ตอนที่ 51 นายน้อยสามของตระกูลเฟิง
จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ ตอนที่ 51 นายน้อยสามของตระกูลเฟิง
ไม่ทันไร จอมยุทธระดับรวมธาตุทั้งห้าคนก็ถูกสังหารทันที!
ด้วยความแข็งแกร่งของมังกรอสรพิษเกล็ดสีชาด
ชายหนุ่มรู้สึกกลัวจนใบหน้าของมันซีดขาวและสั่นสะท้านไปทั้งร่าง มันไม่ใช่อัจฉริยะทางด้านวรยุทธ และฉากนองเลือดแบบนี้เกือบจะทำให้มันฉี่แตกออกมา หลีเฮาและคนอื่นๆอดที่จะหัวเราะไม่ได้
เมื่อชายหนุ่มได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ย ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวและชี้นิ้วออกไป “พวกเจ้ากล้าเยาะเย้ยข้ารึ?”
“แล้วมันทำไมล่ะ?”
“เหอะ ในเมื่อข้ารับใช้ของข้าตายหมดแล้ว งั้นพวกเจ้าก็ทำหน้าที่แบกงูยักษ์นี่ให้ข้าซะ!” ชายหนุ่มออกคำสั่ง
หลีเฮาและคนอื่นๆมองหน้ากัน พวกมันสงสัยว่าสมองของหมอนี่มีปัญหารึเปล่า
“พวกเจ้ากล้าดีอย่างไร! ข้าคือนายน้อยสามของตระกูลเฟิงแห่งเมืองต้าหยวน เฟิงหลัว และพี่ชายของข้าคือ เฟิงหยาง ศิษย์ที่แท้จริงของสำนักฮูหยาง!” ชายหนุ่มโวยวายออกมา
ตระกูลเฟิง!
ลิ่วตงและกลุ่มของมันแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา พวกมันที่เป็นสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลใหญ่แห่งเมืองกำแพงศิลา จะไปเทียบกับตระกูลใหญ่ของเมืองต้าหยวนได้อย่างไร? ตระกูลใหญ่เหล่านั้นมีจอมยุทธที่ทรงพลังในระดับก่อเกิดธาตุคอยคุ้มครองตระกูลอยู่ และพวกมันไม่อ่อนแอไปกว่านิกายหมาป่าหินผาแม้แต่น้อย
ยิ่งกว่านั้น พี่ชายของเฟิงหลัวยังเป็นศิษย์ที่แท้จริงของสำนักฮูหยางอีกด้วย นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างมาก สำนักฮูหยางเป็นที่รวมตัวกันของเหล่าอัจฉริยะของแคว้นพิรุณ ศิษย์ร้อยอันดับแรกล้วนแต่มีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณ... ไม่ต้องพูดศิษย์ที่แท้จริงเลย เหล่าศิษย์ที่แท้จริงคือศิษย์ที่อยู่ในสามสิบอันดับแรกของสำนัก!
ศิษย์ที่แท้จริงนั้นได้รับประกันแล้วว่าจะมีพลังระดับห้วงจิตวิญญาณในอนาคต!
การจะต่อต้านคนที่จะกลายเป็นจอมยุทธที่ทรงพลังในระดับห้วงจิตวิญญาณในอนาคต... ในโลกนี้ใครบ้างจะไม่รู้สึกเกรงกลัว?
“เฟิงหยางที่ว่าแข็งแกร่งมากเลยรึ?” หลิงฮันหันไปถามหลิวอู๋ตง
“แข็งแกร่งมาก!” หลิวอู๋ตงพยักหน้า ใบหน้าอันงดงามของนางแสดงออกถึงความจริงจัง
“ข้าได้ยินมาว่าเฟิงหยางเพิ่งจะทะลวงผ่านระดับก่อเกิดธาตุได้เมื่อสามปีที่แล้ว และในตอนนั้นเขาเพิ่งจะอายุยี่สิบปีเท่านั้น ในตอนนี้เขามีพลังอยู่ที่ก่อเกิดธาตุขั้นสามระดับสูงสุด และมีโอกาสสูงมากที่เขาจะก้าวหน้าไปอีกในช่วงสั้นๆนี้ เขาสามารถสร้างปราณกระบี่ขึ้นมาได้แล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าเขาสร้างได้กี่เล่มแล้วก็ตาม แต่มันต้องไม่น้อยกว่าสามแน่นอน”
นั่นเป็นความเร็วในการก้าวหน้าที่น่าตกตะลึงอย่างมาก
หลังจากที่ทะลวงผ่านมายังระดับก่อเกิดธาตุแล้ว เฟิงหยางใช้เวลาสามปีในการบรรลุไปยังขั้นสาม ถ้าความเร็วของเขายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เขาจะสามารถทะลวงผ่านระดับห้วงจิตวิญญาณได้ตอนอายุประมาณสามสิบกว่าปี และมีความเป็นไปได้ที่เมื่อเขาอายุหกสิบปี หรือเจ็ดสิบปี เขาอาจจะสามารถเลื่อนระดับไปอีกขั้นหนึ่งและทะลวงผ่านระดับแก่นแท้จิตวิญญาณได้!
และในตอนนั้นเองเขาจะถูกยอมรับว่าเป็นตัวตนอันสูงส่งของแคว้นพิรุณ เพราะว่าจอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นพิรุณว่ากันว่ามีเพียงระดับแก่นแท้จิตวิญญาณเท่านั้น ถึงแม้จะมีข่าวลือว่ามีสัตว์ประหลาดเฒ่าที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านั้นและคอยดูแลแคว้นพิรุณอยู่ก็ตาม
เมื่อคิดแบบนั้นแล้ว ศักยภาพของเฟิงหยางนั้นสูงเป็นอย่างมาก ไม่แปลกเลยที่เฟิงหลัวจะหยิ่งยโสขนาดนี้
“โอ้!” หลิงฮันตอบอย่างไม่ใส่ใจ เขาไม่คิดว่าเฟิงหยางจะเป็นอุปสรรคที่ใหญ่โตอะไรขนาดนั้น เขาตบไหล่หลิวอู๋ตงและยิ้ม “ข้ารับประกันเลยว่าเจ้าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าหมอนั่น!”
หลิวอู๋ตงพยักหน้า นางเชื่อมั่นในตัวหลิงฮันอย่างมาก
ทักษะบ่มเพาะที่นางใช้อยู่ตอนนี้คือทักษะระดับสวรรค์ และด้วยรากฐานวิญญาณระดับสวรรค์ขั้นสูงของนาง หากวัดด้วยพรสวรร์ที่ติดตัวมานางจะไม่มีทางแพ้ให้กับใครแน่นอน แต่แน่นอนว่านางไม่สามารถเทียบได้กับสัตว์ประหลาดออย่างหลิงฮันแน่นอน
นางไม่รู้ว่าในโลกนี้ยังมีรากฐานวิญญาณระดับนิรันดร์อยู่ และไม่รู้ด้วยว่าหลิงฮันเป็นจักรพรรดิแห่งการปรุงยา หากอยู่ข้างกายเขา นางจะกลายเป็นเหมือนกับขวดยาที่จะมีเม็ดยามาใส่นับไม่ถ้วน นางเพียงต้องฝึกฝนอย่างเรียบง่าย และรอให้พลังบ่มเพาะสูงขึ้นเท่านั้น
“เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ รีบๆแบกงูยักษ์นี่กลับไปให้ข้าซะ!” เฟิงหลัวพูดด้วยความพึงพอใจ จากที่ผ่านๆมา ตราบใดที่มันเอ่ยชื่อพี่ชายของมัน อีกฝ่ายจะเชื่อฟังมันในทันที
หลิงฮันส่ายหน้าและพูด “ข้าเกลียดคนแบบเจ้าที่สุด!” จากนั้นเขาได้เดินไปทางเฟิงหลัว
“พี่ชายหลิง อย่าใจร้อนเกินไป!” ลิ่วตงและกลุ่มของมันรีบพูดออกมา พวกมันกลัวว่าหลิงฮันจะสังหารเฟิงหลัวเหมือนกับที่ทำเมื่อตอนเหตุการณ์ที่หุบเขาแห่งสมดุล
“ไม่ต้องห่วง ข้าเพียงจะตบตีมันเท่านั้น!” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม เพราะอย่างไรเฟิงหลัวก็แค่จะขโมยของของพวกเขา ไม่ได้คิดจะสังหารคนของเขาหรือมีความคิดสกปรกอะไร ไม่เช่นนั้นหลิงฮันคงไม่มีปรานีแน่นอน
“เจ้า เจ้ากล้ารึ!” เฟิงหลัวขยับถอยหลังอย่างช่วยไม่ได้
ถึงแม้เฟิงหลัวกับเฟิงหยางจะมีแม่คนเดียวกัน แต่เฟิงหยางเป็นอัจฉริยะทางด้านวรยุทธในขณะที่ตัวมัน ไม่มีพรสวรรค์แม้แต่น้อย เฟิงหลัวในตอนนี้มีพลังเพียงระดับหลอมกายาขั้นเก้าเท่านั้น และที่มันมีพลังเท่านี้ก็เพราะเม็ดยาต่างๆที่มันกินเข้าไป
“ถ้ากล้าแล้วจะทำไม?” หลิงฮันยกขาขึ้นและถีบออกไป เฟิงหลัวร้องออกมาอย่างเจ็บปวด และหลังจากที่หลิงฮันเตะมันไปอีกสองสามครั้ง จมูกของมันมีเลือดไหลออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยปูดบวม ถ้ามันไปส่องกระจก มันคงจะจำตัวมันเองไม่ได้แน่นอน
เฟิงหลัวไม่กล้าพูดอวดดีอีกต่อไป มันหันหลังวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
หลิงฮันผ่าร่างของมังกรอสรพิษเกล็ดสีชาดและหยิบเอาแก่นอสูรขนาดฝ่ามือออกมา แก่นอสูรที่ว่ามีสีแดงราวกับเปลวเพลิงอันร้อนแรง
“พวกเจ้าช่วยเลาะกระดูกสันหลังของเจ้างูนี่ที ตามหลักแล้วมันเรียกได้ว่าเป็นกระดูกของมังกร ไขสันหลังของมันสามารถนำมาใช้เสริมร่างกายได้” หลิงฮันมอบงานให้กับลิ่วตงและคนอื่นๆในขณะที่เขาและหลิวอู๋ตงได้เข้าไปในถ้ำอีกครั้ง เขาต้องเข้าไปเก็บหญ้ามังกรปฐพี
ลิ่วตงและกลุ่มของมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หากร่างกายแข็งแกร่งพลังป้องกันก็จะยกระดับขึ้นตามไปด้วย นี่เรียกได้ว่าเป็นผลประโยชน์ถาวร
พวกมันเริ่มทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ทันที
หลิงฮันกับหลิวอู๋ตงเข้าไปในถ้ำและเข้าไปยังเส้นทางลับ บริเวณรอบๆนั้นเปียกชื้นเป็นอย่างมาก และเพราะมังกรอสรพิษเกล็ดสีชาดในอาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว บรรยากาศรอบๆจึงมีกลิ่นคาวของเลือดอบอวลไปทั่ว
โชคดีที่ทางเดินในถ้ำไม่ยาวมาก หลังจากเดินไปไม่นานได้มีโพรงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ตรงหน้าของทั้งสองคน
“เจอแล้ว!” หลิงฮันพบเพียงสมุนไพรหนึ่งต้นขึ้นอยู่ตรงกลางของโพรง สมุนไพรที่ว่ามีลำต้นเพียงต้นเดียว ไม่มีกิ่งหรือใบงอกออกมาแม้แต่น้อย ลำต้นของมันมีรูปร่างงอและบิดเบี้ยว ดูเหมือนกับเป็นมังกรศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังแหงนคอคิดที่จะทะยานขึ้นสู้สวรรค์
หญ้ามังกรปฐพี!
*ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ*