ตอนที่ 205 ตัวแปร (FREE)
มันเป็นสิ่งที่น่าตกใจมาก
ฟาง เจิ้งจือ ไม่เคยคิดเลยว่าพลังของเต๋าแห่งการสรรค์สร้างนั้นจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ เขาเห็นถึงความเร็วในการฟื้นฟูของ หยิง ซาน ด้วยตาตัวเอง
นั่นมันขัดแย้งกับความรู้ในโลกก่อนของเขาอย่างสิ้นเชิงเลย
เขาจำได้ว่าการฝึกฝนพลังเต๋าเมื่อหลายปีก่อนนั้น เขาสามารถใช้เต๋าเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งหรือความเร็วของร่างกายได้
หลังจากที่อยู่ในระดับประทับศักดิ์ ก็จะสามารถใช้มิติพิเศษได้
หลังจากที่เข้าถึงระดับผนวกดารา จะสามารถใช้มิติพิเศษของตัวเองนั้นเพื่อควบคุมเต๋าแห่งการสรรค์สร้างได้ ดังนั้นผู้คนจะสามารถใช้พลังของเต๋าแห่งการสรรค์สร้างเพื่อทำให้วิชาต่างๆส่งผลอย่างมีประสิทธิภาพ
ต่อมาในระดับสะท้อนสวรรค์ เป็นการผสานระหว่างมิติพิเศษกับโลกภายนอก
ใช้พลังของเต๋าแห่งการสรรค์สร้างเพื่อสร้างเขตแดนใหม่ขึ้นมา
และสำหรับระดับอภินิหารนี้...
มันทำให้สามารถขึ้นไปอยู่บนเส้นแบ่งของความเป็นและความตาย สามารถควบคุมพลังในระดับอภินิหารได้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นพลังที่ลึกลับเอามากๆ
ข้าล่ะประหลาดใจจริงๆ พลังระดับอภินิหารนี่มันอะไรกัน
ฟาง เจิ้งจือ ครุ่นคิดอยู่สักพัก ฉากที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขานั้นมันทำให้เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะทำความเข้าใจ
หนานกง มู่ รู้ถึงระดับพลังของ หยิง ซาน ดี การรักษาบาดแผลที่แขนนั้นเป็นไปตามที่เขาคิดเอาไว้ จึงไม่ได้แปลกใจมากนัก
จากนั้นเขาก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง
ทันใดนั้นเองแสงทั้ง 2 ก็ส่องประกาย แสงสีฟ้าและเขียว ส่องสว่างตัดกัน แสงสีเขียวคอยสนับสนุน ขณะที่แสงสีฟ้าเป็นพลังหลัก แม้ว่าจะเป็นน้ำแข็งแต่ยังคงเติบโตขึ้นได้
บนท้องฟ้า กลุ่มเมฆหิมะเริ่มก่อตัวขึ้น แสงสีฟ้าปกคลุมรอบตัวดาบ ปักลงไปในพื้นดินพร้อมด้วยน้ำแข็งที่หนานแน่น
หยิง ซาน ถูกขังไว้กลางน้ำแข็งและหิมะ เขายังคงยืนนิ่งปล่อยให้น้ำแข็งและหิมะปกคลุมร่างของเขา
เขาโบกกระบี่ในมือของเขาไปมาเบาๆ ด้วยรอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์ แสงสีดำแผ่ขยายออกมาจากกระบี่และเริ่มกัดกินทั้งน้ำแข็งและหิมะ
"ตูมมม!"
แรงปะทะที่รุนแรงระเบิดออกจากร่างกายของ หยิง ซาน
ราวกับว่าท้องฟ้าทั้งหมดได้กลายเป็นสีดำ
นั่น... คือเขตแดนของ หยิง ซาน หรืออาจพูดได้ว่ามันคือโลกแห่งความมืด
แสงสีดำมืดกลืนกินแสงสีฟ้าและเขียวโดยพลัน แสงทั้งสองพยายามประคับประคองกัน ราวกับแสงเทียนในยามค่ำคืน
แม้ว่าจะไม่สว่างมากนักแต่มันก็ไม่ได้ดับสลายไป
"เจ้าจะสามารถต้านมันได้นานแค่ไหนกันนะ?" หยิง ซาน หัวเราะ
"ข้าเชื่อว่าจะต้านมันไว้ได้สัก 5 นาที" หนานกง มู่ กัดฟันสู้
"หลังจาก 5 นาทีนั้นล่ะ?"
"รอให้ถึง 5 นาที เจ้าก็จะรู้เอง"
"เจ้ามีความตั้งใจดีจริงๆ ยังไงก็ตาม เจ้าจะต้านได้ถึง 5 นาทีงั้นรึ? " หยิง ซาน โบกกระบี่อีกครั้ง ท้องฟ้ามืดสนิท ราวกับเป็นท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆยามค่ำคืน
"ข้าทำได้" น้ำของ หนานกง มู่ เต็มไปด้วยความมั่นใจ
ในตอนนั้นเอง แสงสีฟ้าและเขียวก็ส่องสว่างมากขึ้นบนร่างของเขา ภายใต้พลังกดดันของ หยิง ซาน แสงสีฟ้าและเขียวแผ่ขยายออกมากกว่าเดิมแทนที่มันจะสลายไป
"ข้าคิดไม่ถึงเลย ...ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ...วันนี้มีแต่เรื่องให้ข้าต้องประหลาดใจ น้องชายของ หนานกง เฮา อยู่ในระดับสะท้อนสวรรค์ขั้นสูงสุดแล้วรึ? " ขณะที่ หยิง ซาน ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ผงะไปชั่วครู่
"สะท้อนสวรรค์ขั้นสูงสุด?"
"หนานกง มู่ อยู่ในระดับสะท้อนสวรรค์ขั้นสูงสุดแล้วรึ?"
"ทำไมคนที่สามารถทำได้ขนาดนี้ ถึงยังไม่มีรายชื่ออยู่บนทำเนียบมังกรดาวรุ่งกัน? ระดับสะท้อนสวรรค์ขั้นสูงสุดนั้นสามารถติด 20 อันดับแรกบนทำเนียบมังกรดาวรุ่งได้เลยนะ และเขายังสามารถใช้วิชาลับฟ้าเขียวได้ เขาอาจจะติด 1 ใน 10 อันดับแรกเลยด้วยซ้ำไป! "
"หนานกง เฮา เข้าถึงสะท้อนสวรรค์ขั้นสูงสุดได้แล้ว ตอนนี้แม้แต่ หนานกง มู่ ก็ทำได้แล้วเช่นกัน?! เชี่ยเอ้ย... ตระกูลหนานกง รุ่นนี้เข้าถึงสะท้อนสวรรค์ขั้นสูงสุดได้แล้วทั้งคู่เลยรึ? "
เมื่อเหล่าผู้ทดสอบได้ยินที่ หยิง ซาน พูดแล้วมองไปที่ หนานกง มู่ ที่อยู่ท่ามกลางแสงสีฟ้าและเขียว ความรู้สึกนับถือก่อตัวขึ้นเป็นครั้งแรก
หนานกง มู่ ไม่ได้พูดอะไร ท่าทางของเขาสงบนิ่งราวกับมันเป็นแค่เรื่องธรรมดา
"แต่ระดับสะท้อนสวรรค์ขั้นสูงสุด... มันพอแล้วรึ?" หยิง ซาน มองไปรอบๆ แล้วมองไปที่ดาบบนหิน แววตาของเขาเต็มไปด้วยพลัง
แม้ว่าจะเป็นระดับสะท้อนสวรรค์ขั้นสูงสุด แต่ก็เป็นเพียงแค่การควบคุมเขตแดนได้ทรงพลังกว่าสะท้อนสวรรค์ขั้นต้นเท่านั้น ในทางกลับกันแล้วระดับอภินิหารนั้นเหมือนเป็นคนละโลก
ความแตกต่างของระดับพลังทั้ง 2 นี้เหมือนความแตกต่างของโลกกับสวรรค์
หนานกง มู่ ยังคงเงียบสงบ ความมุ่งมั่นในแววตาของเขาไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
"ดูเหมือนว่าเจ้าจะมั่นใจจริงนะ?" หยิง ซาน ควรจจะจบการต่อสู้นี้อย่างเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมากกับการกระทำของ หนานกง มู่ นอกจากนี้ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา เขาไม่คิดจะเสียเวลากับคำตอบ
"มั่นใจ...ตัวเองรึ? ไม่ ...เจ้าผิดแล้ว ข้าไม่มั่นใจในตัวเองเลย " ในที่สุด หนานกง มู่ ก็พูด
"แล้วทำไมเจ้าถึงดูสงบนัก?"
"ถ้าเจ้าเป็นข้าเจ้าก็จะสงบเช่นกัน"
"ดูเหมือน่าเจ้าจะไม่อยากตอบคำถามของข้า?"
"แน่นอนข้าไม่อยาก"
"งั้นก็ไม่ต้องเสียเวลากันอีกแล้ว" หยิง ซาน พยักหน้า จากนั้นเขาค่อยๆเดินเขาไปหา หนานกง มู่ เขาเดินเข้าไปอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตาม ทุกๆก้าวเขาทำให้แสงสีฟ้าและเขียวรอบๆร่างกายของ หนานกง มู่ นั้นเบาบางลง
เหมือนกับว่าถูกกดดันจากพลังที่แข็งแกร่ง
ฉากที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้เหล่าผู้ทดสอบเริ่มท้อแท้ในจิตใจ
นับตั้งแต่ ซิง ฉิงซุย ได้รับบาดเจ็บหนักจากการถูกโจมตี หนานกง มู่ ก็กลายเป็นความหวังเดียวของพวกเขา อย่างไรก็ตามถ้าแม้แต่ หนานกง มู่ ก็ยังไม่สามารถต่อกรกับ หยิง ซาน ได้แล้วใครจะสามารถดึงดาบออกมาได้กัน?
แม้ว่า หนานกง มู่ จะอยู่ในระดับสะท้อนสวรรค์ แม่ว่าเขาจะสามารถใช้วิชาลับฟ้าเขียวได้
แต่ฝ่ายตรงข้ามคือ หยิง ซาน หยิง ซาน รองหัวหน้าของ 1 ใน 10 เขตแดนปีศาจ ด้วยพลังระดับอภินิหารขั้นกลาง
เหล่าผู้เข้าร่วมต่างรู้เรื่องนี้ เพราะฉะนั้น ฟาง เจิ้งจือ จึงรู้เช่นกัน
ฝ่ายตรงข้ามของ หนานกง มู่ คือ หยิง ซาน ผู้ที่อยู่ในระดับอภินิหาร ตามที่เขาบอกว่าจะต้านไว้ได้ถึง 5 นาที อย่างไรก็ตาม ในที่สุดก็ผ่านไป 5 นาทีแล้ว
ไม่มีความหวังในการชนะเหลืออยู่แล้ว
ดังนั้นสถานการณ์ในปัจจุบันต้องร่วมมือกันเท่านั้น
ฟาง เจิ้งจือ ลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างๆอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับ หยิง ซาน ที่เดินไปทาง หนานกง มู่
เหยียน ซิว ก็ก้าวไปข้างหน้าเหมือนกัน ดังนั้น ปิง หยาง เองก็ถูกลากไปข้างหน้าด้วยอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ปิง หยาง มองไปที่ ฟาง เจิ้งจือ ด้วยสายตาที่หวาดกลัว
"ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้ากลัวที่จะต้องตาย"
"นั่นก็ถูก แต่ข้าไม่เคยบอกว่าข้าไม่กลัวตาย? " ฟาง เจิ้งจือ มองไปทาง ปิง หยาง
"แต่เจ้ายังคงเดินไปข้างหน้า?" ปิง หยาง ไม่ค่อยเข้าใจ
"ถ้าข้าวิ่งได้ล่ะก็ ข้าจะวิ่งไปเสียตอนนี้เลย " ท่าทีของ ฟาง เจิ้งจือ ปกติมาก แต่ไม่มีความอายแม้แต่เล็กน้อย ตอนที่พูดว่าจะวิ่งหนีออกมา
"เจ้าเป็นคนที่ไร้ยางอายจริงๆ" ปิง หยาง รู้สึกอับอายที่เข้าร่วมกลุ่มเดียวกันกับคนที่อยู่ตรงหน้าของนาง
"ขอบคุณสำหรับคำยกย่องของเจ้า แล้ว เจ้าจะตามข้าไปใช่ไหม? "
"ใช่" ปิง หยาง พยักหน้า เสียงของนางนุ่มนวลอย่างน่าสงสาร นางรู้สึกอับอายมากที่ต้องอยู่กลุ่มเดีวกันกับ ฟาง เจิ้งจือ อย่างไรก็ตามนางไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว
"ดูเหมือนว่าเจ้าเองกลัวที่จะตายด้วยเหมือนกัน"
"เจ้าคิดว่าข้าจะเหมือนเจ้ารึ? นี่เรียกว่าการคว้าโอกาสที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่างหาก" ปิง หยาง พึมพำแล้วตอบกลับ
"งั้นเพื่อโอกาสที่จะได้มีชีวิตรอดนั้น ให้ข้าได้ยืมหอกฉีหลินเพื่อความสนุกสนานเสียหน่อย"
"คำพูดของเจ้าทำให้ข้าโกรธได้ตลอด อย่างน้อยเจ้าช่วยให้เกียรติหอกฉีหลินของข้าหน่อยได้ไหม? " ปิง หยาง ดูไม่ค่อยพอใจ อย่างไรก็ตมนางก็ส่งหอกฉีหลินไปให้ ฟาง เจิ้งจือ
ฟาง เจิ้งจือ รู้สึกได้ถึงความทรงพลังที่พลุ่งพล่านของหอกฉีหลิน
ด้วยหอกในมือของข้า โลกนี้จะเป็นของข้า
ในตอนนี้ ฟาง เจิ้งจือ รู้สึกเหมือนว่าอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งใบ
เขาเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเล็กน้อย เขาเดินเข้าหา หยิง ซาน ทีละก้าว
การต่อสู้มักจะเปลี่ยนไปภายในเวลาชั่วอึดใจ
หยิง ซาน จับตัว หนานกง มู่ ไว้ แน่นอนว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่เห็นการเคลื่อนไหวของคนรอบตัวเขา ดังนั้นเขาจึงสังเกตุเห็น ฟาง เจิ้งจือ ที่กำลังเดินเข้ามาทางเขา
เช่นเดียวกันนั้นเอง เหยียน และ ซิว ปิง หยาง ผู้ที่ตามหลัง ฟาง เจิ้งจือ มา
ในตอนนั้นเอง หยิง ซาน หันไปมองที่ ฟาง เจิ้งจือ
"ฟาง เจิ้งจือ เจ้าจะร่วมสู้ด้วยงั้นรึ?"
เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นกับเหล่าผู้ทดสอบ พวกเขาไม่สามารถเชื่อได้เลยจริงๆ
ตั้งแต่เริ่มการทดสอบการต่อสู้ ฟาง เจิ้งจือ แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของชัยชนะมากกว่าคนอื่นๆตั้งแต่เขาเริ่มพยายามที่จะข้ามผ่านสะพานแตกหัก และศิลาแฝด
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฟาง เจิ้งจือ ไม่ใช่วีรบุรุษในสายตาของผู้คน อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีใครที่จะคาดหวังในตัวเขา
หนานกง มู่ เป็นทายาทของตระกูลหนานกง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาลับฟ้าเขียว 1 ใน 2 สุดยอดวิชาของตระกูลหนานกง
แม้จะทรงพลังขนาดนี้แต่ก็ยังไม่สามารถต่อกรกับ หยิง ซาน ได้
แล้ว... ฟาง เจิ้งจือ จะทำอะไรได้?
...
ฟาง เจิ้งจือ ไม่ต้องเดาก็เข้าใจถึงความคิดของผู้ทดสอบรอบๆ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะคิดยังไง มันก็ไม่ได้สำคัญ
ดังนั้น เขาจะไม่หยุดในสิ่งที่กำลังจะทำ
ขณะที่ ฟาง เจิ้งจือ เดินไปข้างหน้าเขตแดนของ หยิง ซาน ก่อนที่จะหยุดลง
"สวัสดี ข้าชื่อ ฟาง เจิ้งจือ !" ฟาง เจิ้งจือ แนะนำตัวเองเพื่อแสดงความนับถือ
ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น การแนะนำตัวดูไม่ใช่เรื่องที่เหมาะเท่าไหร่ อย่างน้อยๆ เมื่อเหล่าผู้ทดสอบได้ยินเรื่องนี้พวกเขาก็อยากจะเอาหัวมุดลงดิน
ในเวลานี้เขาไม่ควรจะพูดว่า "เจ้าปีศาจที่ชั่วร้ายจงยอมจำนนแก่ข้าซะ งั้นหรอกเหรอ!"?
แม้ว่าจะเป็นประโยคที่ไม่เหมาะสมก็ตาม
แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งบางอย่างจากข้างใน ความหมายในการแนะนำตัวต่อปีศาจนั้นคืออะไร?
หยิง ซาน รู้สึกหดหู่เล็กน้อย จากนั้นเขาก็เริ่มหัวเราะ
"นายท่านพูดถูก เจ้าช่างเป็นคนที่หยั่งไม่ถึงจริงๆ! " นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ หยิง ซาน พูดแบบนี้ เพราะฉะนั้น มันหมายความว่าครั้งแรกเขาพูดให้กับ ฟาง เจิ้งจือ
"ท่านรู้จักข้าด้วยเหรอ?" ฟาง เจิ้งจือ ดูจะตกใจมาก
ขณะที่ หยิง ซาน กำลังจะตอบกลับ เขาก็ตระหนักว่าไม่ว่าเขาจะตอบว่า "ใช่" หรือ "ไม่" ก็ยังดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่
ถ้าเขาตอบว่า "ใช่" นั่นหมายความว่านายน้อยของเขาเคยได้พบกับ ฟาง เจิ้งจือ มาก่อน อย่างไรก็ตามถ้าเขาตอบว่า "ไม่" ซึ่งมันดูเหมือนจะขัดแย้งกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูด
มันเป็นการสนทนาที่เรียบง่าย อย่างไรก็ตาม หลายๆอย่างสามารถอนุมานได้จากคำพูด
"ดูเหมือนว่า ... เจ้าจะร่วมสู้ด้วย?" หยิง ซาน ไม่ได้ตอบคำถามของ ฟาง เจิ้งจือ เขาพูดเข้าเรื่องเลย
"ไม่ ข้ามาที่นี่เพื่อเจรจาสงบศึก!" ฟาง เจิ้งจือ ส่ายหัวเล็กน้อย
"เจรจาสงบศึกงั้นรึ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า ...ฟาง เจิ้งจือ เจ้าเป็นคนที่ฉลาดมาก เจ้าคิดว่าเผ่าปีศาจอย่างเราจะเจรจาหาความสงบสุขกับเผ่ามนุษย์ได้อย่างงั้นหรือ? " หยิง ซาน รู้สึกว่าเขาได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในโลก
"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? เจ้าสามารถอธิบายเหตุผลของเจ้า นั่งจิบชา จากนั้นพวกเราก็จะได้สนทนากัน พูดคุยเล่าเรื่องของประวัติศาสตร์ของเผ่าปีศาจและเผ่ามนุษย์ " ฟาง เจิ้งจือ กล่าวอย่างใจเย็น
"จิบชางั้นหรือ? มีการสนทนาที่ดีแบบนั้นด้วยรึ? เจ้าไม่รู้สึกว่าเจ้าเป็นคนไร้เดียงสาไปหน่อยหรอ? " หยิง ซาน มองไปที่ ฟาง เจิ้งจือ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ฟาง เจิ้งจือ จะเสนอวิธีดังกล่าวภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
ความคิดนั้นมาจากไหนกัน?
อย่างไรก็ตามคำพูดของ ฟาง เจิ้งจือ ทำให้เขารู้สึกโกรธ ความจริงแล้วมันทำให้เขารู้สึกโกรธมากจนเงาที่อยู่รอบๆ หยิง ซาน นั้นสั่นไหวเล็กน้อย ทำให้เขตแดนฟ้าเขียวของ หนานกง มู่ ขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
ความสนใจของ หยิง ซาน มุงไปที่ ฟาง เจิ้งจือ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะสังเกตุเห็นเรื่องนี้
อีกทั้งผู้ทดสอบคนอื่นๆก็ใจจดใจจ่อกับเรื่องที่ ฟาง เจิ้งจือ พูดไป ดังนั้นพวกเขาเองก็ไม่ได้สังเกตุเห็นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หนานกง มู่ รู้ถึงเรื่องนี้
หนานกง มู่ จ้องไปที่ ฟาง เจิ้งจือ
เขาไม่เข้าใจเลยว่า ฟาง เจิ้งจือ ทำอะไร อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกได้ว่าแรงกดดันที่ตัวเขานั้นลดน้อยลง
"ใช่ ข้ามันไร้เดียงสา สถานที่แห่งนี้คงไม่เหมาะกับการจิบชาหรอก ที่สำคัญที่สุดคือมันไม่มีใบชา! " ฟาง เจิ้งจือ ตะโกนออกมา
ใบชา…
ปากของ เหยียน ซิว กระตุกเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนกับว่า เขาไม่สมควรจะพูดคุยกับ ฟาง เจิ้งจือ เลย เพราะไม่ว่าพวกเขาจะคุยกันยังไง ดูเหมือนว่าจะมีคลื่นความถี่ไม่ตรงกันเลยแม้แต่น้อย
"ถ้าเจ้าต้องการจะยื้อเวลาล่ะก็ เจ้าลืมมันไปได้เลย" หยิง ซาน ตัดสินใจที่จะไม่พูดกับ ฟาง เจิ้งจือ อีกต่อไป
"ทำไมท่านถึงชอบทำตัวไม่ดีกับคนอื่น? เอาเป็นว่าถ้าไม่เต็มใจนั่งคุยกัน งั้นทำไมเราไม่มาทำการแลกเปลี่ยนกันล่ะ? " ฟาง เจิ้งจือ ส่ายหัวเบาๆ และค่อนข้างผิดหวัง
"ถ้าเจ้ามuอะไรจะพูดก็รีบพูดมา" หยิง ซาน ไม่เหลือความอดทนอีกต่อไป
"หอกนี้ ที่อยู่ในมือของข้า ...ท่านรู้จักหรือไม่?" ฟาง เจิ้งจือ ยกหอกฉีหลินขึ้นมา
"หอกฉีหลิน 1 ใน 10 สมบัติที่ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรเซี่ย มันเป็นสิ่งน่ารังเกียจหนึ่งเดียวใน 10 สมบัติที่ยิ่งใหญ่ ข้าจะไม่รู้จักมันได้ยังไง? " หยิง ซาน พยักหน้า
ในความเป็นจริงหากว่า ฟาง เจิ้งจือ ไม่ได้ถือหอกฉีหลินอยู่ในมือ ทำไมเขาต้องมานั่งฟังการสนทนาที่ไร้ประโยชน์กับ ฟาง เจิ้งจือ แบบนี้ด้วย?
ในการทดสอบการต่อสู้ครั้งนี้เขาได้แอบเข้ามาในโลกแห่งเซียน
ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขา
สิ่งเดียวที่คาดไม่ถึงเลยคือการที่องค์หญิง ปิง หยาง เข้ามาในนี้ด้วย นอกจากนี้นางยังได้นำหอกฉีหลิน 1 ใน 10 สุดยอดสมบัติของอาณาจักรติดตัวนางมาด้วย
แม้ว่าจะอยู่ในระดับผนวกดารา ปิง หยาง ก็สามารถชิงความได้เปรียบกับ ซิง ฉิงซุยที่อยู่ในระดับสะท้อนสวรรค์ได้
เขารอดูการต่อสู้ระหว่าง ซิง ฉิงซุย กับ ปิง หยาง จบลงเพื่อที่จะดูว่าหอกฉีหลินนี้ทรงพลังแค่ไหน
ตอนนี้หอกฉีหลินอยู่ในกำมือของ ฟาง เจิ้งจือ ด้วยพลังระดับสะท้อนสวรรค์ จะเกิดอะไรขึ้นกันถ้าหากเขาเข้าต่อกรกับระดับอภินิหาร
ไม่มีใครรู้แน่ชัด
นี่เป็นเหตุผลที่ หยิง ซาน ไม่เข้าเผชิญหน้ากับ ฟาง เจิ้งจือ ในทันที เพราะ ปิง หยาง ยืนอยู่ข้างๆ ฟาง เจิ้งจือ ตลอดเวลา
เขาไม่ได้คาดว่าหอกฉีหลินนี้จะตกอยู่ในมือของ ฟาง เจิ้งจือ
เนื่องจากเป็นตัวแปรเดียวในโลกแห่งเซียน ในตอนนี้ ดูเหมือนว่า ฟาง เจิ้งจือ จะได้รับตัวแปรนั้นมาและมายืนอยู่ต่อหน้าเขา
ที่สำคัญที่สุดคือเขาถือหอกฉีหลินมาและยื่นข้อเสนอที่จะแลกเปลี่ยน
หยิง ซาน หมดความอดทนแล้ว อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นเอง เขายังคงตัดสินใจที่จะรักษาความอดทนของเขาต่อไปอีกหน่อย....
เพจหลัก : Double gate TH