ตอนที่10 2ปีต่อมา
ตอนที่10 2ปีต่อมา เตรียมเข้าพิธีปลุกจิตวิญญาณ
2ปีต่อมา
วันที่ 23 เดือน 8 ปี ดราโกเนียที่1557
ณ คฤหาสน์ตระกูลอินากามิ
“เซียล์ได้เวลาออกเดินทางแล้วลูก”
ยูริได้ตะโกนขณะกำลังขึ้นรถม้า
“ครับแม่ผมกำลังจะไปแล้วครับ”
หลังจากวันนั้นมาผมก็ได้ไปออกล่าสัตว์อสูรตลอด2ปี
ที่ผ่านมาจนผมสามารถออกล่าสัตว์อสูรบริเวณรอบนอกป่าฟอนเซ่ได้อย่างสบายๆ คุณแม่ก็ได้ทำอาวุธใหม่ให้กับผมแน่นอนว่ากลไกของมันยังคงเหมือนเดิมแต่ว่าวัสดุที่ใช้ทำนั้นต่างออกไป โดยหน้าไม้ตะขอได้ทำการเปลี่ยนไม้ให้มีความยืดหยุ่นสูงขึ้น เอนชานท์คุณสมบัติธาตุลมทำให้สามารถใช้สายลมช่วยให้การทรงตัวกลางอากาศนั้นดีขึ้น ส่วนดาบคาตานะ ได้ทำการหลอมใหม่จากเหล็กที่มาจากกระดูกของสัตว์อสูรชนิดหนึ่งและเอนชานท์เสริมความคมเข้าไปด้วย
ตอนนี้ผมก็อายุครบ12ปีตั้งแต่เมื่อประมาณ2เดือนก่อนแล้วและเรากำลังจะไปที่เมืองหลวงที่มีชื่อว่าเมืองสีชาด(vermillion capital city)ที่กำลังจะจัดงานปลุกจิตวิญญาณซึ่งแน่นอนว่าผมต้องร่วมด้วย
ความจริงแล้วการปลุกจิตวิญญาณก็คือการทำให้
จิตวิญญาณของเด็กๆที่มีอายุประมาณ12ปีตื่นขึ้นและเพื่อเป็นการฉลองวันชาติของประเทศปีกสีชาด
(vermillion aile) คือวันที่ 1 เดือน 9 ของทุกปี และทุกๆวันชาติจะมีการจัดงานเฉลิมฉลองเกิดขึ้นซึ่งก็คือพิธีปลุกจิตวิญญาณนั้นเอง และความจริงการปลุกจิตวิญญาณนั้นสามารถทำเองได้ง่ายๆโดยเมื่ออายุราวๆ12ปีให้นำพลังวิญญาณของมนุษย์คือพลังวิญญาณจากนักสู้จิตวิญญาณหรือ ลูกแก้วเก็บพลังวิญญาณบริสุทธิ์จากนักสู้จิตวิญญาณส่งไปยังร่างกายของเด็กเพื่อเป็นการกระตุ้นและหลังจากนั้นจิตวิญญาณจะตื่นขึ้นเองถ้าเด็กได้รับการกระตุ้นแล้วแต่จิตวิญญาณยังไม่ตื่นขึ้นก็อาจเป็นไปได้ว่าอายุยังไม่ถึง12ปีบริบูรณ์ เช่นอายุ11ปี29วัน23ชั่วโมง59นาที59วินาทีก็จะยังไม่ตื่น หรือไม่ก็ไม่มีจิตวิญญาณและจะไม่สามารถบ่มเพาะพลังวิญญาณได้
โดยอย่างที่บอกจะทำก่อนวันเฉลิมฉลองก็ได้แต่ส่วนใหญ่แล้วจะปลุกจิตวิญญาณกันวันนี้เพราะเป็นประเพณีที่สืบทอดต่อกันมา
หยั่งยาวนานนับตั้งแต่วันที่ก่อตั่งประเทศปีกสีชาด
แน่นอนว่าสำหรับสามัญชนหนะนะ สำหรับผมที่เป็นทายาทตระกูลขุนนางจะต้องเฉลิมฉลองกันในพระราชวังและร่วมเฉลิมฉลองกับราชวงศ์พร้อมทั้งปลุกจิตวิญญาณต่อหน้าพระราชา บรรดาขุนนาง และ ผู้มีอำนาจ เช่น อาจารย์ใหญ่และปรมจารย์ของสถาบันต่างๆที่มักจะหาเด็กที่มีพรสวรรค์ให้มาเข้าร่วมกับสถาบันของพวกเขาก็จะเข้าร่วมงานนี้ด้วย
ก็อ่ะน่ะถึงแม้ว่าเมื่อก่อนพิธีปลุกจิตวิญญาณจะเป็นแค่งานเฉลิมฉลองแต่สำหรับปัจจุบันมันเป็นงานชี้อนาคตของ บรรดาสถาบันต่างๆได้เลยทีเดียวและมันก็ได้กลายเป็นงานสำคัญที่สุดของชนชั้นสูงในประเทศนี้ไปแล้ว
พูดง่ายๆมันก็คืองานเปิดตัวผู้เยาว์และฐานอำนาจใหม่ในอนาคตของตระกูลต่างๆนั้นแหละ
ส่วนสถาบันต่างๆที่เข้าร่วมเหตุผลหลักๆก็คงเป็นเพราะจะหาศิษย์เก่งๆเข้าสำนักนั้นแหละ
ถึงแม้ว่าที่จริงผมอยากจะเก็บเรื่องจิตวิญญาณครึ่งคนครึ่งมังกรของผมไว้ก็เถอะแต่ดูแล้วยังไงก็คงต้องเข้าร่วมและผมก็อยากให้พ่อแม่ของผมดีใจ ถ้าผมไม่ยอมเข้าร่วมนอกจากจะทำให้พ่อแม่ลำบากใจแล้วยังคงทำให้ตระกูลของเราดูไม่ดีไปด้วย
ฉะนั้นผมก็เลยคงจะต้องเข้าร่วมอย่างช่วยไม่ได้แต่ก็น่าถ้าพ่อกับแม่ของผมดีใจแค่นั้นผมก็มีความสุขแล้วหละ
จากนั้นผมก็ขึ้นรถม้าและออกเดินทางไปพร้อมกับพ่อและแม่
8วันต่อมา
วันที่ 1เดือน 9 ปี ดราโกเนียที่1577
ในที่สุดพวกเราก็มาถึงเมืองหลวงสีชาดระหว่างการเดินทางพวกเราก็พบกับสัตว์อสูรระดับต่ำบ้างเล็กน้อยไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด หลังจากนั้นรถม้าก็ไดขับเข้าไปยังเมืองสีชาด
หลังจากผ่านประตูเมืองผมก็พบว่าภายในเมืองนั้นกำลังมีการเฉลิมฉลองอยู่ตามรายทางประดับไปด้วยผ้าสีแดง ดอกไม้สีแดงต่างอย่างสวยงามมากมายเต็มรายทางนอกจากนี้ยังมีอาหารขายตามข้างทางเหมือนกับเทศกาลในโลกก่อนของผมด้วยหละครับ
จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนที่มาเรื่อยๆจนถึงหน้าโรงแรมหรูแห่งหนึ่งและ
พวกเราก็เข้าพักที่โรงแรมนี้
แน่นอนว่าพิธีปลุกจิตวิญญาณจะจัดขึ้นในตอนกลางคือเวลา1ทุ่ม
ตอนนี้ยังเป็นเวลาเที่ยงๆอยู่ฉะนั้นแล้วผมจึงออกไปเดินเล่นนิดหน่อยแล้วค่อยกลับมาแต่งตัวประมาณ4โมงเย็น
จากนั้นเซียล์ก็ออกไปเที่ยวเล่นตามงานเทศกาลหลังจากเดินไปได้ซักพักหนึ่งเขาก็พบกับร้านขายขนม อาหาร อาวุธ เครื่องประดับ ฯลฯ ต่างๆมากมาย แต่เซียล์ก็ยังไม่เจออะไรที่ถูกใจเข้า
หลังจากที่เดินไปอีกซักพักหนึ่งเซียล์ก็ได้เดินมาถึงจัตุรัสกลางเมือง
ณ จัตุรัสกลางเมืองเป็นหนึ่งในที่ใช้จัดงานฉลองวันชาติ ตรงกลางจัตุรัสมีเวทีอยู่และมีเหล่านักสู้จิตวิญญาณยืนเรียงเป็นแถวหน้ากระดาน10คนแต่ละคน จะมีพวกเด็กๆมาต่อแถวเพื่อให้เหล่านักสู้จิตวิญญาณส่งพลังวิญญาณเพื่อทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาตื่นขึ้น
“อืมพิธีปลุกจิตวิญญาณของเราจะคล้ายๆอย่างนี้ไหมนะ”
เซียล์คิดในใจ
หลังจากนั้นผมก็นั่งพักอยู่อีกพักหนึ่งแล้วก็เดินกลับโรงแรม
ตอนนี้เวลาประมาณ4โมงเย็นแล้วและผมก็ถึงที่โรงแรมและกำลังเตรียมตัวเพื่อที่จะไปพิธีปลุกจิตวิญญาณที่พระราชวังตอน1ทุ่ม
หลังจากผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็ขึ้นรถม้าแล้วก็ไปที่พระราชวัง
หลังจากนั้นผมก็นั่งรถม้าไปกับพ่อและแม่ รถม้าเคลื่อนที่ไปได้ซักพักหนึ่งแล้วรถม้าก็มาถึงหน้าพระราชวัง
พระราชวังเมื่อมองดูจากภายนอกมีสีแดงสวยงาม ดูองอาจและยิ่งใหญ่ที่ชื่อเรียกโดยทั่วไปว่าพระราชวังทับทิม
และแล้วตอนนี้รถม้าก็กำลังขับผ่านประตูทางเข้า แน่นอนว่าต้องแสดงบัตรเชิญให้ทหารยามที่อยู่หน้าประตูเห็นก่อน หลังจากนั้นก็ถึงหน้าพระราชวังพวกเราก็ลงจากรถม้าและเดินเข้าไปในพระราชวังโดยมี
เมดนำทางไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยง
เมื่อมาถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงผมก็มองไปรอบๆสถานที่จัดงานเลี้ยงเป็นห้องๆหนึ่งซึ่งพ่อได้บอกว่าเมื่อเวลาปกติ จะเป็นที่ประชุมของเหล่า
ขุนนางกับราชวงศ์เกี่ยวกับการจัดการบ้านเมือง
แต่ต้อนนี้ห้องๆ โต๊ะวางอาหารและเครื่องดื่มเต็มไปหมดตรงกลางห้องนั้นมีเวทีสีเหลี่ยมจัตุรัสขนาดประมาณ16ตารางเมตรและทั้งสี่ด้านมีบันไดให้เดินขึ้นไปบนเวที ตรงกลางเวทีมีลูกแก้วพลังงานวิญญาณขนาดใหญ่ที่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ2เมตร ซึ่งผมคิดว่าตรงนั้นน่าจะเป็นที่ปลุกจิตวิญญาณ