ตอนที่ 48 ถ้ำของอสรพิษยักษ์
จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ ตอนที่ 48 ถ้ำของอสรพิษยักษ์
“ถ้ำที่ว่าอยู่ที่ไหน?” หลิงฮันถาม
“เดี๋ยวสิ เจ้าคิดจะไปที่ที่น่ากลัวแบบนั้นรึ?” ลิ่วตงพูดเสียงดังออกมา
หลิงฮันยิ้มและพูด “ไม่ใช่ว่าพวกเจ้ามาที่นี่เพื่อพบเจอโชคลาภรึไง? ที่นั่นอาจจะมีอยู่ก็ได้ จริงสิ พวกเจ้าคงไม่ได้เสี่ยงอันตรายเข้าไปส่วนลึกของถ้ำหรอกสินะ?”
“ไม่มีทางเด็ดขาด ที่นั่นมีโครงกระดูกเต็มไปหมด ราวกับเป็นสุสานขนาดใหญ่ เมื่อหลงเข้าไปแล้วเห็นแบบนั้นเข้าพวกเราก็รีบหนีออกมาทันทีเลย” ในฐานะที่เป็นผู้หญิง จูเซว่อวี่จึงไม่กลัวว่าจะถูกหลิงฮันหัวเราะว่าขี้ขลาด
“พวกเจ้าช่างโชคดียิ่งนัก” หลิงฮันพยักหน้า ถ้าพวกมันเกิดความอยากรู้อยากเห็นแล้วเข้าไปลึกเพื่อดูว่าตัวอะไรเป็นคนกินโครงกระดูกเหล่านั้นล่ะก็ พวกมันคงไม่ได้ออกจากถ้ำมาอีกตลอดกาล
“มีโชคโลภอยู่ที่นั่นจริงๆรึ?” เชินเพิงจวีถามด้วยความคาดหวังเล็กน้อย ตอนนี้มีเพียงมันและโจวฉางสองคนเท่านั้นที่ยังไม่ทะลวงผ่านไปยังระดับรวมธาตุ
“มีความเป็นไปได้อยู่” หลิงฮันพยักหน้า ถ้ำที่ว่าอาจจะเป็นถ้ำที่อยู่ของมังกรอสรพิษเกล็ดสีชาด หรืออาจจะเป็นของสัตว์อสูรที่ดุร้ายชนิดอื่นก็ได้ หากเขายังไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง คงจะบอกอย่างละเอียดไม่ได้นัก
เมื่อหลิงฮันเห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นของทั้งห้าคนเขาจึงพูดออกไป “อย่างไรก็ตาม โชคลาภที่ยิ่งใหญ่มักจะมาคู่กันกับภัยอันตรายที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน พวกเจ้าควรคิดให้รอบคอบเสียก่อน”
พวกมันมองหน้ากันสักพักจนในที่สุดก็พูดออกมา “อย่างไรพวกเราก็จะพาเจ้าไปยังถ้ำนั่นก่อน”
ทั้งกลุ่มออกเดินทาง และหลิงฮันได้พูดกับหลีเฮา “ยินดีด้วย ในที่สุดเจ้าสร้างปราณกระบี่ได้เสียที ตอนนี้เจ้าสามารถเรียกได้ว่าก้าวเข้าสู้ขั้นแรกของผู้ใช้กระบี่แล้ว”
ปราณกระบี่!
เมื่อหลิงฮันพูดขึ้นมา ลิ่วตงและคนอื่นๆก็นึกขึ้นมาได้ว่าการโจมตีครั้งสุดท้ายของหลีเฮาสามารถสร้างปราณกระบี่ขึ้นมาได้ ลิ่วตง เชินเพิงจวี และโจวฉางรู้สึกอิจฉาอย่างช่วยไม่ได้ ในขณะที่ใบหน้าของจูเซว่อวี่เต็มไปด้วยความสุข
หลีเฮาหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนที่มันจะเริ่มฝึกฝนการบ่มเพาะพลัง มันได้ฝึกทักษะการใช้กระบี่มาก่อน มันหมกมุ่นอยู่กับวิถีกระบี่มาแล้วถึงสิบสามปี ความหวังลึกๆความมันคือการสร้างปราณกระบี่ให้ได้
มันไม่เคยคิดเลยว่ามันจะสมหวังในขณะที่อยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายแบบนั้น จากนี้ไป เส้นทางแห่งการฝึกตนของมันจะรุ่งโรจน์เกินจะจินตนาการได้!
หรือหากมันไปยังสำนักฮูหยางและแสดงปราณกระบี่ให้ดู มันจะได้รับการยินยอมให้เป็นศิษย์อย่างแน่นอน
“พี่ชายหลิง มาสู้กัน!” จิตวิญญาณการต่อสู้ของหลีเฮาลุกโชนขึ้นมา
“อย่างไรก็ตาม พี่ชายหลิงต้องไม่ใช้พลังเต็มที่ ไม่เช่นนั้นท่านจะแข็งแกร่งเกินไป”
หลิงฮันไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ เขาเพียงชักดาบและสะบัดออกไปอย่างเรียบง่าย
“ฟึบ” ปราณดาบสองเล่มปรากฏออกมา
หลีเฮาอ้าปากค้างด้วยความตะลึง หลังจากนั้นมันจึงส่ายหัวและพูด “ข้าจะไม่เปรียบเทียบตัวเองกับสัตว์ประหลาดอย่างท่านอีกแล้ว!”
“ใช่แล้ว หมอนี่คือสัตว์หลาดที่แท้จริง!”
“จะเปรียบเทียบตัวเองกับเขาก็มีแต่ทำให้ตัวเองลำบากเท่านั้น!”
ลิ่วตงและอีกสามคนพูดออกมา พวกมันยอมรับในพลังของหลิงฮันอย่างสมบูรณ์แบบ
แต่ถึงอย่างนั้นหลิงฮันก็ยังไม่พอใจเท่านี้ ปราณดาบเป็นเพียงก้าวแรกของวิถีแห่งดาบ เหนือกว่านี้ยังมีรัศมีแห่งดาบและแก่นแท้แห่งดาบอยู่อีก! ในชีวิตที่แล้ว จอมยุทธระดับสวรรค์ทั้งเจ็ดคน มีหนึ่งคนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักดาบที่แข็งแกร่งที่สุด เขาเริ่มฝึกฝนดาบเมื่ออายุเจ็ดปี สร้างปราณดาบได้ตอนอายุสิบปี สร้างรัศมีแห่งดาบได้ตอนอายุสิบเจ็ดปี และสร้างแก่นแท้แห่งดาบได้ตอนอายุสามสิบสามปี เขาเป็นปรมาจารย์แห่งดาบอย่างแท้จริง
ชีวิตที่แล้วของหลิงฮันมุ่งมั่นและใช้เวลาทั้งหมดไปกับวิถีปรุงยาและกลายเป็นจักรพรรดิปรุงยาในที่สุด ซึ่งเขาเป็นบุคคลที่ไม่เคยปรากฏอยู่บนตำราประวัติศาสตร์ใดๆ แต่ชีวิตนี้ ในเมื่อเขาตัดสินใจจะมุ่งมั่นไปในวิถีแห่งวรยุทธแล้ว เขาก็จะต้องเป็นจักรพรรดิแห่งวิถียุทธที่แท้จริงให้ได้
เมืองต้าหยวนนั้นเล็กเกินไป ซึ่งแคว้นพิรุณเองก็ไม่ต่างกัน เพราะงั้นคนที่แค่สร้างปราณดาบหรือปราณกระบี่ขึ้นมาได้ก็นับว่าเป็นอัจฉริยะไร้ที่ติแล้ว
พวกเขาอยู่ไม่ไกลจากถ้ำที่ว่าเท่าไหร่ ดังนั้นเมื่อเดินไปประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเขาจึงมาถึงหน้าผาที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่ และเนื่องจากหน้าผาไม่มีแดดส่องถึงสีของตะไคร่จึงกลายเป็นสีเขียวเข้ม
“ตรงนั้นไง!” จูเซว่อวี่พูดพร้อมกับชี้ไปทางมุมหนึ่งของหน้าผา
หลิงฮันมองตามและเห็นทางเข้าถ้ำที่ซ่อนอยู่ ถ้าเขาไม่มองตามที่จูเซว่อวี่ชี้ไป เขาคงมองข้ามไปอย่างแน่นอน
“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปดูสักหน่อย” หลิงฮันกระโจนเข้าไปในถ้ำ
บรรยากาศภายในถ้ำชื้นเป็นอย่างมาก พื้นเองก็ลื่นเช่นกัน หากเขาไม่ระวังอาจจะล้มและไถลไปจนสุดถ้ำเลยก็ได้ หลังฮันเดินอยู่ในถ้ำอย่างระมัดระวังและคอยสังเกตร่องรอยต่างๆ
ไม่นานเขาก็มาถึงจุดล่างสุดของถ้ำ และพบเข้ากับโพรงขนาดใหญ่ที่มีโครงกระดูกกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด และอย่างที่จูเซว่อวี่บอกเอาไว้ พวกมันมีทั้งกระดูกของมนุษย์และสัตว์อสูรที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นออกมา
ถ้ามีคนมาเห็นฉากแบบนี้เข้า ก็ไม่แปลกที่จะหันหลังแล้ววิ่งหนีกลับไปยังทางที่เข้ามาทันที
หลิงฮันค้นหาอย่างละเอียด และในที่สุดก็พบเกล็ดสีชาดปนอยู่ในกองกระดูก
“เป็นมังกรอสรพิษเกล็ดสีชาดจริงๆด้วย!” ในที่สุดเขาก็สามารถยืนยันได้ หลิงฮันเริ่มค้นหาอีกครั้งและพบทางเข้าที่มุมหนึ่งของโพรงถ้ำ เพดานของทางเข้าสูงเท่ากับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง และกว้างพอจะให้คนเพียงคนเดียวเข้าไปได้เท่านั้น ข้างในนั้นมีกลิ่นเน่าเหม็นที่รุนแรงกว่าภายนอกลอยออกมา
“เจ้าตัวใหญ่นั่นคงจะกำลังหลับอยู่ข้างในนี้” หลิงฮันมองไปยังเกล็ดที่อยู่ในมือ ดูจากขนาดของมันแล้ว น่าจะเป็นของมังกรอสรพิษเกล็ดสีชาดตัวเต็มวัย เขาออกแรงงอมัน แต่เกล็ดก็ไม่หักครึ่ง
“สมกับเป็นมังกรอสรพิษเกล็ดสีชาด สัตว์อสูรที่มีสายเลือดของมังกร เกล็ดของมันจึงได้แข็งขนาดนี้ หากเป็นสัตว์อสูรระดับรวมธาตุตัวอื่นๆคงไม่มีทางที่จะมีพลังป้องกันแข็งแกร่งเช่นนี้”
หลิงฮันถอยออกมานอกถ้ำ และพาพวกลิ่วตงออกห่างจากทางเข้าถ้ำและพูด “ถ้ำนั่นเป็นที่อยู่อาศัยของมังกรอสรพิษเกล็ดสีชาด”
“มังกรอสรพิษเกล็ดสีชาด!” ลิ่วตงและคนอื่นๆล้วนแต่ตกตะลึง มังกรอสรพิษเกล็ดสีชาดเป็นสัตว์อสูรในระดับรวมธาตุขั้นเก้า ยิ่งกว่านั้นมันยังแข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรระดับรวมธาตุขั้นเก้าตัวอื่นไม่รู้กี่เท่า มันคู่ควรแล้วกับฉายา ‘ราชาแห่งสัตว์อสูรระดับรวมธาตุ’
“แก่นอสูรของมังกรอสรพิษเกล็ดสีชาดสามารถนำมาหลอมเป็นเม็ดยาทะลวงกำเนิดได้ ยาหนึ่งเม็ดจะทำให้พลังบ่มเพาะเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น แต่จะได้ผลเฉพาะกับจอมยุทธที่ระดับต่ำว่ารวมธาตุขั้นสี่เท่านั้น” หลิงฮันบอกผลประโยชน์ก่อนเป็นอันดับแรกและพูดต่อ “ว่าไง พวกเจ้าอยากจะร่วมมือกับข้ารึไม่?”
ลิ่วตงและกลุ่มของมันเกิดความลังเล ใจหนึ่งพวกมันก็โหยหาพลัง แต่อีกใจหนึ่ง สำหรับพวกมันมังกรอสรพิษเกล็ดสีชาดไม่ใช่ศัตรูที่จะต่อกรได้ง่ายๆ ถ้าพวกมันไม่ระวัง พวกมันอาจจะมันไม่ได้แก่นอสูรมาและกลายเป็นเหยื่อของอสรพิษนั่นแทน และโครงกระดูกของพวกมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองโครงกระดูกในถ้ำ
หลิงฮันมองพวกมันด้วยรอยยิ้ม ในความเป็นจริง ในเมื่อเขากล้าเดินเข้าไปในถ้ำ แน่นอนว่าเขาต้องมีความสามารถในการรับมือกับมังกรอสรพิษเกล็ดสีชาดแน่นอนอยู่แล้ว นี่เป็นเพียงการทดสอบทั้งห้าคนนี้เท่านั้น
...นั่นเพราะทั้งห้าคนเป็นคนพาเขามายังถ้ำของมังกรอสรพิษเกล็ดสีชาด เขาอยากจะตอบแทนพวกมันด้วยรางวัลชิ้นใหญ่ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับพวกมันด้วยเช่นกันว่ามีความกล้าพอจะรับโอกาสนี้ไปหรือไม่
สีหน้าของทั้งห้าคนเปลี่ยนเป็นความแน่วแน่และพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “ลุยกันเลย!”
“ถ้าพวกเราสามารถบรรลุถึงระดับรวมธาตุขั้นสี่ พวกเราก็จะมีโอกาสคว้าสิบอันดับแรกของการประลองต้าหยวนในปีนี้! และจะสามารถเข้าร่วมกับสำนักฮูหยางได้!”
“พวกเราต้องเสี่ยง!”
หลิงฮันพยักหน้า “ไม่เสียใจทีหลังแน่นะ?”
“ไม่แน่นอน!” ทั้งห้าคนพูดอย่างพร้อมเพรียง
“เอาล่ะ งั้นหน้าที่ของพวกเจ้าคือไปจับแกะขนประกายแสงและนำมันมาที่นี่” หลิงฮันพูด
“แกะขนประกายแสง?” ลิ่วตงและคนอื่นๆจ้องกันอย่างงุนงง แกะขนประกายแสงเป็นเพียงสัตว์อสูรในระดับหลอมกายาและไม่มีอะไรพิเศษ หลิงฮันจะต้องการมันไปทำไมกัน?
หลิงฮันยิ้มและพูด “แกะขนประกายแสงเป็นอาหารโปรดของมังกรอสรพิษเกล็ดสีชาด”
เชินเพิงจวียังไม่เข้าใจและถามออกไป “แล้วทำไมเราต้องหาอาหารมาให้เจ้างูยักษ์นั่นล่ะ?”
“เจ้าโง่!” จูเซว่อวี่เคาะหัวมันและพูด “ถ้าเราวางยาบางอย่างในร่างของแกะขนประกายแสง ยานั่นก็ต้องเข้าไปอยู่ในท้องเจ้างูยักษ์นั่นไม่ใช่รึไง?”
“โอ้ นั่นสินะ!” เชินเพิงจวีเกาหัว การที่มันเพิ่งจะมารู้เอาตอนนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะดังออกมาทันที
*ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ*