ตอนที่ 60 นั่งที่แถวหน้า
จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ ตอนที่ 60 นั่งที่แถวหน้า
หลิงฮันมีหลักการง่ายๆคือหากไม่มีใครคิดร้ายต่อเขา เขาก็จะไม่คิดร้ายด้วย แต่ถ้าใครคิดจะมาสร้างปัญหาให้กับเขา คนคนนั้นก็ควรจะเตรียมตัวรับความเกรี้ยวกราดของเขาเอาไว้ให้ดี
“เจ้ามารังควานข้าตั้งหลายครั้ง เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าเป็นเป้าหมายที่จัดการได้ง่าย?” หลิงฮันถามออกไปอย่างเย็นชา
จิงหวู่เชียงรู้สึกอยากจะร้องให้ออกมาจริงๆ!
เมื่อตอนกลางวัน เป็นตัวมันเองที่ถูกชกกระเด็น และตอนนี้ก็ยังเป็นตัวมันอีกที่โดนตบ ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็เป็นมันที่ต้องเป็นฝ่ายแพ้ โลกนี้ไม่มีความยุติธรรมเหลืออยู่แล้วรึไง!
...แน่นอนว่าไม่มีทางที่มันจะคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายไปยั่วยุหลิงฮันก่อนทั้งสองครั้ง
“ตอนนี้เจ้าจงภูมิใจต่อไปเถอะ แต่หลังจากที่พี่ชายข้ามาถึง เจ้าจะต้องเสียใจ!” จิงหวู่เชียงพูดอย่างเกรี้ยวกราด มันเชื่อว่าพี่ชายของมันจะต้องแก้แค้นให้มันอย่างแน่นอน
“เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!”
หลิงฮันตบไปมันสามสี่ครั้งติดต่อกัน เขาไม่เก็บคำขู่ของจิงหวู่เชียงมาคิดแม้แต่น้อย
“ข้าจะรอก็แล้วกัน!” เมื่อพูดเสร็จ หลิงฮัน หลิวอู๋ตง และฉีซางไต๋ได้เดินเข้าไปยังที่พักขององค์ชายสี่ด้วยกัน
“นี่เจ้าเป็นตัวสร้างปัญหายิ่งกว่าข้าได้อย่างไรกัน?” องค์หญิงเจ็ดถอนหายใจด้วยท่าทีทุกข์ใจ “เจ้าก่อเรื่องใหญ่เข้าแล้วนะ เจ้าคนงี่เง่านั่นมาจากตระกูลจิง ถึงแม้ตัวมันจะไม่มีค่ามากนัก แต่พี่ชายของมันคือจิงหวู่จื้อ!
ข้าบอกเจ้าถึงความแข็งแกร่งของจิงหวู่จื้อไปแล้วไม่ใช่รึไง? แต่เจ้ายังจะไปล่วงเกินเขาอีก!
เฮ้อ...ข้าต้องรีบแจ้งอาจารย์ของข้า และขอให้เขาช่วยแก้ปัญหาให้เจ้า ข้าจะไม่มีทางเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนี้เด็ดขาด”
หลิงฮันเคาะไปที่หัวของนางเบาๆและพูด “ถ้าเจ้าไม่ได้มีความคิดเจ้าเล่ห์ และมอบบัตรเชิญมาให้ข้า ปัญหาแบบนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?”
“ความคิดเจ้าเล่ห์อันใดกัน เจ้าห้ามใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์เด็ดขาด!” ฉีซางไต๋รีบส่ายหัวปฏิเสธ นางจะไม่ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของนางเด็ดขาด “ข้าเพียงแค่ลืมเท่านั้น เข้าใจนะว่าข้าแค่ลืม!”
“พี่สาวหลิว ท่านเข้าใจข้าสินะ?” นางหันไปถามหลิวอู๋ตง ทำท่าทางเหมือนกับเด็กขี้อ้อน
หลิวอู๋ตงยังคงทำตัวสงบนิ่ง ทำให้ฉีซางไต๋รู้สึกว่าพี่สาวคนนี้ช่างมีนิสัยไม่เหมือนใครเสียจริง
ทั้งสามคนเดินมาถึงยังห้องโถงหลักที่มีโต๊ะจัดเรียงไว้อยู่เกือบหนึ่งร้อยตัว โต๊ะเหล่านั้นไม่ใช่โต๊ะกลมขนาดใหญ่ทั่วไป แต่เป็นโต๊ะขนาดเล็กที่สามารถนั่งได้เพียงสองคนเท่านั้น ซึ่งแต่ละโต๊ะจะมีไว้สำหรับแขกแต่ละคนที่อาจจะพาผู้ติดตามมาด้วย
โต๊ะเหล่านั้นถูกจัดไว้แถวละห้าตัว เรียงจากประตูทางเข้าห้องโถงไปถึงข้างใน ยิ่งโต๊ะอยู่ข้างหน้ามากเท่าไหร่ ตำแหน่งของคนที่นั่งก็ยิ่งสูงเท่านั้น ตอนนี้โต๊ะส่วนใหญ่ได้มีคนนั่งไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากโต๊ะที่ว่างอยู่ในแถวหน้าสุด โต๊ะที่ยังว่างอยู่มีเพียงหลังจากแถวที่สิบไปเท่านั้น
“เจ้าไปหาที่นั่งซะสิ” ฉีซางไต๋พูดออกมา มุมปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ นางวางแผนจะสร้างปัญหาให้หลิงฮัน โดยที่ต้องการดูว่าเขาจะเลือกนั่งตรงไหน
โต๊ะที่แถวหน้าสุดมีที่ว่างเพียงโต๊ะเดียวเท่านั้น แต่สำหรับแถวนี้ มีเพียงรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะสามารถนั่งได้ แต่ระดับการบ่มเพาะของหลิงฮันยังต่ำเกินไปที่จะนั่งตรงนี้
แต่ถ้าหลิงฮันยอมไปนั่งที่แถวหลัง มันจะแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีความทะเยอทะยานและเป็นคนประเภทยอมอ่อนข้อต่อคนอื่นง่ายๆ
แต่ถึงอย่างนั้นหลิงฮันก็ไม่คิดอะไรมาก เขาพยักหน้าและเดินไปยังแถวหน้าสุด
ถึงแม้เขาจะทิ้งเกียรติในชีวิตก่อนไปแล้ว จิตใจของเขาก็ยังเป็นของจอมยุทธที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดอยู่ดี
ในเมื่อแถวหน้าสุดมีที่ว่างอยู่ เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่เขาจะเลือกนั่นตรงนั้น
ฉีซางไต๋แลบลิ้นออกมา นางคิดในใจว่าอีกไม่นานจะมีการแสดงสนุกๆให้ดูแล้ว แต่นางก็ไม่ได้สะเพร่าเกินไป นางรีบสั่งให้คนรับใช้ไปยังตำหนักโอสถสวรรค์เพื่อแจ้งให้จางเหวยชางทราบ ไม่เช่นนั้นหากเรื่องได้เลยเถิดเกินกว่าจะรับมือได้ มันจะไม่สามารถจบได้ง่ายๆ
"หืม?"
"ฮือ?"
"โห่!"
เมื่อเห็นหลิงฮันเดินตรงไปข้างหน้า คนที่ครอบครองโต๊ะได้เป็นทีเรียบร้อยแล้วต่างก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา โดยที่ทุกคนคิดเป็นเสียงเดียวกัน ‘หมอนี่คือใครกัน? ดูเหมือนว่าเขากำลังจะไปนั่งขเงหน้า’
โต๊ะทั้งห้าในแถวแรก มีสี่ตัวที่ถูกครอบครองไปแล้ว ส่วนโต๊ะตัวสุดท้ายที่ยังว่างอยู่เองก็มีเจ้าของเช่นกัน เพียงแต่คนคนนั้นยังมาไม่ถึง
มันเป็นของจิงหวู่จื้อ
หมอนี่บ้าหรือเปล่า? ถึงขนาดกล้าไปแย่งโต๊ะของจิงหวู่จื้อ
“มีเรื่องน่าสนุกซะแล้ว!” ทั้งสี่คนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะแถวแรกต่างก็ยิ้มขึ้นมา มีทั้งคนที่ยิ้มอย่างเยาะเย้ยและคนที่ยิ้มอย่างสนใจ ทุกคนต่างสงสัยว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นพวกชอบอวดดีหรือมีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งอยู่กันแน่
อย่างไรก็ตาม สายตาของพวกมันก็ได้เพ่งเล็งมายังหลิวอู๋ตงอย่างรวดเร็ว สตรีนางนี้ช่างงดงามยิ่งนัก! ถึงแม้นางจะดูเย็นชาไปบ้าง แต่ก็ยังมีเสน่ห์! ยิ่งกว่านั้นนางยังแข็งแกร่งอีกด้วย!
หรือว่าที่จริงแล้วนางจะเป็นเจ้านาย ส่วนชายหนุ่มนั่นเป็นผู้ติดตาม?
ใช่แล้ว แบบนั้นสิถึงจะดูเหมาะสมกว่า
“พรวด!”
ทั้งสี่คนเกือบจะสำลัก เพราะว่าพวกมันเห็นหลิงฮันนั่งหลงอย่างองอาจ ในขณะที่หลิวอู๋ตงนั่งลงข้างกายเขา ดังนั้น การที่ใครเป็นเจ้านายหรือผู้ติดตามจึงสามารถดูออกได้อย่างชัดเจน
เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากที่สตรีที่งดงามและแข็งแกร่งเช่นนี้จะมานั่งเป็นผู้ติดตามข้างๆชายหนุ่มคนนี้... เขาเป็นใครกันแน่?
เขาจะต้องเป็นทายาทของตระกูลใหญ่บางตระกูล ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องไม่กล้ามาแย่งที่นั่งของจิงหวู่จื้อแน่นอน
“ฮ่าๆๆ ข้าทำให้พวกเจ้ารอเสียแล้ว!” มีเสียงหัวเราะดังขึ้น และชายร่างสูงผอมคนหนึ่งได้เดินเข้ามายังห้องโถงหลัก มันมีท่าทางการเดินที่สูงสง่าราวกับราชา
“คารวะองค์ชายสี่!”
ทุกคนลุกขึ้นมาจากที่นั่ง ตอนนี้เจ้าของงานได้มาถึงแล้ว แน่นอนว่าทุกคนจะต้องยืนขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ
องค์ชายสี่มีโต๊ะเป็นของตัวเอง ซึ่งโต๊ะที่ว่าได้ตั้งอยู่ที่ด้านหน้าสุด โดยมันนั่งหันหน้ามาทางประตู ส่วนคนอื่นหันไปทางกำแพงด้านหน้า
“ทุกคนเชิญนั่งได้!” ตาขององค์ชายสี่ ฉีฮวงเย่กวาดมองแขกที่มาร่วมงาน มันอดประหลาดใจเมื่อมองเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยนั่งอยู่แถวหน้าสุด คนคนนี้คือใครกัน? ทำไมถึงได้มานั่งที่ของจิงหวู่จื้อ?
แต่เมื่อสายตาของมันมองไปยังหลิวอู๋ตง หัวใจของมันก็สั่นสะท้าน
มันเองก็เป็นศิษย์ของสำนักฮูหยาง เป็นธรรมดาที่มันจะรู้ว่าหลิวอู๋ตงเป็นเจ้าหญิงของตระกูลหลิว แต่นางกลับมานั่งอยู่ข้างกายหลิงฮัน... จะไม่ให้มันตกตะลึงได้อย่างไร?
แค่มันก็เป็นถึงองค์ชายสี่ เป็นธรรมดาที่สีหน้าของมันจะไม่แสดงความประหลาดใจออกมา ถึงแม้สายตาของมันจะหยุดอยู่ที่หลิวอู๋ตงชั่วขณะคนอื่นๆก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะว่าความงามของนางเป็นสิ่งที่ไม่ว่าบุรุษคนไหนก็ต้องเหลือบมอง
“ข้าขอแนะนำให้ทุกคนรู้จัก...” ฉีฮวงเย่ยิ้มและชี้ไปยังคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะแถวหน้าสุดฝั่งซ้าย
“นี่คือหลีตงเย่ น้องชายหลีเป็นศิษย์ที่ถูกสอนโดยผู้นำนิกายหมาป่าหินผาโดยตรง! อีกไม่นานเจ้าก็จะทะลวงเข้าสู่ระดับก่อเกิดธาตุแล้วสินะ?”
หลีตงเย่หัวเราะออกมาและพูด “องค์ชายสี่ อย่ามาพูดเล่นกับข้าสิ ขนาดท่านยังไม่ทะลวงไประดับก่อเกิดธาตุ แล้วข้าจะไปทะลวงผ่านได้อย่างไร?”
“น้องหลีจะถ่อมตัวเกินไปแล้ว!” ฉีฮวงเย่ชี้ไปยังคนที่สอง “นี่คือไป๋ลี่เถิงหยุน บุตรของผู้นำตระกูลไป๋ลี่”
ไป๋ลี่เถิงหยุนยังเยาว์อยู่มาก มันดูอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น นิสัยของมันค่อนข้างเงียบขรึม มันทำเพียงพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทักทายตอบองค์ชายสี่
ฉีฮวงเย่ไม่ได้คิดอะไรมากและเริ่มแนะนำต่อไป “คนต่อไปคือเซี่ยจงกวัง น้องชายเซี่ยมาจากเมืองฟูหยาง และอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น แม้น้องชายเซี่ยจะไม่ได้เข้าร่วมการประลองต้าหยวนครั้งที่แล้ว แต่ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องแสดงความสามารถที่น่าอัศจรรย์ให้ได้เห็นแน่นอน”
“ส่วนทางนี้คือลิ่วยู่ น้องชายลิ่วเองก็เหมือนกับน้องชายเซี่ย เขามีอายุสิบแปดปี ข้าคาดหวังจะได้เห็นความสามารถของน้องลิ่วในการประลองที่จะถึงนี้อย่างมาก”
“และสุดท้าย...” สายตาของฉีฮวงเย่หยุดลงที่หลิงฮัน และหยุดพูดชั่วขณะ ที่มันไม่ได้พูดต่อเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี มันทำเพียงยิ้มและมองไปที่หลิงฮันอย่างคาดหวัง เหมือนกับกำลังรอให้หลิงฮันแนะนำตัวเอง
มันต้องยอมรับว่ามันเองก็สงสัยในสถานะของหลิงฮันเช่นกัน เขาเป็นใครกันแน่ถึงได้มีเจ้าหญิงแห่งตระกูลหลิวมาคอยอยู่ข้างกาย?
*ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ*