ตอนที่ 145 ร่วมมือ
ตอนที่ 145 ร่วมมือ
เมื่อซู่เหยียนออกคำสั่ง ศิษย์สาวกแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวที่ยังพอมีเรี่ยวแรงพละกำลังในการต่อสู้ต่างพร้อมใจพุ่งโจมตีออกไป
ท่านพี่ ! หู่เหม่ยเอ่อหันหน้าจ้องมองหู่เจี่ยวเอ่อ
เจี่ยวเอ่อ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันนี้พวกเราไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวข้อง ไม่มีใครรู้ว่าสัตว์อสูรยังหลงเหลือเรี่ยวแรงพลังความแข็งแกร่งในการต่อสู้มากน้อยเท่าไหร่ เอาเช่นนี้ดีกว่าพวกเราคอยสังเกตการณ์กลุ่มคนแห่งหอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยว
หุบปาก !! ขี้ขลาดสิ้นดี !! หู่เหม่ยเอ่อจ้องมองหล่งจ้วนด้วยสายตาที่ดุดัน
หล่งจ้วนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
หู่เจี่ยวเออหัวเราะอย่างข่มขื่น เขามองไปที่หู่เหมยเอ่อและมองไปยังหยางไค่ ดวงตาประกายด้วยความอ่อนโยน และกล่าวต่อในทันที : นิกายโลหิตเดินหน้าเข้าช่วยเหลือ !!
หลังจากที่กล่าวจบ หู่เจี่ยวเอ่อโผบินออกไปเป็นคนแรก
ทางด้านของหอวายุพิรุณ ตู่ยี่ฉางจ้องมองฟางจือชิด้วยสายตาที่กระวนกระวายและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา : เขาเคยช่วยชีวิตข้า !!
ฟางจือชิบีบจมูกของตนเองไปมา : ข้าว่าพวกเราเฝ้ามองเหตุการณ์การต่อสู้ ..
ข้าจะดูหมิ่นเจ้าและเหยียดหยามเจ้าไปตลอดชีวิต !! ตู่ยี่ฉางจ้องมองไปยังศิษย์พี่ของหอวายุพิรุณด้วยสายตาที่โกรธเคือง
อ๊ากก .. ฟางจือชิหมดสิ้นหนทาง : ในเมื่อเจ้ากล่าวออกมาเช่นนี้ ข้าจะมีหนทางอื่นให้เลือกอีกหรือไง ?
และตามมาด้วยเสียงหัวเราะที่ยาวเหยียด : วันนี้ได้พบเจอวีรบุรุษที่กล้าหาญเช่นนี้ ข้าฟางจือชิจะละทิ้งคนที่อยู่เบื้องหลังได้อย่างไร !! บุรุษหนุ่มแห่งหอวายุพิรุณ ฟังคำสั่งข้าให้ดี ออกโจมตีไปพร้อมกับข้า ให้พวกเขาเหล่านั้นรับรู้ว่าบุรุษแห่งหอแห่งหอวายุพิรุณเป็นชายชาตรีที่ห้าวหาญอย่างแท้จริง !!
โฮ่ง !! ศิษย์สาวกชายแห่งหอวายุพิรุณต่างตะโกนคำรามอย่างพร้อมเพรียงกัน
ศิษย์พี่ฟาง แล้วพวกเราล่ะ ? พวกเราที่เป็นศิษย์สาวกหญิงล่ะ ? ตู่ยี่ฉางกล่าวถามด้วยความสงสัย
ถอยห่างออกไป และเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สตรีเช่นพวกเจ้าสามารถปรนิบัติสามีและเลี้ยงดูบุตรของตนเองก็เพียงพอแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวข้อง ทันทีที่กล่าวจบ เขาได้นำพาศิษย์สาวกชายแห่งหอวายุพิรุณมุ่งหน้าโจมตีไปยังสัตว์อสูร
ฮึ !! ตู่ยี่ฉางสบทด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ : ข้ารู้ว่าศิษย์พี่ไม่เห็นความสำคัญของหญิงสาว !!ข้าไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าพวกเจ้า !!
เมื่อกล่าวจบ ตู่ยี่ฉางได้พุ่งออกไปเช่นกัน
หลังจากที่ผ่านไปเป็นเวลา 3 วัน ศิษย์สาวกของทั้ง 3 สำนักเหลือจำนวนคนเพียง 700-800 คนเท่านั้น และยังมีศิษย์คนอื่นๆที่ตายอยู่ในบริเวณต่างของถ้ำสวรรค์แห่งมรดกฟ้าสวรรค์ แต่จำนวนคน 700-800 คนนี้ มีศิษย์สาวกประมาณ 8 ส่วนพุ่งโจมตีเข้ามาอย่างพร้อมใจกัน
ศิษย์สาวกที่เหลืออีก 2 ส่วน ต่างเป็นศิษย์สาวกที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ หรือศิษย์สาวกที่มีการบ่มเพาะพลังในระดับต่ำ พวกเขารู้ดีหากว่าพุ่งโจมตีออกไปพวกเขาคงไม่สามารถช่วยเหลือศิษย์คนอื่นๆแต่จะเป็นการสร้างภาระให้แก่พวกเขาแทน
เสียงอึกทึกดังสนั่นหวั่นไหวเสมือนสวรรค์ชั้นฟ้ากำลังจะถล่มทลาย ศิษย์สาวกทั้ง 3 สำนัก พลังความแข็งแกร่งทั้ง 3 ส่วน ทั้ง 3 ทิศทาง ต่างมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือสัตวอสูรที่กำลังคืบคลานอยู่บนพื้นดิน !!
การโจมตีด้วยหมัดของหยางไค่ทำให้มันได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้ว่าไม่สามารถฆ่ามัน แต่สามารถทำให้มันแน่นิ่งในช่วงระยะเวลาสั้น
ศิษย์สาวกแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยพุ่งเข้าโจมตีเป็นกลุ่มแรก ดวงตาของพวกเขาแดงก่ำ และต่างปลดปล่อยกระบวนท่าการโจมตีที่ร้ายแรงที่สุดของตนเอง พุ่งโจมตีไปยังร่างกายของสัตว์อสูร ก่อให้เกิดเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำขนาด
ศิษย์สาวกแห่งนิกายโลหิตตามติดมา และตามาด้วยหอวายุพิรุณ
ท่ามกลางคนเหล่านี้ ผู้ที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริงมีเพียงไม่กี่คน ท่ามกลางคนเหล่านี้ซู่เหยียนไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในการต่อสู้ เจี่ยหงเฉินยังลอยตัวอยู่ในกลางเวหายังไม่มีสติ เหลือเพียงฟางจือชิ หล่งจ้วน และหู่เจี่ยวเอ่อทั้ง 3 คนเท่านั้น
นอกจากนั้นพวกเขายังเป็นผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 1 ความแข็งแกร่งเช่นนี้ เป็นเรื่องยากที่จะสร้างหายนะให้แก่สัตว์อสูรที่มีพลังปกป้องตนเองที่แข็งแกร่งเช่นนี้
กระบวนท่าพุ่งออกไป พลังลมปราณเหือดแห้ง แต่ยังไม่สามารถทำอันตรายต่อสัตว์อสูร
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ศิษย์สาวกทั้ง 3 สำนักต่างไม่มีใครที่ท้อถอย พวกเขาต่างพุ่งโจมตีกระบวนท่าที่ร้ายกาจของพวกเขาต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน ทิศทางของสัตว์อสูรต่างมีเสียงปะทะไปมาดังขึ้นตลอดเวลา
หยางไค่หัวเราะขึ้นมาทันที
เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้สูญเสียพลังลมปราณที่สั่งสมไปยังตราผนึกดวงดาราอย่างเสียเปล่า เพียงแค่เขาสามารถปลุกระดมความกระหายแห่งการต่อสู้คนพวกเขา หยางไค่ก็พึงพอใจอย่างยิ่ง
ซู่เหยียนจ้องมองด้วยความตื่นตาตื่นใจ ภาพเหตุการณ์นี้สามารถขนานนามว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ใจ
ศิษย์สาวกทั้ง 3 สำนักต่างต่อสู้แย่งชิงกันอย่างโหดเหี้ยม โดยเฉพาะการเข้ามายังถ้ำสวรรค์แห่งมรดกฟ้าสวรรค์แห่งนี้ พวกเขาทั้งหลายต่างต่อสู้แย่งชิงกันอย่างโจ่งแจ้ง แต่เพราะซู่เหยียนไม่ชอบการแย่งชิง ดังนั้นหลายวันที่ผ่านมานางจึงออกเดินทางค้นหาสมบัติวิเศษเพียงผู้เดียว เพราะฐานะและความแข็งแกร่งของนาง อาจดึงดูดให้ศิษย์สาวกแห่งหอประลองยุทธุ์ห้อมล้อมเพื่อสามารถอยู่เคียงข้างนางได้อย่างภาคภูมิ
ในครั้งนี้ เจี่ยหงเฉินสร้างความเดือดร้อนให้แก่ทุกคนอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นนางจึงต้องลงมือช่วยเหลืออย่างไร้ซึ่งหนทาง เดิมทีนางคิดว่าหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวกับพาลพบกับภัยพิบัติที่ใหญ่ แต่ไม่คิดว่าเรื่องราวความสัมพันธุ์ของทั้ง 3 สำนัก จะตาลปัตรพลิกผันเช่นนี้
และความพลิกผันในครั้ง เกิดขึ้นจากชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครสามารถทำให้ศิษย์สาวกทั้ง 3 สำนักร่วมมือร่วมใจกับถึงขั้นนี้ ดวงตาของทุกคนไร้ซึ่งการแย่งชิง ไร้ซึ่งการแบ่งพรรคแบ่งพวก มีเพียงความคิดที่ต้องการฆ่าสัตว์อสูรปีศาจตนนั้นเท่านั้น !!
ชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง !!
เมื่อมองไปยังแขนขวาที่เต็มไปด้วยเลือดสดกำลังสั่นสะท้านไปมา ในห้วงหัวใจของซู่เหยียนรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก
นางอยากก้าวเดินไปข้างหน้าและช่วยเหยียวยาบาดแผลของเขา แต่นางกลับข่มความรู้สึกไว้แน่น
เพราะในตอนนี้ ชายหนุ่มคนนี้เปรียบเสมือนเหล็กกล้าที่แข็งแกร่ง หากว่าตนเองก้าวเดินออกไป ต้องก่อเกิดความรู้สึกที่อ่อนไหวอย่างแน่นอน ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ เขาไม่สมควรที่จะถูกความรู้สึกที่อ่อนไหวหลอมละลายความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้
ในขณะที่จิตใจของนางกำลังไหวหวั่น ซู่เหยียนกลับมองเห็นหญิงสาวที่ชื่อหู่เหม่ยเอ่อจากนิกายโลหิตวิ่งเข้ามาเคียงข้างด้วยความห่วงใย และกล่าวถามอาการบาดเจ็บของหยางไค่ด้วยใบหน้าที่เป็นกังวล จากนั้นจึงดึงขวดยารักษาอาการบาดเจ็บออกมาจากทรวงอก และยังฉีกเสื้อของตนเอง เพื่อห่อหุ้มยาเหล่านั้นให้แก่หยางไค่
ดวงตาที่งดงามของซู่เหยียนกระพริบไปมา จากนั้นจึงเบือนหน้าหนีจากภาพเหตุการณ์นั้น
ในสงครามการต่อสู้ อาจเป็นศิษย์สาวกทั้ง 3 สำนักโจมตีจนสัตว์อสูรตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มันที่หลับไหลหยุดนิ่งค่อยๆลืมตาด้วยความสะลืมสะลือ ร่างกายของมันกำลังจะเคลื่อนไหวอีกครั้ง เพราะแขนขาทั้ง 4 ของมันกำลังเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
เมื่อมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ความคิดของทุกคนถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง การโจมตีจึงมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
โจมตีไปยังศีรษะของมัน ศีรษะของมันได้รับบาดเจ็บ !! ทันใดนั้น เสียงตะโกนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมา มันเป็นเสียงของตู่ยี่ฉางจากหอวายุพิรุณนั้นเอง
เมื่อได้ยินคำกล่าวตะโกนของนาง ฟางจือชิและหู่เจี่ยวเอ่อรีบโผบินเข้ามา พวกเขาจ้องเขม่งไปยังเป้าหมายที่ต้องการโจมตี ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าอย่างยาวเหยียด
พวกเขาพบว่า ศีรษะของสัตว์อสูรมีบาดแผลจากการถูกโจมตีจนเป็นรอยแตกขนาดใหญ่ ในเวลานี้เลือดสีแดงสดของมันกำลังไหลรวยรินออกมาจากด้านในศีรษะ เพราะหัวสมองของมันซ่อนตัวอยู่ใต้เกราะผิวหนังที่แข็งแกร่ง หากไม่สังเกตอย่างถี่ถ้วน ไม่มีทางมองเห็นบาดแผลนี้อย่างแน่นอน
บ้าเอ้ย !! ฟางจือชิสบทออกมาด้วยความเจ็บใจ เมื่อสักครู่เขาโจมตีออกไปอย่างสุดแรง เขาไม่อาจสร้างรอยแผลเพียงน้อยนิดให้แก่สัตว์อสูรตัวนี้ แต่ว่าบริเวณศีรษะของมันกลับมีบาดแผลขนาดใหญ่ที่ยาวกว่า 1 คืบ
มันเป็นรอยแผลที่เกิดจากการโจมตีด้วยหมัดที่ทรงพลังของหยางไค่ !! หมัดของเขามีอำนาจพลังที่มากมายมหาศาลแค่ไหนกัน ทำไมจึงสามารถสร้างรอยแผลให้แก่สัตว์อสูรเช่นนี้ ?
แม้ว่าจิตใจของเขาจะเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง แต่ฟางจือชิไม่กล้าประมาทต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขาและหู่เจี่ยวเอ่อโจมตีไปยังรอยแผลนั้นด้วยความรุนแรงถึงขีดสุด
เมื่อกระบวนท่าของพวกเขาทั้ง 2 ปะทะไปยังสัตว์อสูร ทำให้ร่างกายขนาดมหึมาของมันสั่นไหวไปมา
อิรสตรีจงถอยออกไป !! ฟางจือชิรู้สึกว่าหู่เจี่ยวเอ่อเป็นตัวถ่วงในการโจมตีของเขา เขาจึงกล่าวตะโกนออกไปด้วยความไม่ชอบใจ
คนโง่เขลาที่เห็นแต่ความสำคัญของบุรุษ ข้าเองก็ไม่ต้องการที่จะพาลพบกับเจ้า !! หู่เจี่ยวเอ่อถลึงตาใส่เขาด้วยความโกรธเคือง
นิสัยของฟางจือชิ ศิษย์สาวกทั้ง 3 สำนักต่างทราบกันดี เขาให้ความสำคัญกับบุรุษ แต่ค่อนข้างดูหมิ่นสตรี เขาคิดว่ามีเพียงบุรุษจึงจะสามารถจัดการกับปัญหาใหญ่ ดังนั้นเขาจึงไม่ให้ความสำคัญกับสตรี มีเพียงซู่เหยียนเพียงคนเดียวที่เขาใช้สายตาที่เชิดชูจ้องมองนาง
จากคำร่ำลือว่ามีช่วงเวลาหนึ่งที่เขาเข้าพบประมุขแห่งหอวายุพิรุณอย่างไม่หยุด คนคนนั้นก็คืออาจารย์ของเขาเซี่ยวโน่วฮาน ในขณะที่เข้าพบเขากล่าวแก่อาจารย์ของตนเองว่าไม่ต้องรับศิษย์ที่เป็นสตรีอีกต่อไป แต่เซี่ยวโน่วฮานไม่เข้าใจคำร้องของของเขา พวกเขาทั้ง 2 ทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนแปรเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ของทั้งสองในหมู่บ้านวู่เหม่ย
แต่หลังจากวันนั้น ฟางจือชิไม่กล่าวถึงเรื่องนั้นอีก แต่ความคิดของเขาไม่เคยที่จะเปลี่ยนแปลงไปเลย
แน่นอนว่าเขาไมได้รังเกียจหญิงสาว แต่ในความคิดของเขา บุรุษและสตรีเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บุรุษต้องสูงส่งสง่างามมากกว่าสตรี
ข้าเป็นบุรุษมันเป็นความภูมิใจของข้า !!!
หากกล่าวด้วยเหตุผล ความคิดเช่นนี้ของฟางจือชิต้องถูกสาปแช่งจากสตรีทั้งปวง
แต่เขากลับเป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถ และยังเป็นศิษย์รุ่นเยาวชนที่เก่งกาจที่สุดของหอวายุพิรุณ รูปร่างใบหน้าของเขายังหล่อเหล่าสง่างามอย่างน่าชื่นชม ดังนั้นรอบกายของเขาจึงมีหญิงสาวจำนวนมากมายคอยรายล้อมตลอดเวลา
เขาคือบุรุษที่เต็มไปด้วยการรวมตัวของความขัดแย้งในร่างชายหนุ่มผู้เพีรยบพร้อม
เมื่อได้ยินคำกล่าวของหู่เจี่ยวเอ่อ คิ้วดั่งคันศรของเขาขมวดไปมา ในขณะที่เขาโจมตีไปยังศีรษะของสัตว์อสูร เขาได้กล่าวตะโกนออกไป : แม่นางน้อย เจ้าว่าใครเป็นคนโง่เขลา ?
สองมือของหู่เจี่ยวเอ่อพลิกไปมา และพุ่งโจมตีกระบวนท่าที่เต็มไปด้วยเจตนาแห่งการฆ่าที่รุนแรงไปยังศีรษะของสัตว์อสูร ก่อนจะกล่าวด้วยสุ้มเสียงที่เยาะเย้ย : เจ้าคนบ้า !! หากว่าเจ้ารังเกลียดสตรีถึงเพียงนี้ งั้นเจ้าก็ไปหอนางโลมและร้องรำทำเพลงกับศิษย์สาวกชายของเจ้าทุกค่ำคืนสิ
เมื่อคำกล่าวนี้ถูกกล่าวออกมา ใบหน้าของฟางจือชิแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดในทันที
ทำเช่นนั้นกับศิษย์สาวกชาย .
เมื่อคิดถึงบรรยากาศเช่นนั้น เสมือนว่าศีรษะของฟางจือชิกำลังลอยเคว้งคว้างและสั่นไหวไปมาด้วยความขยะแขยง
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปมา หู่เจี่ยวเอ่อหัวเราะด้วยความสะใจอย่างเสียงดัง
สตรีที่ไร้ยางอาย กล้ากล่าวคำเหล่านี้ออกมา ฟางจือชิกล่าวตะโกนด้วยความโกรธเคือง : ใครที่ได้เป็นสามีของเจ้าโชคร้ายยิ่งนัก !!
ไม่ใช่เรื่องของเจ้า !! ใบหน้าของหู่เจี่ยวเอ่อแดงก่ำ ก่อนจะถลึงตาใส่ฟางจือชิอีกครั้ง
ฟางจือชิกล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน ข้าจะไม่เถียงกับเจ้า ดูสิว่าข้าและเจ้าใครจะสามารถฆ่าสัตว์อสูรตัวนี้ได้ก่อนกัน !!
ฮึ่ เจ้าคงไม่มีวันทำได้สำเร็จ ? หู่เจี่ยวเอ่อแสะยิ้มอย่างเยือกยิ้น
แต่ยังมิทันที่พวกเขาทั้งสองจะพุ่งโจมตีออกไป เงาร่างสีขาวพุ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน มันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เยือกเย็น ทันทีที่น่าพุ่งฝ่ามืออกไป บาดแผลขนาดใหญ่ของสัตว์อสูรได้ปรากฏผลึกน้ำแข็งหิมะที่เสมือนบุพผาที่งดงาม
ผลึกน้ำแข็งหิมะกำลังดูดซับเลือดสดของสัตว์อสูร เพียงพริบตาผลึกน้ำแข็งหิมะสีขาวบริสุทธุ์แปรเปลี่ยนบุพผาสีเลือดขนาดใหญ่ มันเต็มไปด้วยความงดงามและกลิ่นอายแห่งปีศาจที่แข็งแกร่ง
คากฉาก . ผลึกน้ำแข็งหิมะที่เสมือนบุพผาสีเลือดค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นแท่งน้ำแข็งหิมะที่แหลมคมจำนวนมากมาย และพุ่งปลักไปยังกึ่งกลางของศีรษะของสัตว์อสูรอย่างรุนแรง
โฮ่ง สัตว์อสูรดึงศีรษะที่จมปลักอยู่ในหลุมลึกขึ้น และตะโกนคำรามด้วยเสียงที่ดังสนั่น ร่างกายขนาดใหญ่มหึมาสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง จนมิอาจที่จะหยุดนิ่งได้ ดวงตาที่แดงก่ำของมันก่อเกิดความรู้สึกที่มืดมัว ดูเหมือนว่ามันจะทนรับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากการโจมตีไม่ได้อีกต่อไป
ฟางจือชิและหู่เจี่ยวเอ่อหันหน้ากลับไปพร้อมกัน ซึ่งพบเห็นใบหน้าที่ซีดขาวของซู่เหยียน นางใช้พลังความแข็งแกร่งที่ฟื้นฟู ปลดปล่อยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของนางออกไป
?
หลังจากเสร็จสิ้นการโจมตี ซู่เหยียนหลับตาและตกลงไปที่พื้นล่างทันที นางไม่สามารถที่จะต่อสู้ได้อีกต่อไป
ฟางจือชิและหู่เจี่ยวเอ่อสามารถสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายแห่งความเยือกเย็นในการโจมตีของซู่เหยียนแตกต่างจากการโจมตีในก่อนหน้านั้นอย่างมาก
ก่อนหน้านั้นมันกลิ่นอายที่เยือกเย็น บริสุทธิ์ที่อย่างสุดซึ้ง มันเป็นกลิ่นอายแห่งความเยือกเย็นที่บริสุทธุ์อย่างถึงขีดสุด ไม่มีกลิ่นอายของสิ่งอื่นๆแปดเปื้อนเข้ามาแม้แต่น้อย
แต่ในตอนนี้ เสมือนว่ากลิ่นอายแห่งความเยือกเย็นนี้มีสิ่งอื่นๆแทรกซึมเข้ามา
ใครล่วงเกินนาง? ฟาจือชิสบทออกมาด้วยความสงสัย
ข้าจะรู้ได้อย่างไร ? หู่เจี่ยวเอ่อรู้สึกรำคาญ นางที่ถือกำเนิดและเติบโตในนิกายโลหิต รู้สึกว่าศิษย์สาวกชายของทั้ง 2 สำนักไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะฟางจือชิที่อยู่ตรงหน้าของเขา เขาเป็นบุรุษหนุ่มที่บ่งการผู้อื่นตลอดเวลา
ซู่เหยียนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและสูงสุ่ง แต่นางดูเหมือนตุ๊กตาหิมะน้ำแข็งที่ไร้ซึ่งความรู้สึก นางปิดกั้นระยะห่างที่ไกลพ้นจากผู้อื่น เป็นเรื่องยากที่จะใกล้ชิดนาง ส่วนเจี่ยหงเฉินยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เขาเป็นเพียงจิ้งจองเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง ที่เคารพยกย่องในชื่อเสียง ไล่ตามอำนาจและความสำเร็จเพียงเท่านั้น
นิกายโลหิตของตนเองไม้ได้แข็งแกร่งมากเท่าใด จึงทำให้ตนเองมีชีวิตที่ปกติที่สุด เพียงแค่ดูแลน้องสาวของตนเองใหเติบโตมากเป็นผู้ที่แข็งกร่งมากกว่านี้ พวกเขาทั้งสองก็จะสามารถช่วยเหลือบิดาของตนเองและสร้างรากฐานของบิดาและนิกายโลหิตให้แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้
ไม่มีใครล่วงเกินนาง ทำไมนางถึงใช้พลังความแข็งแกร่งที่ฟื้นฟูได้เพียงน้อยนิดพุ่งโจมตีออกไป ? ฟางจือชิกล่าวถามด้วยความไม่เข้าใจ เขาส่ายหัวไปมา และมองเห็นหู่เจี่ยวเอ่อกำลังใช้โอกาสนี้โจมตีสัตว์อสูรด้วยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเอง เขาจึงตะโกนด้วยความเกรี้ยวโกรธ : เจ้า ทำเช่นนี้ แม้ว่าเจ้าจะชนะ มันก็เป็นชัยชนะที่ไร้ซึ่งความยุติธรรม !!