DND.1 - ศิษย์ระดับเงิน
แสงประกายส่องทะลุฟ้าคราม เผยขอบฟ้าสว่างสดใส
อึ่ก-
ปั่ก ปั่ก-
ในเทือกเขาหลังเขตเซียนหยูเป็นที่ตั้งของสำนักฝึกจอมยุทธ ที่นั่นมีเด็กหนุ่มร่างผอมสวมชุดผู้ฝึกยุทธตัวหลวมโครก เขานั่งสมาธิโดยใช้ลิ้นดันฟันเอาไว้ เขาเพ่งสมาธิทั้งหมดไปยังมือทั้งสองข้างปล่อยเพลงหมัดใส่ต้นไม้ใหญ่
เขาใช้วิชาหมัดอย่างเชียวชาญและอ่อนช้อย เขามีพลังใจในการต่อสู้เปรียบดั่งไฟอันลุกโชน วิชาหมัดของเขาได้ไปถึงระดับของชายชาตรีเรียบร้อยแล้ว
เด็กหนุ่มมีนามว่าซือหยู เขาอายุสิบสี่ปี แม้ว่าเขาจะตัวสูงและหน้าตาหล่อเหลา แต่เขาก็มีส่วนที่เป็นเด็กอยู่บ้าง
เขามีผมดำและดวงตากว้างใหญ่เป็นประกายราวกับดวงดาราเปล่งประกายบนท้องนภา แสดงให้เห็นถึงสติปัญญาที่สูงกว่าวัย
ค่อนสองชั่วยาม พระอาทิตย์ก็ขึ้น
ซือหยูหยุดฝึกวิชาหมัด เขามองหมัดที่เปรอะเลือดและถอนหายใจ
“แม้ข้าจะฝึกหนักกว่าคนอื่นเป็นสองเท่า พัฒนาการข้าก็ยังไม่ถึงครึ่งของพวกศิษย์อัจฉริยะสินะ”
“มันเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันที่ข้าได้มายังโลกนี้”
สองเดือนก่อน ซือหยูเกิดอุบัติเหตุบนเครื่องบิน เมื่อเขาตื่นมาก็พบว่าเขาถูกส่งมาในโลกที่เรียกว่าทวีปชินหยู
จากนั้นเขาก็ได้กลายมาเป็นศิษย์สำนักจอมยุทธของทวีปนี้
เขาใช้เวลาสองเดือนเต็มๆ ก่อนที่เขาจะทำความเข้าใจความทรงจำในร่างใหม่ของเขา
ในทวีปชินหยู จอมยุทธเท่านั้นที่จะมีชื่อเสียงและเกียรติยศ ยิ่งกว่านั้นผู้ที่อ่อนแอก็จะถูกผู้แข็งแกร่งกลืนกิน มันช่างเป็นความจริงอันโหดร้ายของทวีปชินหยู
เหล่ามนุษย์ลับฝีมือของตนเองเพื่อเข้าสู่ขอบเขตที่สูงที่สุด เมื่อทำเช่นนั้นแล้วเขาจะได้ไปยังขอบเขตแห่งพระเจ้า
ในเส้นทางจอมยุทธแบ่งระดับพลังเป็นเก้าระดับ ในแต่ละระดับประกอบไปด้วยชั้นต้น ชั้นกลาง และชั้นสูง
ว่ากันว่าเมื่อก้าวข้ามระดับทั้งเก้าและเหนือขีดจำกัดแล้วจะได้เป็นพระเจ้าตามที่ตำนานว่าไว้ และจะเป็นที่รู้จักในนามราชันย์ศักดิ์สิทธิ์
ขอบเขตของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เป็นความยิ่งใหญ่สูงสุดในเส้นทางยุทธและคนหลายร้อยล้านคนพยายามจะไต่ไปยังระดับนั้น
บางคนก็ว่าราชันย์ศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจทุกอย่าง ทั้งยกภูเขาและเติมเต็มมหาสมุทร ได้นั่งอยู่บนท้องเมฆและบินไปกับม่านหมอก
ตัวตนของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์นั้นเทียบเท่าพระเจ้า ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวก็สามารถเปลี่ยนยุคสมัยได้นับร้อยปี
แต่ทำไมการฝึกตนบนโลกนี้มันยากเหลือเกินนะ?
ในเขตเซียนหยู ซือหยูเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะของเมืองฉิงซาน เมื่ออายุสิบสี่ปีเขาก็ได้อยู่ในระดับหนึ่งขั้นสูงแล้ว เขาเป็นอัจฉริยะในร้อยปีของฉิงซาน
แต่เมื่อซือหยูถูกสำนักในเซียนหยูเรียกตัวไป เขาก็พบว่าเขาไม่รู้อะไรเลยในเส้นทางนี้
สำนักเขตเซียนหยูเป็นสำนักที่รับเฉพาะอัจฉริยะและจะเปิดรับศิษย์ใหม่เพียงปีละครั้ง
แต่ในบรรดาอัจฉริยะในสำนักนั้น ซือหยูถือเป็นคนที่ระดับต่ำที่สุด ในสำนักนี้ ศิษย์จะแบ่งเป็นสามหมวดหมูตามระดับพลัง
มีศิษย์อัจฉริยะที่เป็นแกนหลักและได้ไปถึงระดับอสูร เมื่อเทียบพวกเขากับคนอื่นในดินแดนกว้างใหญ่ของเขตเซียนหยูแล้ว พวกเขาทุกคนคือที่สุดของที่สุดและมีโอกาสมากที่สุดที่จะได้เป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์
ศิษย์ระดับทองคำเป็นอัจฉริยะที่ถูกรวบรวมมาจากอัจฉริยะในเมืองต่างๆ การฝึกของสำนักจะให้โอกาสกับพวกที่มีความสามารถสูงก่อนในการเพาะบ่มพลัง
ศิษย์ระดับเงินเป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถจากเมืองเล็กๆ พวกเขาถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์เหนือคนอื่น ถ้าฝึกหนักอีกสักหน่อย พวกเขาก็ยังมีหวัง
ซือหยูเป็นหนึ่งในศิษย์ระดับเงิน เขาเข้าใจว่าศิษย์ระดับเงินแท้จริงแล้วไม่มีหวังที่จะได้ไต่ระดับสูงขึ้น แต่มันก็น่าเสียดายที่จะล้มเลิกในเส้นทางยุทธ และแม้ว่าความสามารถพวกเขาจะน้อยหรือไม่มีค่า พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะเดินออกทางเส้นทางในการฝึกตน
ศิษย์ระดับเงินไม่ได้ถูกเหลียวแลมากนัก สิ่งที่สำนักเตรียมให้จึงถูกจำกัดอย่างมาก ดังนั้นแล้วการที่ศิษย์ระดับเงินจะได้บรรลุสิ่งใดก็แทบจะเป็นศูนย์
“ซือหยู กลับมาที่สำนักเดี๋ยวนี้ ดยุคฉินอยากพบเจ้า!”
เสียงดังทะลุผ่านป่าในเทือกเขาอันเงียบสงบ จากนั้นก็มีชายวัยกลางคนสวมเสื้อสีฟ้าวิ่งขึ้นเขาและแสดงความกังวลบนใบหน้า
ดยุคฉิน? ซือหยูหยุดนิ่งไปชั่วครู่ คนธรรมดาอย่างเขาจะมีโอกาสได้พบดยุคฉินได้อย่างไรกัน?
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงภาพคนที่งดงาม จากนั้นเขาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมดยุคฉินจึงอยากพบเขา เขาแสยะยิ้ม
“ทำไมเจ้ายังยืนอยู่ตรงนั้นอีก? เจ้าไม่สนใจที่จะพบดยุคฉินงั้นหรือ? ตามข้ามา!”
ชายวัยกลางคนเดินมาหาซือหยู เขาลากไหล่ของซือหยูลงจากเขาโดยไม่สนใจร่างผอมบางของเขา
ซือหยูกัดฟันและอดทนความเจ็บปวดที่ไหล่โดยไม่ปริปาก
ชายคนนี้คือผู้ฝึกสอนที่รับหน้าที่ดูแลชีวิตประจำวันของศิษย์ในสำนัก ในโลกก่อนหน้าของเขาชายคนนี้ก็คือหัวหน้าฝ่ายกิจการนักเรียนนั่นเอง
หลังจิบชาครึ่งถ้วย….
ในสำนักมีห้องรับรองที่หรูหราฟู่ฟ่าราวกับอยู่ในฝัน
มีเพียงศิษย์แกนหลักและผู้คนระดับสูงเท่านั้นที่จะเข้ามาในห้องรับรองนี้ได้ นอกจากนั้นศิษย์ระดับทองคำและระดับเงินถือว่าไม่คู่ควรที่จะเข้าไป
นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูได้เข้ามายังห้องรับรองอันหรูหรานี้ มันทำให้เด็กยากจนอย่างเขากังวล ในเบื้องหน้าเขาหากเป็นที่โลกก็นับได้ว่าเป็นโรงแรมหรูห้าดาว ด้านในห้องรับรองมีคนสามคน เด็กหนุ่ม เด็กสาว และชายที่ดูสง่างามที่ให้บรรยากาศของชนชั้นสูง
เมื่อซือหยูเห็นเด็กสาวอายุสิบสี่ปีดวงตาเขาก็นิ่งเป็นน้ำแข็ง
เธอเป็นเด็กสาวที่น่ารักราวกับนางไม้ที่ใบหน้าถูกสลักอย่างปราณีต รูปร่างอ่อนช้อยของเธอขับส่งผิวขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะที่ตกในฤดูใบไม้ผลิ เธอสวมเสื้อขาวสะอาดทำให้เธอดูเหมือนภูติจิ้งจอกขาว และเธอก็สวยงามมาก
เธอมองตาซือหยูด้วยสายตาซับซ้อน
ข้างเธอมีชายหนุ่มอายุสิบหกยืนอยู่ เขาหน้าตาดี ผ่าเผยและดูหลักแหลม ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิ้งกับซือหยูที่สวมชุดฝึกยุทธปอนๆ ชายหนุ่มสวมชุดหรูหรา เขามองซือหยูด้วยแววตาชิงชัง สุดท้ายคือชายที่สง่างามและหน้าตาดีที่ตัวสูงใหญ่ เพียงเขายื่นนิ่งๆ ก็ส่งบรรยากาศคุกคามกับคนรอบๆ
“เจ้าจะต้องเป็นซือหยู...ใช่ไหม? ข้าคือดยุคฉิน ยินดีที่ได้พบ”
ดยุคฉินคือหนึ่งในสามดยุคหลักของแคว้นเฟิงหลิน ในตอนนี้เขาไม่ได้มีท่าทีหยิ่งยโสแต่กลับเชิญซือหยูให้นั่งด้วยรอยยิ้ม
ซือหยูส่ายหัวอย่างหมดแรงและไม่ขยับตัวเลย
คนตำแหน่งสูงเช่นพวกเขาระวังเรื่องภาพลักษณ์และชื่อเสียงมากเพราะมีสายตาผู้คนหลายล้านจับจ้องอยู่
เช่นเดียวกับนักการเมืองบนโลก แม้ว่าพวกเขาจะจับมือและทักทายด้วยรอยยิ้มเมื่อเจอกัน แต่ฉากหลังพวกเขาก็พร้อมที่จะแทงข้างหลังกันและกันตลอดเวลา
“ข้าคือพ่อของฉินเฟิงและข้ามาที่นี่เพราะเรื่องของเขากับเจียงซือฉิง”
ดยุคฉินยิ้ม
“ข้าได้ยินเรื่องจากเฟิงเอ๋อมาแล้ว ข้าที่เป็นพ่อของเฟิงเอ๋อต้องขออภัยด้วย”
ความเจ็บปวดที่ซือหยูรู้สึกในหัวใจนั้นเป็นไปตามเศษเสี้ยววิญญาณของซือหยูคนก่อนด้วย
เจียงซือฉิงคือเด็กสาวอัจฉริยะที่มาจากฉิงซานกับซือหยู เขาทั้งคู่ได้ถูกรับเข้ามาในสำนักพร้อมๆ กัน
พวกเขาเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นทำให้พวกเขามีความรู้สึกต่อกัน พวกเขารักกันดั่งกิ่งทองใบหยก
แต่หลังจากที่ได้มายังสำนักนี้แล้ว เจียงซือฉิงที่มาจากชนบทของฉิงซานก็มึนเมาไปกับโลกอันกว้างใหญ่และกลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา
ความงามของเธอทำให้ลูกหลานของผู้มีอำนาจอยากจะไล่ตามเธอ
ในทีแรกเธอก็อยู่กับซือหยู แต่เมื่อเธอพบความจริงของโลก สุดท้ายเธอก็เปลี่ยนไปไม่เหลือคราบเด็กสาวไร้เดียงสาเช่นแต่ก่อน เธอรู้ว่ามันยากที่ซือหยูจะมีอนาคตที่ดี หากเธอติดตามเขาต่อไป เธอก็คงจะลำบากยากเข็ญหรืออาจจะถูกลดตัวเป็นคนรับใช้
...และในที่สุดความอดทนในใจของเธอก็พังทลายลง
สองเดือนก่อน เธอตัดการติดต่อทั้งหมดกับซือหยูและได้มาอยู่กับดยุคน้อยฉินเฟิง บุตรแห่งดยุคฉิน
แม้ว่าเจียงซือฉิงจะทำหน้าที่และเป็นหญิงที่ดีในตระกูล แต่ความสัมพันธ์ของเธอกับฉินเฟิงก็ไม่ได้เกินไปกว่าเด็กชายและเด็กสาว แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาทั้งสองได้ไปไหนมาไหนด้วยกันอย่างไม่เคยแยกจาก ในที่สุดพวกเขาก็ได้กลายเป็นคู่รักที่ทุกคนต้องอิจฉา
และซือหยูก็ได้กลายเป็นตัวตลกในสำนัก
ซือหยูตกใจอยู่ลึกๆ เขาอ้อนวอนเจียงซือฉิงหลายต่อหลายครั้งให้เธอเปลี่ยนใจ เขาถึงกับคุกเข่าอย่างไร้เกียรติแต่ก็ถูกเจียงซือฉิงที่จิตใจด้านชาปฏิเสธ
ซือหยูที่มิอาจทนต่อความเสียใจครั้งใหญ่ในชีวิต เขาตัดสินใจทิ้งชีวิตในทะเลสาบ และด้วยความบังเอิญบนโลก เครื่องบินที่ซือหยูบนโลกเจอกับอุบัติเหตุ ทำให้ดวงวิญญาณของเขามาสลับกับดวงวิญญาณอันสิ้นหวังนี้
เมื่อดยุคฉินเห็นซือหยูนึกถึงอดีตเขาก็พบว่าซือหยูไม่อาจทิ้งความสัมพันธ์ของเขากับเจียงซือฉิงไปได้ เขาถอนหายใจ
“เฟิงเอ๋อยังเด็กไม่รู้อะไร ข้าตั้งใจจะชดใช้ความผิดพลาดของเขาให้ เจ้าขออะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ แต่ในฐานะที่เป็นพ่อของเฟิงเอ๋อ ข้าหวังว่าเจ้าจะอวยพรให้เฟิงเอ๋อนะ เขาจริงจังกับเจียงซือฉิงจริงๆ”
เมื่อซือหยูได้ยินถ้อยคำที่ดูเหมือนจะกลั่นออกมาจากหัวใจของดยุคเขาก็สะบั้นความคิดในใจทิ้งเสีย กลเล็กๆ เช่นนี้อาจจะหลอกคนอื่นได้ แต่ไม่ใช่สำหรับเขา
ขโมยผู้หญิงของข้าไปแล้ว ยังจะอยากได้คำอวยพรอีกรึ? นี่จะเป็นการขอโทษได้ยังไง นี่มันคือการใช้อำนาจกดขี่ข้าชัดๆ!
