได้ร้ายนักกับซือหยู เขาจึงทำได้เพียงยอมรับความอัปยศ
“ออกไป! คืนนี้เจ้าไปนอนที่ทางเดิน!”
เมื่อซือหยูเปิดประตูอูซงก็เตะเขาอย่างรวดเร็วราวกับขาขวาของเขาเป็นเงาแส้ทมิฬ
ลูกเตะที่คาดเดาไม่ได้ในยามวิกาลทำให้ยากที่จะป้องกันลูกเตะนั้น
แต่ดวงตาของซือหยูได้เปลี่ยนไปแล้ว ความมืดในยามวิกาลไม่มีผลกับเขาอีกต่อไป
เขาเขย่งเท้าเล็กน้อยโดยใช้พลังจากนิ้วเท้า ด้วยร่างกายที่เบาราวกับวิหคทำให้เขากระโดดสูงกว่าหนึ่งเมตร
ฟิ้ว-
อูซงเตะผ่านอากาศไป เขาท่าทีเปลี่ยนแปลงไปเพราะไม่คิดว่าซือหยูจะหลบการเตะของเขาได้
“เจ้าทำอะไรของเจ้า?”
ดวงตาของซือหยูเย็นชา
ซือหยูคนใหม่ตัวซีดกว่าแต่ก่อน และเขาไม่ใช่กระสอบทรายอีกแล้ว เขาไม่ต้องยอมรับความอัปยศอีกต่อไป
“หลังจากเจอเจ้าข้าก็ไม่พอใจเอาซะเลย เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่? ออกไปซะ! นับจากวันนี้ห้องนี้เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว เจ้าไปนอนที่ทางเดินซะ!”
อูซงมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
ซือหยูฉลาดเท่าใดกัน? เขาจึงคิดได้ว่ามีบางอย่างแปลกไป แม้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับอูซงจะไม่ดีนัก แต่มันก็ยังไม่ถึงขั้นนี้
เมื่อเขาคิดว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เขาก็เริ่มเดาสถานการณ์
อูซงอาจจะถูกฉินเฟิงติดสินบน ลูกเตะเมื่อสักครู่ของเขาไม่ได้ออมแรงเลย เขาอยากจะให้ซือหยูบาดเจ็บจริงๆ
มาถึงขั้นนี้แล้ว ทำไมซือหยูยังทนได้กันนะ?