ตอนที่ 143 ต้องตาย
ตอนที่ 143 ต้องตาย
หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าของมันใช้เกล็ดหิมะน้ำแข็งผนึกมันครั้งแล้วครั้ง มันจึงโกรธแค้นซู่เหยียนอย่างสุดขีด และต้องการฆ่านางให้ตายในทันที
สองมือของซู่เหยียนระบำพลิ้วไหวไปมาอีกครั้ง หลังจากนั้นทั่วบริเวณได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ความเยือกเย็นที่สะท้านฟ้าสะท้านแผ่นดินพุ่งลงมาจากฟากฟ้า ทันใดนั้นอาณาบริเวณของนางเสมือนได้ก่อเกิดโลกอีกใบที่มีสีขาวดุจหิมะ พื้นดินบริเวณนั้นเต็มไปด้วยความเยือกเย็นที่แข็งแกร่งและโหดเหี้ยม
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปยังซู่เหยียน ซู่เหยียนในเวลานี้ ใบหน้าที่ซีดขาวถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงระเรื่อ เสมือนว่านางเป็นนางเซียนที่แท้จริง เมื่อสามารถแบ่งแยกดินแดนของนางและดินแดนของโลกมนุษย์ขึ้นไปยังท้องฟ้าที่สูงส่ง คนที่เหลือต่างจ้องมองซู่เหยียนด้วยความความชื่นชมและเคารพในความสามารถที่เป็นอัจฉริยะของนาง
สัตว์อสูรกำลังลอยเคว้างอยู่กลางเวหา มันคำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธอย่างสุดขีด และกำลังวิ่งเข้าหาซู่เหยียนอย่างรวดเร็ว ร่างกายของพวกเขาทั้งสองเสมือนลูกแตงโมงและเมล็ดงา แต่ว่าผู้ที่อ่อนแอกว่าไม่แสดงความหวาดกลัวออกมาแม้แต่น้อย แต่แสดงออกด้วยความเรียบเฉย
ผลึกน้ำแข็งที่สามารถผนึกฟากฟ้าพุ่งรวมตัวไปยังร่างกายของซู่เหยียนอย่างรุนแรง
หลังจากนั้น เงาสีขาวขนาดมหึมาก่อกำเนิดอยู่ด้านหลังของซู่เหยียนอย่างกะทันหัน
นั่นคือซู่เหยียนที่ถูกขยายร่างกายจนมีขนาดใหญ่มหึมาไม่รู้กี่เท่า !!
เสื้อกระโปรงสีขาว ร่างกายที่สง่างามและประณีต ใบหน้าที่งดงามอย่างละเอียดอ่อน ทุกส่วนต่างถูกขยายจนมีขนาดใหญ่ แต่มันยังคงไรฐิติ งดงามจนมิอาจเปรียบเปรย หัวใจของผู้ที่ผู้เห็นต่างสั่นสะเทือนเสมือนว่าจิตวิญญานกำลังจะหลุดออกจากร่าง
เงาร่างขนาดใหญ่มหึมากำลังหลับตาแน่น แต่ในเวลาต่อมา นางลืมตาที่งดงามของนาง ภายในดวงตาของนางปรากฏภาพเทือกเขาหิมะน้ำแข็งที่ถูกปลุมคลุมด้วยหิมะ ทั่วอาณาบริเวณต่างเต็มไปด้วยหิมะ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นดั่งสีขาวหิมะที่บริสุทธุ์อย่างสุดซึ้ง
ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนี้สัมผัสถึงกลิ่นอายแห่งความเยือกเย็นที่แข็งแกร่ง มันแข็งแกร่งว่ากลิ่นอายที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งก่อนถึงหลายเท่า สายตาขอทุกคนต่างจับจ้องไปที่ร่างกายของนางอย่างไม่ละสายตา พวกเขาต่างรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกผนึกด้วยผนึกน้ำแข็งหิมะของนางโดยไม่รู้ตัว ร่างกายต่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรงด้วยความรู้สึกที่เย็นยะเยือกจนถึงภายใน
หลังจาการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายของซู่เหยียน เงาร่างขนาดมหึมาพุ่งโจมตีไปยังทิศทางของสัตว์อสูรอย่างรุนแรง
ฝ่ายตรงข้ามอยู่ห่างจากนางเพียงไม่กี่จ้าง เพียงพริบตาเงาร่างสีขาวขนาดมหึมาพุ่งผสานเข้าไปยังภายในร่างกายของสัตว์อสูร
ร่างกายของสัตว์อสูรได้ปรากฏชั้นผลึกน้ำแข็งหิมะอีกครั้งอย่างรวดเร็ว มันแข็งเป็นชั้นน้ำแข็งที่หนาแน่นและแข็งแกร่งกว่าครั้งที่แล้ว สัตว์อสูรตัวนี้ถูกผลึกน้ำแข็งหิมะผนึกไว้จนหมดสิ้น แขนขาทั้ง 4 ของมันล้วนถูกตรึงพันธนาการจากผลึกน้ำแข็งหิมะที่แข็งแกร่งของซู่เหยียน
พู่ว ..ซู่เหยียนกระอักเลือดออกมา นางสูญเสียพลังลมปราณและพลังทางจิตวิญญานจำนวนมากต่อกระบวนท่าการโจมตีเมื่อสักครู่ กายที่ผอมบางของนางซวนเซไปมาอยู่กลางเวหา ท้ายที่สุดนางก็มิอาจที่จะฝืนทนต่อไปได้ และร่วงลงมายังพื้นล่างในทันที
ในขณะเดียวกัน สัตว์อสูรที่ถูกนางผลึกน้ำแข็งหิมะผนึกเอาไว้ยังคงรักษาความเชื่องช้าในการเคลื่อนไหวและพุ่งไปยังทิศทางของซู่เหยียนทันที
ร่างกายของมันใหญ่มหึมา แม้จะถูกผนึกในขณะที่กำลังพุ่งเข้ามา ก็ไม่สามารถทำให้มันหยุดนิ่งในเวลาแรก
ซู่เหยียนที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้ามีสีหน้าที่เฉยชา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยเงาร่างของสัตว์อสูรที่กำลังพุ่งโจมตีเข้ามาอย่างกระชันชิด
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความความผิดหวัง ความเสียใจ และความเสียดายในช่วงชีวิต แต่มันไร้ซึ่งความโกรธแค้นในสายตา
เสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความตื่นตะลึงดังขึ้น
เมื่อถึงตอนนี้ คนที่เหล่าต่างฟื้นคืนจากอาการตื่นตะลึง แต่ในตอนนี้ หญิงสาวที่ถูกยกย่องเป็นนางเซียนซึ่งดึงดูดจิตวิญญาณของทุกคน กำลังเผชิญหน้ากับความตายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
ภายใต้เสียงตะโกนโห่ร้อง มีเงาร่างของคนคนหนึ่งที่ไม่แข็งแกร่งกำลังวิ่งเข้าใกล้ซู่เหยียนที่กำลังตกลงมาจากฟากฟ้า เปลวเพลิงก่อกำเนิดอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา ในขณะที่เขากำลังวิ่งเข้าไปปลายเท้าของเขายังประกายไปด้วยแสงสีแดงแห่งเปลวเพลิงที่ร้อนระอุอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น เงาร่างของเขาถูกปกคลุมด้วยแสงสีแดงแห่งเปลวเพลิง ราวกับว่าเขาแปลงกายเป็นลูกบอลไฟที่จุดประกายโชกช่วงด้วยเปลวเพลิงที่รุนแรง การเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าได้เพิ่มระดับความเร็วขึ้นอีก 1 เท่าอย่างน่าอัศจรรย์
เขาโผบินไปยังตำแหน่งบริเวณที่ซู่เหยียนตกลงมา สองเท้าออกแรงยันไปที่พื้นดินอย่างรุนแรงจนร่างกายของเขาพุ่งลอยขึ้นสู่เบื้องบนราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากคันศรอย่างรวดเร็ว เขายื่นสองมือรับร่างของซู่เหยียน จากนั้นจึงโก่งลำตัว ปกป้องซู่เหยียนไว้ในอ้อมอกด้านหน้าของตน และใช้ด้านหลังของเขาเผชิญหน้ากับการโจมตีของสัตว์อสูร
ราวกับว่าเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
สายตาที่ตื่นตะลึงของทุกคนยังไม่ฟื้นจากความตื่นตะลึง เสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความตกใจเพิ่งตะโกนออกมาจากปากของพวกเขา
แสงสีแดงที่หลงเหลือไว้จากเงาร่างที่โผบินผ่านไปยังมิทันจางหาย จากการเคลื่อนไหวของร่องรอยแห่งแสงสีแดง สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนคนนี้พุ่งออกมาจากทิศทางใด และกระโดดลอยตัวจากตำแหน่งใดในการรับร่างกายของซู่เหยียนที่กำลังตกลงมาจากฟากฟ้า
ร่างกายขนาดมหึมาของสัตว์อสูรกำลังพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
ด้านหน้าของสัตว์อสูรที่ห่างกันไม่ถึง 1 จ้าง ชาย 1 หญิง 1โอบกอดใกล้ชิดกันอย่างแนบแน่น เมื่อมองเห็นเงาร่างของพวกเขาทั้ง 2 เสมือนมองเห็นคู่ชีวิตที่ตัดสินใจร่วมเป็นร่วมตายโดยไม่เสียใจกับการตัดสินใจในครั้งนี้อย่างน่าตราตรึงใจ
ในชั่วเสี้ยววินาที สายตาของหยางไค่และซู่เหยียนจับจ้องซึ่งกันและกัน
สายตาของหญิงสาวประกายด้วยความตะลึงและความประหลาดใจ แต่สายของชายหนุ่มมีเพียงความสังเวชใจและความเยือกเย็นที่เต็มไปด้วยเศร้าโศก
สายตาเช่นนี้ทำให้หัวใจของซู่เหยียนสั่นระรัว ไม่เคยมีใครใช้สายตาเช่นนี้จ้องมองนางมาก่อน ผู้อาวุโสจ้องมองนางด้วยสายตาที่ยกย่องและยอมรับ สหายจ้องมองนางด้วยความรักและเคารพ ศิษย์รุ่นหลังจ้องมองนางด้วยสายตาที่ชื่นชมและนับถือ และยังมีคนจำนวนมากที่จ้องมองนางด้วยสายตาที่อิจฉาริษยา
แต่สายตาที่สังเวชใจและความเยือกเย็นที่เต็มไปด้วยความเศร้าใจ มันเป็นครั้งแรกที่ซู่เหยียนได้พบเจอ
นางเป็นหญิงสาวอัจฉริยะที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง ไม่มีใครที่มีคุณสมบัติที่ควรคู่ในการจ้องมองนางเช่นนี้
เขากำลังสังเวชตัวนาง ?แล้วเขาเศร้าโศกทำไม ? ความรู้สึกที่ทรมาณนี้เสมือนเข็มที่แหลมคมกำลังแทงทะลุไปยังหัวใจที่ถูกผนึกไว้ด้วยความเยือกเย็น ทำให้จิตใจของนางเจ็บปวดจนมิอาจที่จะฝืนทนได้
ในเสี้ยววินาทีนี้ ราวกับว่านางสามารถสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกของเขา
แต่ว่า ..มันอบอุ่นยิ่งนัก !! ร่างกายของชายคนนี้ช่างอบอุ่น เติบโตจนกระทั่งตอนนี้ ซู่เหยียนไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกที่อบอุ่นเช่นนี้มาก่อน ราวกับว่าร่างกายของนางกำลังจะถูกหลอมละลาย ตัวของนางฝึกฝนวิชาปราณจิตเย็น ผนึกหัวใจและความรู้สึกทั้งหมดในโลกของนางด้วยความเยือกเย็น มีเพียงความเยือกเย็น ความหนาวเหน็บ ไม่มีสิ่งอื่นใดแม้แต่น้อย
ความเยือกเย็นและความอบอุ่นเป็นสิ่งที่ต่อต้านซึ่งกันและกัน ตนเองต้องต่อต้านความรู้สึกที่อบอุ่นในร่างกายของเขาถึงจะถูกต้อง แต่ทำไมตอนนี้ความรู้สึกจึงมีอิทธิพลในการควบคุมการกระทำของตนเอง ? เมื่อถูกเขาโอบกอดเช่นนี้ แม้ว่าสายน้ำในมหาสมุทรจะเหือดแห้ง ฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลาย ตนเองไม่ต้องการแม้แต่จะเคลื่อนไหวปลายนิ้วของตนเอง
ซู่เหยียนใช้มือทั้งสองกำเสื้อผ้าของหยางไค่ไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว
เวลาเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
หยางไค่ !! หู่เจี่ยวเอ่อตะโกนด้วยความตกตะลึง นางไม่รู้เลยว่าหยางไค่พุ่งออกไปในตอนไหน เมื่อสักครู่จิตวิญญานของหู่เจี่ยวเอ่อเสมือนถูกดึงดูดจากกระบวนท่าการโจมตีที่รุนแรงของซู่เหยียน นางตกอยู่ในความตื่นตะลึง เมื่อสามารถตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้น ด้านข้างของนางก็ไร้ซึ่งเงาร่างของหยางไค่เสียแล้ว
หู่เหม่ยเอ่อนำมือปิดปากของตนเองและกลืนเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความตกใจเข้าไป ดวงตาของนางสั่นระรัวอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองเห็นว่าบุคคลที่กำลังเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรเป็นคนที่นางไม่ต้องการให้เขาพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้กับมากที่สุด
รนหาที่ตาย !! หล่งจ้วนกล่าวสบทด้วยเสียงที่เยือกเย็น
เวลาต่อมา สัตว์อสูรที่ถูกผลึกน้ำแข็งหิมะผนึกเอาไว้พุ่งชนมายังด้านหลังของหยางไค่ แม้ว่าในขณะที่หยางไค่กระโดดโผบินหยางไค่ใช้พละกำลังและความสามารถอย่างถึงที่สุดเพื่อให้ร่างกายของตนเองพุ่งขึ้นสูงให้มากที่สุด เพื่อหลบหนีจากการโจมตีของสัตว์อสูร แต่ในตอนนี้การบ่มเพาะพลังของเขาค่อนข้างต่ำ เขาไม่สามารถที่จะลอยตัวโผบินนอกจากนั้นเขายังใช้พละกำลังของตนเองลดแรงโน้มถ่วงของซู่เหยียนที่พุ่งลงมาจากเบื้องบน ในชั่วพริบตาทำให้ร่างกายที่ใกล้ชิดอย่างแนบแน่นของทั้ง2ลอยค้างอยู่กลางอากาศ
ดังนั้นการเผชิญจากการโจมตีในครั้งนี้ ไร้ซึ่งหนทางที่จะหลบหนี
ในช่วงเวลาที่สัตว์อสูรและหยางไค่กำลังจะปะทะซึ่งกันและกัน หลังที่โค้งลงของเขาได้ยึดตรงขึ้นมา จากการหยิบยืมเวลาในเสี้ยววินาทีนี้ มันจะสามารถลดอาการบาดเจ็บที่ตนเองจะได้รับ
ปัง ..หยางไค่และซู่เหยียนถูกสัตว์อสูรพุ่งโจมตีจนลอยกระเด็นออกไปเกือบ 10 จ้าง และค่อยๆดิ่งลงไปที่พื้นดิน
ทั้งสองโอบกอดซึ่งกันและกันเสมือนลูกน้ำเต้าที่กลิ้งออกไปเป็นระยะทางกว่า 10 จ้างจนค่อยๆหยุดลงในที่สุด
ร่างกายของหยางไค่เต็มไปด้วยบาดแผลที่น่าอึดอัดใจอย่างเหลือทน ใบหน้าของเขาซีดขาวอย่างถึงที่สุดแต่ซู่เหยียนที่ถูกเขาปกป้องอยู่ภายใต้อ้อมอกกลับไม่ได้รับบาดแผลหรืออาการบาดเจ็บแม้แต่น้อยเพียงแค่ชุดกระโปรงสีขาวแปดเปื้อนจากดินทรายเท่านั้น และผมยาวสลวยที่ยุ่งเหยิงมากกว่าเดิมเท่านั้น
เลือดสีแดงกระอักออกมาจากปากของหยางไค่เรี่ยวแรงภายในร่างกายเกือบจะหมดลงทั้งหมด ศีรษะของเขาฟุบลงไปที่ทรวงของซู่เหยียนทันที
ดวงตาคู่งามของซู่เหยียนสั่นระรัวแม้ว่าจิตใจของนางจะเยือกเย็นเพียงใดแต่ในเวลาจิตใจของนางมิอาจที่จะนิ่งสงบได้เหมือนเคย นางค่อยๆยื่นมืออกไปและวางลงไปยังศีรษะของหยางไค่ ค่อยๆสัมผัสเสมือนการปลอบโยน นางอยู่ในท่าทางเช่นนั้นโดยไม่ไหวติงแม้แต่น้อย
เมื่อสักครู่ที่พวกเขาทั้งสองกลิ้งตลบไปที่พื้นดิน เป็นหยางไค่ที่ใช้ร่างกายของเขาปกป้องนางเอาไว้ แรงแห่งการพุ่งปะทะต่างถูกร่างกายของเขายั้บยั้งเอาไว้ ในขณะที่พวกเขาทั้งสองกลิ้งตลบลงไปที่พื้นดิน ร่างกายของซู่เหยียนไม่สัมผัสกับพื้นดินแม้เพียงน้อยนิด
ฉึกกก .สัตว์อสูรที่ถูกผนึกไถลลงไปที่พื้นด้วยสุ้มเสียงที่แสบแก้วหู ซึ่งทำให้พื้นดินนั้นเกิดเป็นหลุมลึกที่เป็นทางยาวปราณ 10 จ้าง หลังจากที่มันไถลออกไปกว่า 10 จ้างมันจึงหยุดนิ่งและจ้องเขม่งไปยังตำแหน่งของหยางไค่และซู่เหยียนที่อยู่ห่างจากมันไม่มาก
ราวกับว่าโลกมนุษย์และสวรรค์หยุดนิ่งอย่างกะทันหัน ฝูงชนทุกคนต่างหยุดลมหายใจของตนเอง พวกเขาล้วนจ้องมองไปยังหญิงสาวชายหุนุ่มที่โอบกอดกันอย่างแนบแน่นซึ่งพวกเขามั้งสองกำลังตกลงมาจากฟากฟ้าด้วยความรุนแรงถึงขีดสุด
หากเป็นเวลาโดยทั่วไป เรื่องเช่นนี้จะสร้างความโกรธเคืองให้แก่ผู้คนหมู่มาก
ไม่มีชายหนุ่มคนใดที่จะสามารถใกล้ชิดซู่เหยียนได้ถึงเพียงนี้ ร่างกายทุกส่วนของนางศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง
แต่ในขณะนี้ ไม่เพียงมีชายหนุ่มล้มทับร่างกายของนาง ชายหนุ่มคนนั้นยังวางศีรษะลงบนทรวงอกของนาง สูดดมกลิ่นกายที่หอมหวานของนาง สัมผัสเพลิดเพลินกับความอ่อนหวานของนาง
ไม่ว่าอย่างไร ไม่มีใครคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่สมควร
กับคนที่ตายไป จะสามารถโกรธเคืองเขาได้อย่างไร ?
กับคนที่ตายไปจะโกรธเคืองเขาไปทำไม เขาใช้ชีวิตของตนเองช่วยซู่เหยียนให้รอดพ้นจากความตาย มันเป็นสิ่งตอบแทนก่อนที่เขาจะตายจากไป
ทุกคนต่างรู้สึกว่า การพุ่งปะทะที่รุนแรงเช่นนี้ หยางไค่ต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย
มีเพียงเจี่ยหงเฉินที่ดวงตาแดงก่ำ เมื่อมองเห็นภาพเหตุการณ์นี้
ครั้งที่แล้วเขามองเห็นหยางไค่กุมมือที่ล้ำค่าของซู่เหยียน มันทำให้เขาอิจฉาริษยาเสมือนมีมากที่ล่องลอยอยู๋ในจิตใจของเขาทุกครั้งที่หวนคิดถึงราวกับว่ามีมีดที่แหลมคมกำลังแทงไปที่หัวใจของเขา แต่ครั้งนี้การกระทำของหยางไค่จะมากเกินไป เขากลับถึงเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าคนมากมาย เขาจะสามารถอดทนได้อย่างไรกัน ?
ความไม่พอใจและความเกลียดชังของเจี่ยหงเฉินผสานรวมเป็นหนึ่งและกำลังเดือดพล่านอย่างรุนแรง มันทำให้เขาเสียการควบคุมตนเองไปชั่วขณะ เขาจ้องมองหยางไค่อย่างไม่วางตาและปลดปล่อยรัศมีกลิ่นอายแห่งการฆ่าที่รุนแรงออกไปอย่างต่อเนื่อง
หยางไค่ที่ล้มตัวอยู่บนทรวงอกของซู่เหยียน ซึ่งอยู่ห่างจากเขาประมาณ 100 จ้างค่อยไยกศีรษะของเขาตนเองและจ้องมองเจี่ยหงเฉินด้วยสายตาที่เยือกเย็น
ร่างกายของเจี่ยหงเฉินสั่นสะท้านไปมาอย่างรุนแรง ในที่สุดเขาก็ตื่นตัวจากความเกลียดชังและความโกรธแค้นที่ควบคุมตนเอง เขาจ้องมองออกไปอีกครั้ง ซึ่งมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เสียดายและสำนึกผิด
หากว่าเมื่อสักครู่เป็นเขาที่ไม่ห่วงชีวิตของตนเองและช่วยเหลือซู่เหยียนออกมา หากเป็นเช่นนั้นคนที่ได้เพลิดเพลินกับสถานการณ์เช่นนี้ต้องเป็นเขาอย่างแน่นอนจากการบ่มเพาะพลังของตนเอง แม้ว่าจะถูกสัตว์อสูรพุ่งโจมตีเข้ามามันไม่ทำให้เขาตายแต่อาจได้รับอาการบาดเจ็บสาหันเท่านั้น
อาการบาดเจ็บสาหัสแลกเปลี่ยนกับการสัมผัสร่างกายของซู่เหยียน มันุคุ้มค่ายิ่งกว่าสิ่งใดเสียอีก
ทำไม ? ในเวลานั้นตนเองจึงไม่ตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้น ? ทำไมในเวลานั้นตนเองจึงจมอยู่กับเงาร่างของซู่เหยียนและมองข้ามอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับนางแล้วทำไมหยางไค่จึงไม่จมปลักกับเงาร่างของซู่เหยียน ?
โอกาสที่โชคดีเช่นนี้ แต่ตอนเองกลับพลาดมันไปอย่างน่าเสียดาย !
ลมพายุพัดโชยอย่างบ้าคลั่ง ท้องฟ้าพื้นดินเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือยกที่สะท้านจิตใจ
มันพัดโชยผมที่ยาวสลวยของซู่เหยียน พัดโชยเสื้อผ้าของหยางไค่ ก่อให้เกิดเสียงปะทะท่ามกลางลมพายุที่รุนแรง
ไม่มีใครกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า ฝูงชนทุกคนต่างยืนย่ำอยู่ที่เดิม
ดวงตาทั้งคู่ของซู่เหยียนจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่พลันเปลี่ยนอย่างโกลาหล เสียงกระซิบครวญเพลงดังออกมาจากปากของนาง เสียงเพลงนี้ผู้คนอื่นไม่ได้ยินมีเพียงหยางไค่เพียงคนเดียวที่ได้ยินมันเท่านั้น
เสียงเพลงก้องกังวาน ภายใต้ความเยือกเย็นมันแฝงไปด้วยความปรารถนาความโหยหา
ในขณะที่เสียงเพลงกำลังก้องกังวานในหูของหยางไค่ มือของนางสัมผัสศีรษะของหยางไค่ไปมาอย่างแผ่วเบา เสมือนมารดาของเด็กหนุ่มกำลังปลอบโยนให้เขาผล็อยหลับไปอย่างมีความสุข
อีกด้านหนึ่ง สัตว์อสูรที่มีร่างกายมหึมากำลังย่างกรายเข้ามาด้วยใบหน้าที่ดุร้าย เสมือนว่ามันต้องการจะบดขยี้ร่างกายของหยางไค่และซู่เหยียนให้แตกเป็นละเอียด
ฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นราวกับภาพวาดในบทกลอน มันบริสุทธ์งดงามและสง่างาม
เมื่อเพลงนี้ถูกร้องจนจบ การกระทำของซู่เหยียนหยุดนิ่งในทันที นางถอนหายใจออกมา ลมพายุที่หอมหวานพัดโชยผมสีดำของหยางไค่ นางกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา : เมื่อฟื้นฟูเสร็จสิ้น ก็ควรลุกขึ้น !!
เสียงเพลงนี้คือ ? หยางไค่ไม่ขยับเคลื่อนไหว แต่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนแอที่มิได้แสแสร้งขึ้นมา
ซู่เหยียนนิ่งไปเป็นเวลานานก่อนจะกล่าวตอบ : ข้าไม่ทราบ เสียงเพลงนี้อยู่ในความทรงจำของข้า
ไพเราะอย่างยิ่ง หยางไค่ค่อยๆยกศีรษะขึ้นมา มุมปากของเขาอาบไปด้วยเลือดสีแดงสด ใบหน้าของเขาซีดขาว ร่างกายสั่นสะท้าน เขาค่อยๆนั่งลงอย่างเชื่องช้า
ซู่เหยียนจ้องมองเขาอย่างเฉยชา เดิมทีดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกที่มากมายแต่มันกลับหายไปในเสี้ยววินาที เหลือเพียงความเยือกเย็นที่หนาวเหน็บไปถึงกระดูกภายใน
หยางไค่ถอนหายใจเบาๆ เขารู้ว่าศิษย์พี่ท่านนี้ได้บังคับจิตใจที่สั่นไหวเสมือนระลอกคลื่นให้นิ่งสงบเฉกเช่นสายน้ำที่หยุดนิ่ง
หยางไค่ยื่นมือออกไป เพื่อขอความช่วยเหลือจากนาง
ซู่เหยียนยื่นมือเล็กๆของนางออกไปและใช้เรี่ยวแรงดึงหยางไค่ให้ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ
ซู่เหยียนปัดผมที่ยุ่งเหยิงไปไว้ด้านหลังทั้งหมด ร่างกายของซู่เหยียนในเวลานี้เปื้อนไปด้วยเศษดินทราย ผมของนางยุ่งเหยิงอย่างมาก แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปคือกลิ่นอายที่เด็ดเดี่ยวอย่างแข็งแกร่งซึ่งมิอาจที่จะล่วงเกินนางได้อีกต่อไป
เป็นไปได้อย่างไร ? เสียงตะโกนด้วยความตื่นตะลึงดังขึ้นอีกครั้ง สายตาของพวกเขาจ้องมองหยางไค่ด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
ชายหนุ่มที่ต้องตายโดยไร้ข้อกังขา กลับลุกขึ้นยืนได้อย่างมั่นคง แม้ว่าดูเหมือนเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่มันไม่ส่งผลต่อชีวิตของเขาแม้แต่น้อย
ร่างกายของเขาถูกหลอมมาจากเหล็กกล้า ? เมื่อเผชิญหน้ากับการพุ่งโจมตีเช่นนี้ กลับยังไม่ตาย ?
ในส่วนของนิกายโลหิต หล่งจ้วนตื่นตะลึงจนตัวแข็งทื่อ
หู่เจี่ยวเอ่อและหู่เหม่ยเอ่อถอนหายใจออกมาอย่างรุนแรง ใบหน้าของหู่เหม่ยเอ่อเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความโล่งอก หางตาของนางมีรอยคราบของน้ำตา ก่อนจะกล่าวตะโกนด้วยน้ำเสียงทิ่มิอาจควบคุมได้ : ช่างโชคดี โชคดีเหลือเกิน
หลังจากที่กล่าวออกไป นางได้ปิดปากของนางอย่างกะทันหัน
หู่เจี่ยวเอ่อตกใจ นางยื่นมือสัมผัสไปยังหางตาของตนเอง มันมีร่องรอยของคราบน้ำตาที่ไหลผ่าน
เกิดอะไรขึ้น ? ในขณะที่หู่เจี่ยวเอ่อกำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าตอนนี้อาจจะได้กล่าวว่านางไม่ได้เกลียดชังหยางไค่ แต่เป็นเพราะความหวาดกลัวจากฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ที่เกือบทำให้จิตวิญญาณของนางหลุดลอยออกจากร่าง แต่หู่เจี่ยวเอ่อทราบดี จิตใจของฝูงชนส่วนใหญ่ไม่แตกต่างจากนางแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงไม่มีใครแยแสและสนใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวนาง
เพราะชายหนุ่มที่ตนเองไม่คุ้นเคยสามารถหลีกหนีจากความตายจึงทำให้นางปลาบปลื้มใจน้ำตาไหลรินออกมา
นอกจากนั้น ตนเองไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อเขาแม้ว่าไม่ได้เกลียดชังเขาแล้วก็ตาม
เมื่อมองไปยังน้องสาวของตนเอง หู่เจี่ยวเอ่อสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกโล่งอกจากความหวาดกลัวที่รุนแรง
แท้จริงแล้วมันเป็นเช่นนี้ !! ดวงตาของหู่เจี่ยวเอ่อประกายด้วยความเข้าใจ แต่มันยังมีเศษเสี้ยวแห่งความไม่เข้าใจ
ทางฝั่งของหอวายุพิรุณ ดวงตาของฟางจือชิกระพริบไปมาและกล่าวขึ้น : ศิษย์น้องตู่ เขายังไม่ตาย
ตู่ยี่ฉางดีใจจนใบหน้าเปล่งประกายนางทุบทรวงอกของนางไปมาและกล่าว : เมื่อสักครู่มันทำให้จิตใจของข้าสั่นไหวอย่างมาก หากเขาตายไปมันคงน่าเสียดาย
ทางฝั่งของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ดวงตาของเจี่ยหงเฉินเต็มไปด้วยความพ่ายแพ้ที่มืดมนไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น
จิตใจของเขาเจ็บปวดอย่างขมขื่นเพราะตนเองไม่คว้าโอกาสที่โชคดีนั้นไว้ และเขากำลังอิจฉาชิงชังหยางไค่จากความโชคดีที่เขาได้รับ เสมือนว่าเป็นแม่ทัพที่พ่ายแพ้สงครามที่ยิ่งใหญ่ มันสูญเสียความสามารถในการคิดไตร่ตรองจนหมดสิ้น !!!