ตอนที่11 งานก่อนเริ่มพิธีปลุกจิตวิญญาณ
หลังจากที่ผมได้มาถึงงานพ่อก็พูดว่านี่“เซียล์ลูกน่าจะไปพูดคุยกับเด็กๆคนอื่นเขาบ้างนะเพราะพ่อไม่เคยให้ลูกเข้าโรงเรียนเลยเพราะคำขอของลูกแต่ลูกก็ควรมีเพื่อนเหมือนกับเด็กคนอื่นๆเขาบ้าง” พ่อพูด
“ครับ” ผมตอบ
จากนั้นผมก็เดินไปรอบๆงาน ผมก็ได้พบกับพวกชนชั้นสูงคนอื่นๆกำลังจับกลุ่มคุยกัน ส่วนพวกเด็กๆที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม
ทั้งชายและหญิงจับกลุ่มคุยกันตั้งแต่2-3คน หรือจับกลุ่มกัน4-8คนก็มี
โดยเนื้อหาโดนรวมแล้วพวกเขาก็คุยกันในเรื่องของพิธีปลุกจิตวิญญาณนี้แหละบางคนก็ตื่นเต้น บางคนก็กังวล ก็อย่างว่าหละนะมันเกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาเลยหนิ แต่ผู้ชายบางคนเหมือนจะชิวๆและนั่งไล่จีบสาว เอิ่ม......ก็นะ แต่เอาเถอะเอาเป็นว่าตอนนี้ผมก็ยังไม่หากลุ่มที่น่าจะคุยด้วยได้และเดิมทีผมก็ไม่ได้ต้องการคุยกับคนอื่นอยู่แล้ว
ไม่ใช้ไม่อยากหาเพื่อนใหม่นะ แต่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นเพื่อนที่ควรคบด้วย
สำหรับผมแล้วเพื่อนควรมีความจริงใจให้กันและกันแต่เหล่าชนชั้นสูงส่วนใหญ่นอกจากคนที่สนิทกันจริงๆมักจะใส่หน้ากากเข้าหากัน
และมันเพื่อหาประโยชน์จากอีกฝ่ายอยู่เสมอ
“มอนด์ก็ยังมาไม่ถึงด้วยแฮะน่าเบื่อจริงๆเลย” เซียล์คิดในใจ
ระหว่างที่เขากำลังเดินไปคิดไปอยู่ๆก็มีคนมาชนผมจากข้างหลัง
“พลัก” (เสียงชนกัน)
หลังจากนั้นผมก็หันมาข้างหลังกลับไปและก็พบกับ......................
...
..
.
“มีสิ่งมีชีวิตที่สวยงามขนาดนี้ด้วยหรือ!!!!!” ผมอุทานในใจ
ภาพที่ผมเห็นคือผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม
เธอมีผมสีแดงยาวสลวยจนถึงสะโพก ดวงตาสีส้มแกมทอง เธอตัวเล็กกว่าผมเล็กน้อย ผิวขาวรูปร่างสมส่วนเธอสวยสดงดงามและน่ารักเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ยังปล่อยกลิ่นอายที่สง่างามเหมือนนางพญาเล็ดลอดออกมาจากตัวเธอ
“นี้มันสเปคผมเลยนี่นาลองคุยด้วยดีไม่นะ แต่จะนิสัยเป็นยังไงน้าถ้านิสัยดีก็คบด้วยได้สิ เธอจะหยิ่งรึปล่าวนะ เอ...แต่เราจะทักเธอยังไงดีนะให้ดูดี แต่เราไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าคนแรกที่เราคุยจะเกิดมาจาการชนกันแถมเป็นสาวสวยด้วย” เซียล์คิดอย่างกระวนกระวาย เพราะไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้เขายังไม่เคยจีบสาวเลยแม้แต่น้อย
“แต่ยังไงก็ต้อง....เอาหละ”จากนั้นเซียล์ก็พูดว่า
“อะ อะ อะ เออ ขอโทษนะครับ ปะ ปะ เป็น อะไรหรือปล่าวครับ”
เซียล์พูดด้วยน้ำเสียงที่โคตรตุกตะกักและท่าทางดูประหม่า
“แย่แล้วเรา” เซียล์คิดในใจแล้วเขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า
“ต้องขอโทษจริงๆนะครับที่ชนคุณหนะ”
หลังจากนั้นเธอก็จ้องมาที่ผมแล้วผมก็เลยพูดโพล่งออกไปว่า
“อะ เออคือขอโทษนะครับ คือว่าผมไม่ได้ไปโรงเรียนตอนเป็นเด็กก็เลยไม่รู้จักใครน่ะครับ” ผมตอบตอบขณะกำลังพาดมือข้างนึงไว้ข้างหลังหัวและตอบอย่างเขินๆอายๆ แต่แล้วเธอก็ตอบมาในแบบที่เขาไม่คาดคิด
“อ๋อที่แท้ก็เป็นคนที่ไม่มาเรียนนี้เองว่าแล้วว่าทำไมถึงไม่คุ้นหน้า คิกๆ”
เธอตอบอย่างหัวเราะคิกคักเล็กน้อยแล้วพูดต่อว่า
“แต่นี้เธอไม่มีเพื่อนเลยหรอถึงจะไม่ได้ไปโรงเรียนแต่เธอก็น่าจะมีเพื่อน จากขุนนางที่อยู่บริเวณข้างเคียงหนิ” เธอถาม
“อ๋อ เพื่อนของผมยังมาไม่ถึงครับ” ผมตอบ
“ทั้งหมดเลยหรอ?” เธอถาม
“เออ ความจริงคือ.........ผมมีเพื่อนคนเดียวอะครับ”
“อุ๊บส์........งั้นหรอ” เหมือเธอจะขำเล็กน้อย
“แล้วเพื่อนของคุณหละครับ”
“ยังมาไม่ถึงเช่นกันค่ะ เออแล้วคุณชื่อว่า?” เธอถาม
“ผมชินครับ ชิน อินากามิ แล้วคุณ?”
“ฉันชื่อ เบลลิน่า (bellina) ค่ะ”
“เอออออ แล้วเราจะชวนเธอคุยเรื่องอะไรต่อดีเนี่ย” เซียล์คิดในใจ
“เออคือว่าคุณเบลลิน่าครับถ้าเกิดว่าไม่รังเกียจคุณช่วยอธิบายความสัมพันธ์ของระดับจิตวิญญาณกับพลังวิญญาณหน่อยได้ไหมครับ” ผมถามไปถึงแม้ว่าผมจะรู้อยู่แล้วก็เถอะนะไม่รู้ว่าเธอจะตอบไหม
“คุณนี่เป็นคนแปลกจริงๆนะคะคุณน่าจะรู้อยู่แล้วแต่เดี๋ยวอธิบายให้ค่ะ” เธอตอบ
“ระดับของจิตวิญญาณจะเป็นด้วยกำหนดทางสถานะทางพลัง วิญญาณค่ะ เช่น ถ้ามีจิตวิญญาณระดับทั่วไป จะสามารถบรรลุได้ถึงระดับก่อตั้งวิญญาณถ้าพยายามหน่อยเต็มที่จะบรรลุได้ไม่เกินระดับวิญญาณปฐพี อีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้ามีจิตวิญญาณระดับโบราณสามารถบรรลุได้ถึงวิญญาณฟ้าถ้าพยายามเต็มที่อาจจะบรรลุได้ถึง
จอมพลวิญญาณค่ะ สรุปง่ายๆ ว่าทั้งระดับจิตวิญญาณมี9ระดับและระดับพลังวิญญาณ10ระดับค่ะโดยขีดจำกัดส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับเลขของตัวเองแต่ถ้าพยายามเต็มที่และโชคดีสูงกว่าตัวเลขของตัวเอง1ขั้นค่ะ”
“ขอบคุณมากครับ” ผมตอบ
“แล้วคุณไม่เครียดบ้างหรอคะ วันนี้วันชี้อนาคตเลยนะคะ”
“ก็ไม่เท่าไหร่อะครับ แฮะๆ”
แต่เอาจริงๆจะว่าไปแล้วผมรู้สึกแปลกๆมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
ตั้งแต่ที่ผมเริ่มคุยกับเธอ เหล่าเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมจ้อง ผมด้วยสายตาแปลกๆแล้วก็ซุบซิบกัน เหมือนมันเป็นเรื่องแปลก
“เอ๋ ผมทำอะไรแปลกหรอ” แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก
จากนั้นไม่นานเบลลิน่าก็พูดกับผมว่า
“เพื่อนของฉันมาแล้วเดี๋ยวไปก่อนนะค่ะ” แล้วเบลลิน่าก็จากไป
จากนั้นไม่นานก็มีผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมเดินมาทางผมแล้วพูดกับผมว่า
“เฮ้ย นายชื่ออะไรหนะ อย่าเข้าไปยุ่งกับเธออีกหละ ถ้าข้าเห็นว่าแกยุ่งกับเธออีกละก็จบไม่สวยแน่”
เขาพูดกับผมด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยจะสุภาพ ผมก็รู้สึกงงเล็กน้อย
“ผมชื่อเซียล์ครับ มีเรื่องอะไรหรอครับ”
ผมตอบได้ด้วยน้ำเสียงที่เฉยเมย
“เจ้า.........” หลังจากนั้นเขาก็ตอบว่า
“นี้เจ้าไม่รู้หรอว่าข้าเป็นใคร? ข้าคือ เอนวี่ เดวี่
เป็นทายาทของ ตระกูลเดวี่ ซึ่งพ่อของข้า พันตัน เดวี่เป็นถึงมาร์ควิส!”
“อ๋อ แล้วทำไมหรอครับ” ผมตอบด้วยสีหน้าเฉยเมยไปอีกรอบ
“...............” แล้วเอนวี่ก็ถึงกับสตั้นไป3วินาที จากนั้นก็พุ่งเข้ามาด้วยเร็วสูง และ ขยับขามาขัดขาผม
แต่แน่นอนด้วยพรจากพระเจ้าแล้วกับคนที่จิตวิญญาณยังไม่ตื่นจะทำอะไรผมได้อย่างไร? ผมจึงขยับขาเล็กน้อยให้กลายเป็นว่าเขาพุ่งเขามาแล้วสะดุดล้มลงไปเอง
“ตุ๊บ” เอนวี่ล้มหน้าคว่ำพื้น จากนั้นก็เหมือนมีคนซุบซิบรอบๆ
“เอาแล้วไงมีคนมีเรื่องกับ เอนวี่เข้าให้แล้ว”
“เรื่องมันจะเป็นยังไงต่อนะ”
“เอาแล้วไง เอาแล้วไง เอาแล้วไง”
“ปกติมันก็พาลคนอื่นไปทั่วอยู่แล้ว ตัวเองใหญ่นักหรือไงโดนแบบนี้บ้างก็ดี”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะกี้เขาไม่ได้สะดุดพื้นล้มลงไปเองใช่ไหม”
จากนั้นไม่นานมอนด์ก็เดินมาหาผม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขามาถึงที่งานตั้งแต่เมื่อไหร่
เปิดกลุ่มลับเเล้วน่ะครับ ไปดูได้ที่เพจเฟสบุ๊ก Rebirth of dragon spirit