ตอนที่ 58 ตำหนักห้วงจิตวิญญาณ
แปลโดย : Roping
– – – – – – – – – – – –
มู่หรงอี่ซยวนและเฟิ่งชิงเกอนั้นเชื่อมโยงกันด้วยหัวใจ ขณะที่เฟิ่งจิ่วเป็นเพียงคนแปลกหน้า...
สิ่งที่นางต้องการทำ นางจะทำมันด้วยตัวเองเท่านั้น ถึงแม้ว่าชายคนนี้จะเป็นคนที่เฟิ่งชิงเกอเชื่อมั่นอย่างหมดใจ นางก็ไม่ต้องการบอกถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของนางในขณะนี้
การพึ่งพาตัวเองก็ย่อมดีกว่าการก้มหัวขอความช่วยจากคนอื่นเสมอ
มู่หรงอี่ซยวนนั้นอับจนคำพูดขณะที่มองคนทั้งสองเดินจากไป
[น้องสาว?]
[ชายคนนั้นกล่าวว่านางเป็นน้องสาวของเขา? เช่นนั้นนั่นก็มิใช่ชิงเกอ?]
หัวใจของเขาพลันรู้สึกถึงความว่างเปล่าที่ท่วมท้นเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เขาพลันรู้สึกผิดหวังและในเวลาเดียวกันก็รู้สึกยินดี บางทีเรื่องทั้งหมดอาจเป็นแค่ว่าเขานั้นฟุ้งซ่านเกินไป
[อย่างไรเสีย ข้อสงสัยของเขาก็แปลกประหลาดเกินไปจริงๆ หากว่ามันเป็นจริงมันไม่ใช่ว่ามันหมายความว่าชิงเกอที่กำลังอยู่ในระหว่างทางกลับบ้านนั้นเป็นตัวปลอมหรอกรึ? แม้ว่าในใจเขาจะกังขาว่านางมิใช่ตัวจริง แต่จะเป็นไปได้หรือว่าแม้แต่บิดาและปู่ของนางก็ไม่รู้สึกตัวหากเป็นเช่นนั้นจริง?]
[บางทีเขาอาจจะแค่คิดมากเกินไป]
อีกด้านหนึ่ง กวนซีหลินและเฟิ่งจิ่วเดินไปรอบๆและพิจารณาบ้านหลายต่อหลายหลัง จนกระทั่งพบหลังที่ดูร่มรื่นเงียบสงบอย่างที่ทั้งคู่ถูกใจ แม้ว่าตำแหน่งจะห่างไกลตัวเมืองและนอกเส้นทางสัญจรไปบ้าง ทว่าความเงียบสงบและสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ดีทำให้ทั้งสองตกลงใจเลือกที่นี่
ในวันเดียวกัน ทั้งคู่ก็ไปจับจ่ายซื้อของใช้ที่จำเป็นและย้ายเข้าบ้านใหม่ทันที
และหลังจากอธิบายสิ่งต่างๆให้กวนซีหลินฟังเล็กน้อย เฟิ่งจิ่วก็เข้าสู่การปิดด่านเก็บตัวฝึกฝนพลัง…..
ตลอดสามวันเต็ม ประตูที่ปิดแน่นนั้นมิได้เปิดออกแม้แต่ครั้งเดียว
ขณะเดียวกันที่ลานบ้าน กวนซีหลินคอยเฝ้าระวังให้ตลอดสามวันขณะที่ฝึกใช้กระบี่ด้วยมือซ้ายไปพร้อมๆกัน
พรสวรรค์ของเขานั้นโดดเด่นยิ่ง อีกทั้งยังมีพลังภายในที่ไม่ธรรมดา จากตอนแรกที่งุ่มง่าม จวบจนตอนนี้ที่เริ่มมีความคล่องมือมากขึ้น แม้ว่าจะยังไม่ชำนาญเท่ากับมือข้างขวา ทว่าเขาทำให้แขนซ้ายนั้นมีกำลังมากขึ้นมากทีเดียว
อีกด้านหนึ่งภายในห้อง เฟิ่งจิ่วนั่งขัดสมาธิอยู่บนที่นอน มือวางบนเข่าแต่ละข้าง พลังปราณสีแดงที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าหมุนเวียนอยู่รอบๆ ตัว พลังปราณนั้นหมุนวนอย่างรวดเร็วยิ่งและถาโถมเข้าสู่ทะเลลมปราณบริเวณหว่างคิ้วของนางแล้วควบรวมตัวกัน
สำหรับผู้ฝึกปราณที่เพิ่งเริ่มต้น การจะคืบหน้าเข้าสู่ระดับนักรบจะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่จะรุดเข้าสู่ระยะเริ่มต้นของระดับนักรบ
ตัวอย่างเช่นเฟิ่งชิงเกอคนเดิม พลังของนางอยู่เพียงแค่ขั้นสองของระดับนักรบ ขณะที่ตอนนี้เฟิ่งจิ่วใช้เวลาเพียงแค่สามวันก็คืบหน้าเข้าสู่ขั้นลมปราณ ซึ่งเพิ่มพูนพลังของนางอย่างมหาศาล
ควรทราบว่าระดับจอมทัพนั้นก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นผลสำเร็จแล้ว ที่ระดับนี้นั้นมีพลังที่แตกต่างจากคนทั่วไปอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับชายวัยกลางคนที่อยู่ในระดับจอมทัพที่นางเผชิญหน้าด้วยในป่าเก้าวงกต พลังระดับนั้นก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเสาหลักความแข็งแกร่งของตระกูลแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ชายวัยกลางคนนั่นอยู่เพียงแค่ขั้นกลางของระดับจอมทัพเสียด้วยซ้ำ
ในการต่อสู้ครั้งนั้น ระดับจอมทัพขั้นกลางไม่แม้แต่จะสูสีกับนางที่ไม่มีพลังปราณแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลานี้ หลังจากที่เฟิ่งจิ่วรวบรวมปราณเข้าสู่ทะเลลมปราณของนางและก้าวเข้าสู่ขั้นสองของระดับนักรบลมปราณได้สำเร็จ
เมื่อนางผ่อนลมหายใจออกเบาๆ และลืมตาขึ้น เสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของหงส์ไฟน้อยก็ดังเข้ามาในจิตใจ
“เจ้าผู้หญิงโง่ เขตแดนที่กั้นขวางอยู่ในมิติถูกตัวข้าผู้สูงส่งพังลงแล้ว! รีบเข้ามาดูเร็ว!”
วี่แววของประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตา นางรีบเข้าไปในมิติของแหวนและทันทีที่เข้าไปนางก็ชะงักนิ่งด้วยความตื่นตะลึง
“นี่มัน…...”
“ว่าไงล่ะ? ข้าบอกเจ้าแล้วว่าตัวข้าผู้สูงส่งน่ะทรงพลังเอามากๆไม่ใช่รึ? เขตแดนกั้นที่ตาแก่นั่นผ่านไม่ได้น่ะถูกข้าพังลงแล้ว!”
หงส์ไฟน้อยมองไปที่เฟิ่งจิ่วอย่างภาคภูมิใจ และกล่าวต่ออีกว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีดวงดีถึงขั้นต่อต้านสวรรค์พรรค์ไหนกันถึงได้ครอบครองห้วงจิตมิติวิญญาณที่หาได้ยากเช่นนี้ การฝึกในที่แห่งนี้หนึ่งวันจะเทียบเท่ากับฝึกฝนอยู่ข้างนอกถึงสามวัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งจิ่วก็พบว่ามันช่างน่าเหลือเชื่อ ทันทีที่นางเข้ามาสู่มิติก็สัมผัสได้ทันทีว่าเขตแดนที่เคยกั้นอยู่นั้นสลายไปแล้ว และพลังจิตวิญญาณภายในมิติก็กลายเป็นเข้มข้นและหนาแน่นอย่างยิ่ง