ดยุคฉินอาจจะดูเป็นชายอ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วเขาคือคนที่เหยียดหยามคนรอบตัวได้อย่างรวดเร็ว
ซือหยูส่ายหัวเล็กน้อยและคิดอยากจะออกไปจากที่นี่ สำหรับหญิงสาวอย่างเจียงซือฉิงแล้ว เขาไม่คิดจะอยู่ต่อให้นานกว่านี้ แม้ว่าดยุคฉินจะไม่ขู่เขา เขาก็ไม่คิดจะแย่งเธอคืนมา
สำหรับการชดเชยของดยุคจากราชวงศ์ฉิน แม้ว่าซือหยูจะไม่ทรัพยากรน้อย แม้ว่าเขาจะยากจน แม้ว่าเขาจะไม่มีสิ่งใด เขาก็ยังคงมีความตั้งใจที่ไม่ย่อท้อ เขาไม่คิดจะหวังกับการเอื้อเฟื้อนี้
หากเขารับข้อเสนอของดยุคฉินวันนี้ เขาก็อาจจะหลงทางและมิอาจมองหน้าพวกเขาตรงๆ ได้อีก
เจียงซือฉิงรู้ว่าซือหยูมีนิสัยอย่างไร เขาคือคนดื้อรั้นที่ไม่คิดจะยอมแพ้ เมื่อเห็นซือหยูอยากจะจากไปและปฏิเสธที่จะยอมจำนน เธอก็กัดฟันและก้าวออกมาเบาๆ เธอพูดด้วยสายตาราวกับดวงจันทร์แช่แข็ง
“ซือหยู! ยอมรับการตัดสินใจของข้าเถอะ!”
“เรื่องของข้ากับเจ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจะทำให้มันชัดเจนต่อเจ้าและหวังจะให้เจ้ายอมซะเถอะ”
ดวงตาของเจียงซือฉิงเต็มไปด้วยความเย็นชา
“ฉินเฟิงเป็นดยุคหนุ่มและเขาจะได้ไปช่วยงานจักรพรรดิในภายหน้า ไม่เหมือนกับเด็กจนๆ เช่นเจ้า เขาให้ข้าได้ทั้งความมั่งคั่งและเกียรติ เจ้าให้สิ่งนี้กับข้าได้หรือไงกัน?”
“ฉินเฟิงได้ยอมรับเป็นศิษย์แกนหลักเพราะความมุ่งมั่นที่จะเป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ เขาอยู่เหนือคนหลายร้อยล้าน เขาทำให้ข้ารู้สึกมั่นคง ศิษย์ระดับเงินอย่างเจ้าทำได้แบบนี้งั้นหรือ?”
“ซือหยู ยอมรับความจริงซะเถอะ ข้าไม่ปฏิเสธเรื่องที่เจ้าเคยเป็นคนรักและแสงพราวของข้าหรอก แต่ตอนนั้นข้ายังเด็กเกินไป โลกความจริงเป็นเช่นนี้ ข้าไม่มีทางเลือก!”
นั่นเป็นเยื่อใยสุดท้ายจากสายตาของเจียงซือฉิง สายตาของเธอเริ่มเหินห่างราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า เธอถอนหายใจเบาๆ
“ฉินเฟิงเป็นคนดี หากเจ้าสัญญาว่าจะไม่มาหาข้าอีก ข้าจะชดเชยให้เจ้าอย่างเต็มที่ ข้าจะให้โอสถวิญญาณเพื่อให้เจ้าพัฒนาร่างกาย เมื่อเจ้าเก่งขึ้นชีวิตในสำนักของเจ้าก็จะดีขึ้นอีกมาก”
เมื่อเจียงซือฉิงนึกขึ้นได้ เธอก็หยิบรูปปั้นแก้วสลักรูปผู้หญิงขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากแขนเสื้อ
มันเป็นรูปปั้นที่แวววาวเปล่งประกาย มันเป็นรูปปั้นที่สวยงามคล้ายกับนางไม้ ความสวยงามของมันทำให้คนที่พบต้องเพลิดเพลิน
มันเหมือนกับผู้หญิงจริงๆ มาก เมื่อเปรียบเทียบกับเจียงซื่อฉิงที่ถือมันก็ราวกับว่ามันเป็นรูปปั้นของตัวเธอ
“นี่เป็นของขวัญที่เจ้าให้ข้าในสัญญาความรักระหว่างเรา นับแต่นี้ข้าจะคืนมันให้เจ้า จากวันนี้ไปเราไม่ติดค้างอะไรกันอีกแล้ว”
เจียงซื่อฉิงวางมันใส่มือซือหยูอย่างไร้เยื่อใย จากนั้นเธอก็เดินกลับไปหาฉินเฟิง เธอหยุดมองซือหยูและหันไปมองท้องนภาโดยไม่สนใจความรู้สึกของซือหยูอีกแล้ว