Golden Time - ตอนที่ 3 [อ่านฟรี]
ตอนที่ 3
ศาสตราจารย์หัวเราะขึ้นมาในขณะที่นึกถึงความหลังสมัยที่เขายังเป็นเพียงนักเรียนมัธยมต้นและยังสามารถคาดการณ์โอกาสที่จะเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นได้อีกด้วย จริงๆ นี่ไม่ใช่การคาดการณ์ แต่เป็นการวินิจฉัยที่แน่นอนต่างหาก นักเรียนที่ถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินด้วยภาวะหัวใจหยุดเต้น และหัวใจของเด็กนักเรียนกลับมาเต้นอีกครั้ง แต่สมองของเขาได้รับความเสียหายเนื่องจากการขาดออกซิเจนเป็นเวลานาน อาการของเขาสาหัสถึงขั้นโคม่าซึ่งนำไปสู่การตกอยู่ในสภาพผัก
‘เขามีความฝันที่อยากจะเป็นหมอรึเปล่า?...หัวใจของเขาหยุดเต้นไปมากกว่าห้านาที’
ศาสตราจารย์เอาแต่ตรวจร่างกายของซูฮยอคอย่างใกล้ชิดจนลืมไปว่าเขามีงานอื่นอีกที่กำลังรอเขาอยู่ เขารู้สึกอึดอัดและละอายใจด้วยความจริงที่ว่าสิ่งที่เขาต้องอธิบายอาการที่ร้ายแรงแก่ผู้ป่วยทีละรายรับรู้รวมถึงซูฮยอคคนนี้ด้วย ต่อไปหมอจะตรวจอาการของซูฮยอคเพื่อเช็คการตอบสนองโดยให้เขาพยักหน้าถ้ารับรู้สิ่งที่หมอพูด
“หมอแค่ไม่รู้ว่าคุณ...”
‘ว่าผมมีความฝันรึเปล่าน่ะหรอ? ความฝันแบบใดที่ผมฝันถึง? หรืออะไรที่ผมฝันอยากจะเป็น?’
ช่วงที่เขาสูญเสียความทรงจำของเขา เขาคิดอะไรไม่ออก มันมีความคิดที่คลุมเครืออยู่ในหัวที่ว่าเขาไม่ได้ฝันที่จะเป็นหมอ เป็นเพราะเขารู้สึกอึดอัดที่ในฝันต้องทนเห็นตอนที่เขาผ่าตัดเปิดสมองของคนไข้ด้วยมีด แน่นอนว่ากว่าเขาจะผ่านช่วงนี้ไปได้มันต้องใช้เวลา
‘คุณเห็นนี่ไหม?’
ศาสตราจารย์หยิบปากกาขึ้นมาและขยับมันจากซ้ายไปขวาอย่างช้าๆ ตาซูฮยอคมองตามปากกาที่ศาสตราจารย์ถืออยู่ ศาสตราจารย์กำลังตรวจร่างกายพร้อมพูดกับเขาไปด้วยและไม่ช้าศาสตราจารย์ก็ได้ข้อสรุปผลการวินิจฉัยของเขา นักศึกษาแพทย์ต่างแสดงอาการอยากรู้ว่าจริง ๆแล้วซูฮยอคตกอยู่ในสภาพผักรึเปล่า?
เป็นที่แน่นอนในที่สุดศาสตราจารย์ก็ได้รายละเอียดทั้งหมดหลังจากการตรวจสอบอย่างละเอียด
ในขณะนั้นผู้หญิงประมาณวัยกลางคนเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วยอย่างรีบร้อน อายุของเธอน่าจะ 40 ปลายๆ เธอมัดผมด้วย
‘คุณพระช่วย ซูฮยอค!’
ซูฮยอครู้สึกด้วยสัญชาตญาณว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นแม่ของเขา
ถึงแม้ว่าเขาจะจำใบหน้าเธอได้ไม่ได้ แต่ก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ผูกมัดที่หัวใจของเขาด้วยความสัมพันธ์บางอย่างที่พาดผ่านระหว่างเขาทั้งคู่
‘ฉันรู้ว่าลูกชายของฉัน...จะฟื้นขึ้นมาแน่นอน’
เธอยิ้มพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลเปื้อนบนใบหน้าของซูฮยอค
‘ผมคิดว่าเขาความจำเสื่อม’ ศาสตราจารย์กล่าว
‘คุณพูดว่าอะไรนะ?’ เธอถาม. คำพูดของศาสตราจารย์ทำให้ดวงตาของเธอแดงฉานขึ้นเรื่อย ๆ
‘ลูกชายของคุณได้สูญเสียความทรงจำของเขาทั้งหมดหลังจากที่เขาได้รับอุบัติเหตุรุนแรง’
มือของเธอลูบหัวของซูฮยอคพลางกับสะอื้นไปพร้อม ๆกัน
‘แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายของฉันคะ?’
“ผมต้องตรวจสอบเพิ่มอีกหน่อย แต่ความเห็นของผมร่างกายของเขาปกติดีทุกอย่างยกเว้นก็แต่ความทรงจำของเขา” แต่ที่ว่า ‘ดี’ นั่นก็ไม่พอที่จะอธิบายถึงสภาพของเขาตอนนี้ได้ทั้งหมด
ถึงแม้ว่าดวงตาของเขาจะตอบสนองได้อย่างปกติก็ไม่ได้แปลว่าสมองของเขาจะไม่ได้รับการกระทบกระเทือนใดๆ อย่างไรก็ตามซูฮยอคดูเป็นปกติอย่างไม่น่าเชื่อ ทางแพทย์กล่าวว่านี่เป็นปาฏิหาริย์เมื่อพวกเขาไม่สามารถหาคำอธิบายทางการแพทย์ที่เหมาะสมได้
‘ไม่เป็นไรค่ะแค่ลูกไม่เป็นอะไรมากนั่นก็เพียงพอสำหรับฉันแล้วเดี๋ยวก็ดีขึ้นเองนะ...ซูฮยอค’
ด้วยสายตาที่น่าสงสารของเธอที่ทอดไปหาลูกชาย เธอค่อย ๆโอบกอดลูกชาย ตบหลังเบา ๆและปลอบเขา ซึ่งซูฮยอคเองก็แปลกใจเช่นกันกับเหตุการณ์นี้
ซูฮยอคที่อยู่ในอ้อมกอดแม่ของเขาสัมผัสได้ว่าหัวใจของเธอเต้นแรงมาก ในโลกนี้มีจังหวะอะไรที่รู้สึกดีกว่านี้อีกไหม? อกของแม่ของเขาอบอุ่นในหัวใจเหมือนเคย ถ้าเขาหลับตาลงจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นพอที่อาจจะทำให้เขาหลับได้เลย
‘ซูฮยอค!’
ทันใดนั้นชายประมานวัยกลางคนก็เข้ามาในห้อง เขามีรูปร่างผอม ทรงผมสั้นและสูงประมาณ 165 เซนติเมตร มือของเขาด้านเดาได้ว่าคงเป็นพวกใช้แรงงานหนัก
‘พ่อ...’
......................................................................................................................................
ซูฮยอคต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาลต่อ เขาไม่ได้ใช้ร่างกายมาเป็นเวลานานเนื่องจากการนอนติดเตียง เขาพบว่ามันยากมากที่จะเดิน เขาต้องรักษาตัวเองให้กลับมาเป็นปกติให้เร็วที่สุด อย่างไรก็ตามเขาจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองไปด้วย ในครอบครัวสามคน คือ พ่อ แม่และตัวเขาเป็นลูกคนเดียว
พ่อและแม่ของเขาจะสนับสนุนลูกชายคนเดียวของพวกเขาทั้งร่างกายและจิตใจ แม่ของเขาเป็นแม่บ้านทำความสะอาดอาคารและพ่อของเขาใช้แรงงานในทุกๆวันด้วยมือที่เต็มไปด้วยความหยาบกระด้าง ตอนนี้เขาจำเป็นต้องหาตัวตนของคนอีกคนในครอบครัว
‘ลี ซูฮยอค นายเป็นผู้ชายแบบไหนกัน?’
เมื่อเขาเริ่มเดินได้คล่องขึ้นหลังจากที่ได้รับการรักษาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ซูฮยอคก็ออกจากโรงพยาบาลได้
‘ไปขึ้นรถเมล์กัน?’ แม่ของซูฮยอค, คิม มยองฮี ที่เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลพร้อมกับลูกชายของเธอถามด้วยความกังวลใจ เพราะลูกชายของเธอปกติไม่ค่อยได้ใช้รถเมล์ซักเท่าไร เธอยังคงถามเรื่องนี้เพราะลูกชายของเธออาจกลัวการนั่งรถแท็กซี่เนื่องจากผลกระทบจากอุบัติเหตุของเขา
ซูฮยอค ตอบด้วยรอยยิ้มว่า ‘จะรถแท็กซี่หรือรถเมล์ก็ไม่เป็นอะไรครับ’ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะกลับบ้านได้อย่างไรและเนื่องจากสูญเสียความทรงจำไป แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าของรถแท็กซี่กับรถเมล์อย่างไหนปลอดภัยกว่ากัน
“มันดีสำหรับลูก!”
คิม มยองฮีพาเขาขึ้นรถแท็กซี่ พวกเขามาถึงจุดหมายปลายทางและลงจากรถแท็กซี่ มันเป็นวิลล่าสี่ชั้นเก่าๆที่มีทางเดินยาวหน้าตึก เธอถอนหายใจเบา ๆ เมื่อซูฮยอคมองไปรอบๆวิลล่า เขาคงจำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับที่นี่
‘หมอบอกว่าบางทีความทรงจำของลูกอาจจะกลับมาได้เร็ว ๆ นี้ เพราะงั้น...อย่าเครียดนะลูก โอเคไหม?’
เมื่อซูฮยอคพยักหน้าเธอก็เริ่มเดินต่อ ก็อย่างที่เห็นว่าวิลล่านี้เก่ามากจึงไม่มีลิฟท์ ซูฮยอคสูดหายใจลึกขณะขึ้นไปชั้นที่สาม เขารู้สึกเหนื่อยและหายใจติดขัดหลังจากเดินขึ้นบันไดเพียงไม่มีขั้น
เขาต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายสามารถฟื้นสภาพกลับมาปกติได้โดยเร็ว
ห้อง 302 คิม มยองฮี พับแขนเสื้อขึ้นและเปิดประตูก็เจอห้องครัวเป็นห้องแรก
‘นี่เป็นห้องของลูก ลูกหิวหรือเปล่า? แม่จะทำไข่ม้วนที่ลูกชอบมากให้ทานดังนั้นลูกรอสักหน่อยได้ไหม?’ เธอพูด.
‘ได้เลยครับ’ ซูฮยอคพูด
ก่อนที่เธอจะเดินพ้นประตูห้องไปเธอหันกลับมามองหน้าของลูกชายพร้อมด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นเพื่อปิดบังความรู้สึกสงสารลูกชายที่เพิ่งเกิดอุบัติเหตุมา หน้าตาที่อ่อนโยนและรอยยิ้มบนใบหน้าของลูกชาย เธอไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้มานานแล้ว
ไม่มีอะไรมากมายภายในห้อง มีเพียง เตียง โต๊ะ คอมพิวเตอร์และชุดเครื่องนักเรียนที่แขวนอยู่ ซูฮยอคมองไปที่รอบ ๆห้องช้า ๆ เจอโต๊ะซึ่งบนนั้นมีตำราและโน้ตวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ ซูฮยอคดึงหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้นและรีบเปิดไปเรื่อย ๆ เขาพบว่าในหนังสือเต็มไปด้วยบันทึกจำนวนมาก สภาพมันดูยับเยินเหมือนกับผ่านการใช้มานับครั้งไม่ถ้วน
‘ฉันคิดว่าฉันคงจะใช้มันเรียนหนักมาก’ ซูยอคพูดกับตัวเอง
จากนั้นเขาก็เปิดลิ้นชักโต๊ะเจอ ยางลบ, ไม้บรรทัด, น้ำหมึกทุกสิ่งวางระเกะระกะอยู่ภายใน
‘ฉันควรจะทำความสะอาดมัน’
เมื่อซูฮยอคพึมพำเขาสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในลิ้นชัก
‘นี่มันคืออะไร?’
มันต้องใช้เวลาสักหน่อยที่เขาจะเอามันออกเพราะมันอยู่ใต้ลิ้นชักที่มีของมากมายทับอยู่ มันเป็นไดอารี่ที่ใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย แต่ไดอารี่นั้นถูกล็อคอยู่ด้วยแม่กุญแจอันเล็ก ๆ ซูฮยอคเดินไปรอบ ๆ ห้องเพื่อหากุญแจเล็ก ๆ ไขแต่ก็ไม่เห็นเลย
ซูฮยอคจ้องมองไปที่ด้านข้างของไดอารี่ขยับตัวล็อคด้วยมือ ออกแรงดึงเพื่อที่จะให้แม่กุญแจแตกหักออกจากกัน และตามที่คาดไว้แม่กุญแจหักอย่างง่ายดาย ซูฮยอคคาดหวังบางอย่างว่าไดอารี่เล่มนี้อาจจะเป็นของคนอื่น เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขาที่จะค้นพบว่าตัวเองนั้นเป็นใครมากขึ้น เขาเปิดไปที่หน้าแรก
<ฉันอยากตาย...ฉันอยากฆ่าทุกคน...>
ซูฮยอคจ้องมองที่คำพูดเหล่านั้นในไดอารี่แล้วมองไปที่ใบหน้าของเขาในกระจกแขวนที่อยู่ข้าง ๆเขา
‘ฉันเป็นผู้ชายแบบไหนกัน?’
ซูฮยอคหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองได้เล็กน้อยหลังจากอ่านผ่านไดอารี่ เขาเป็นพวก “วังตา”* หรือคนที่ถูกขับไล่ออกจากสังคมกลุ่มนักเรียนเหล่านี้มีพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสังคมมากๆ เนื้อหาของไดอารี่ที่เขามองในแง่มุมของเขา ถูกสาปแช่งเพียงเพราะมุมมองของคนอื่นที่มองว่าเขาไม่ดี
เพื่อที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเขาเอง เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเผชิญหน้ากับตัวตนในอดีตของเขาที่เขียนไว้ในไดอารี่นี้
......................................................................................................................................
เป็นเวลานับสัปดาห์แล้วที่เขามาจากโรงพยาบาล ซูฮยอคตื่นขึ้นมาในตอนเช้าวันใหม่เปลี่ยนชุดและมองตัวเองในกระจก หน้าตาไม่เลว ตรงกันข้ามสภาพเขาตอนนี้ภายนอกของเขาก็ไม่ได้ดูแย่สักเท่าไร
ก๊อก ,ก๊อก ,ก๊อก
‘ซูฮยอคอาหารเช้าพร้อมแล้วลูก’
คิม มยองฮี เข้ามาในห้องขณะกำลังเคาะห้อง พร้อมกับดูแปลกใจเล็กน้อย
‘ทำไมลูกถึงใส่ชุดนักเรียน?’
‘เพราะผมต้องไปโรงเรียนไงครับ’
เขาตรวจสอบที่อยู่ของโรงเรียนกับรถเมล์ที่ผ่านโรงเรียนขณะที่เขากำลังพักฟื้นอยู่ที่บ้านแล้ว นอกจากนี้เขายังติดต่อโรงเรียนและบอกพวกเขาว่าจะไปโรงเรียนทันทีที่เปิด นั่นคือวันนี้ ถ้ารวมวันหยุดไปด้วยเขาตามหลังเพื่อนๆของเขาอยู่สองเดือนในเรื่องของงานที่ต้องทำส่ง การศึกษาเป็นหน้าที่หลักของนักเรียน เขาต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นสองเท่าเพื่อที่จะได้ตามคนอื่น ๆทัน
‘ลูกยังไม่ค่อยดี...ลูกต้องพักผ่อนอีกสักหน่อยนะ...’
เธอไม่สามารถปิดบังสีหน้าที่เป็นกังวลออกไปได้ แม้ว่าเขาจะไม่มีปัญหาในการลุกเดินแล้วก็ตาม แต่ความทรงจำเขายังคงฟื้นกลับมาไม่เต็มที่เขาดูเปลี่ยนไปมากเกินไป เขาเคยกลับมาบ้านพร้อมกับความรู้สึกหงุดหงิดบนใบหน้า ขังตัวอยู่ในห้อง เป็นผลให้บทสนทนาระหว่างพวกเขาถูกตัดขาด อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดอุบัติเหตุตอนนี้เขาดูเปลี่ยนเป็นคนละคนจากเมื่อก่อน ใบหน้าของเขาเปล่งประกายและลักษณะท่าทางการพูดของเขาก็เปลี่ยนไปราวกับว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ เห็นได้ชัดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีสำหรับเขา แต่พ่อแม่มีมุมมองที่แตกต่างออกไป การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจเพราะลูกป่วยหรือมีบางอย่างอาจผิดปกติไป
ที่เขาเปลี่ยนไปเป็นเพราะผลข้างเคียงของยารึเปล่า?
‘ให้ผมไปโรงเรียนเถอะ’ ซูฮยอคพูด
เธอไม่ได้รั้งเขาไว้ขณะที่เดินออกจากห้องไปเพราะเธอรู้สึกว่าลูกตั้งใจมากที่จะไปโรงเรียนให้ได้ และใส่เงิน 10,000 วอนในมือของลูก
‘เอาเงินไว้ซื้อของในโรงเรียนนะ’
ซูฮยอครับเงินนั่นไว้ เขารู้สึกถึงความอบอุ่นในใจตอนที่แม่เอื้อมมือมาจับแล้วให้เงินนั่นกับมือ
‘ลูกหาทางไปโรงเรียนเองได้ใช่ไหม? ให้แม่ไปส่งไหม?’
‘ไม่เป็นไรครับ ผมพอจำทางไปโรงเรียนได้’ เขาโกหก
เขาพูดเพื่อลดความกังวลของแม่ลง
‘เอาล่ะผมไปแล้ว’ เขาพูด
‘โอเค...บ๊ายบาย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอย่าลืมโทรหาแม่นะโอเคไหมลูก?’
ซูฮยอคสวมรอยยิ้มบนใบหน้า พยักหน้าและเดินออกจากบ้าน
......................................................................................................................................
ซูฮยอคมองไปที่ทางเข้าหลักที่แปลก ๆ ของโรงเรียน เขาจำอะไรไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พอจะนึกออกเกี่ยวกับโรงเรียนได้เลย ‘ไม่มีอะไรหรอก’ เขาบอกกับตัวเองว่า ‘ต้องไปพบครูประชั้นก่อน’
ซูฮยอคหยุดอยู่ตรงหน้าห้องพักครู หาชื่อครูจากบอร์ดที่ติดไว้ จากนั้นก็พบครูคนหนึ่งแต่งตัวดูสบาย ๆ มาพร้อมกับความรู้สึกประทับใจ เขาคว้ามือของซูฮยอคด้วยความอบอุ่นและพูดว่า
‘เธอเป็นยังไงบ้าง? ถ้าวันไหนเธอรู้สึกไม่ค่อยดีก็หยุดเรียนได้เลยนะ’ ครูพูด
ซูฮยอคตอบว่า ‘ผมสบายดีครับ’
ครูเช็คร่างกายของเขาโดยรวมอย่างช้า ๆ เขาดูเหมือนจะผอมกว่าแต่ก่อน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีปัญหา ‘ไหนดูซิเด็กชายคนไหนกันที่ตกอยู่ในสภาพผักเป็นเดือน ๆ’ เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยจริง ๆ
‘ขอบคุณพระเจ้า ความจำเสื่อมหรือ? เธอจำได้ไหมว่าเคยเรียนอยู่ชั้นไหน?’ ครูถาม
ซูฮยอคตอบว่า ‘จำไม่ได้ครับ ผมคิดว่าตั้งแต่นี้ต่อไปผมต้องเริ่มจำทุกอย่างไปทีละนิดทีละหน่อยครับ’
ครูประจำชั้นแสดงออกถึงความรู้สึกภูมิใจในตัวเขา ในความเป็นจริง ซูฮยอครู้สึกไม่ค่อยมีความมั่นใจ แต่เขาเอาชนะความเจ็บป่วยของเขาและแสดงออกมาให้เห็นว่าเขาปกติดี
‘ครูครับเกรดของผมดีไหม?’ ซูฮยอคถาม
ครูหัวเราะและตอบกลับด้วยความมั่นใจ
‘ดีมาก’ ครูพูด
‘ดียังไง?’ ซูฮยอคถาม
‘เธอได้ที่ 4 จากการสอบมิดเทอม’
ซูฮยอคผงกหัวเพราะเกรดที่เป็นสิ่งที่เขาคาดเดาได้ในระดับหนึ่ง ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่
‘ทุกคนลุกขึ้น’ ครูพูดและเริ่มจัดเตรียมอุปกรณ์ในการสอน เช่น หนังสือเรียน
‘ผมจะรอข้างนอกนะ’ ซูฮยอคพูด
ครูจ้องมองไปที่ซูฮยอคพลางพึมพำว่า ‘เขาเปลี่ยนไปมากจริง ๆ’
เขาต้องจัดการกับความทรงจำในอดีตที่หายไป ตอนนี้มีแค่คนๆเดียวที่ซูฮยอคยังคงนึกถึงคือชายที่เขาพบในความฝัน ความฝันนั้นมันช่างเจิดจ้ากว่าความเป็นจริง ในความฝันเขาพบชายคนที่อายุประมาณ 50 กลาง ๆ เขาอยู่กับชายคนนั้นมานานเท่าไร? ซูฮยอคอยู่ในสภาพผักนานถึงสามเดือน แต่ช่วงเวลาของความฝันของเขานานกว่านั้นมาก เขาคงกลายเป็นผู้ใหญ่และอ่อนโยนขึ้นเนื่องจากการที่เขาได้ติดต่อกับชายที่อายุมากกว่าเขาในความฝัน
คาบเรียนที่ 7 ของปีการศึกษาที่ 3 (ม.2) ในโรงเรียนมัธยมต้น ซูฮยอคเข้ามาในห้องเรียนกับครูประจำชั้นแนะนำตัวเองให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขารู้จักและนั่งลงในที่นั่งที่กำหนดไว้ ทันทีที่การโฮมรูมช่วงเช้าจบลงห้องเรียนก็กลับมาคึกคักเสียงดังเช่นเคย ใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยเข้ามาหาเขามาทีละคนและพวกเขาก็ทักทายซูฮยอค
‘นายความจำเสื่อมจริง ๆหรอ?’ พวกเขาถาม
‘ฉันสบายดี’ ซูฮยอคตอบ
พยักหน้าให้พวกเขาเบา ๆ ซูฮยอคมีข้อสงสัยบางอย่างในใจ เขาเป็นพวกวังตาไม่ใช่หรอ? เขารู้สึกว่าความคิดแรกของเขาเกี่ยวกับตัวเขาเองตอนที่เขาอ่านไดอารี่จะผิดพลาด ขณะเขากำลังคิดถึงเรื่องในอดีตอันน่าซับซ้อนคาบแรกก็จบลงแล้วเวลาพักก็มาถึง
‘ลี ซูฮยอค, ถ้านายความจำเสื่อม, นายน่าจะต้องจำพวกเราไม่ได้ด้วยใช่ไหม?’
นักเรียนสามคน คนแรกขยับที่แว่นตาของตัวเอง อีกคนมีรอยยิ้มร่าเริงและคนที่สามหน้าถมึงทึงเดินเข้ามาหาเขา พวกเขาดูต่างกันเล็กน้อยจากที่เห็น แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ดวงตาที่ฉายแววประหลาด ซึ่งแววตาแบบนี้มีแต่พวกเด็กเนิร์ดเท่านั้นที่มี
เพิ่มเติม :
*‘wangtta (วังตา)’ เป็นคำแสลงของเกาหลี มันมีความหมายว่าคนที่ถูกกีดกันโดยเพื่อน ๆของเขาหรือเธอด้วยวิธีการต่าง ๆนา ๆไม่ว่าจะเป็นการเยาะเย้ยหรือการกลั่นแกล้งตลอดเวลา ซึ่งไม่มีคำแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษโดยตรง