ตอนที่ 141 โชคชะตาของหญิงสาวทั้ง 2
ตอนที่ 141 โชคชะตาของหญิงสาวทั้ง 2
หยางไค่เฝ้ารักษาดูแลความปลอดภัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้เป็นเวลา 3 วันเต็มๆหู่เจี่ยวเอ่อและหู่เหม่ยเอ่อจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง
ศิลาก้อนนั้นที่ติดแนบอยู่บนผนังถ้ำเปล่งประกายแสงสีทอง 2 จุด จากนั้นจึงลอยหายเข้าไปยังหน้าผากของพวกนางทั้ง 2 ในขณะเดียวกัน พลังลมปราณของพวกนางทั้ง 2 มีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ทันใดนั้นมันก่อเกิดเสียงคำรามที่ดังสั่น แผ่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ของถ้ำแห่งนี้อย่างรุนแรง
ใบหน้าของหยางไค่แสดงออกด้วยการกระทำที่สง่างาม เขาจ้องมองไปยังพวกนางทั้ง 2 ซึ่งพบเห็นแสงสว่างที่งดงามกำลังไหลเวียนครอบคลุมร่างกายของพวกนางทั้ง 2 พลังลมปราณภายในร่างกายของพวกเนาผสานรวมเป็นหนึ่ง มันไหลเวียนบนร่างกายของหู่เจี่ยวเอ่อก่อน จากนั้นจึงไหลเวียนไปยังร่างกายของหู่เหม่ยเอ่อ
หลังจากนั้น กลิ่นอายแห่งลมปราณที่เคลื่อนไหวของนางทั้ง 2 แปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นอายที่เหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน
พลังลมปราณที่กำลังเคลื่อนไหวค่อยๆสงบลงในที่สุด
2 พี่น้องต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกนางลืมตาพร้อมกันอย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตาของพวกนางยังเต็มไปด้วยความปลื้มปริ่มที่มิอานซ่อนเร้นได้
ยินดีกับแม่นางทั้งสองด้วย เสียงแห่งความยินดีของหยางไค่ดังขึ้น เขาเฝ้าอยู่ในถ้ำแห่งนี้เป็นเวลากว่าหลายวันเขาจึงเข้าใจบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้น พวกนางทั้ง 2 ไม่ทราบว่าเป็นเพราะโชคชะตาอันใด พวกนางจึงได้รับการสืบทอดจากมรดกฟ้าสวรรค์ในถ้ำแห่งนี้
แต่มรดกนี้ไม่ใช่ของมารปฐพี
จากการกล่าวของมารปฐพี การต่อสู้ในครั้งนั้น มียอดฝีมือจำนวนมากมายตายอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นมรดกในถ้ำสวรรค์แห่งมรดกฟ้าสวรรค์แห่งนี้จึงไม่มีเพียงเท่านี้ แต่เพราะหู่เจี่ยวเอ่อและหู่เหม่ยเอ่อพบเจอกับความโชคชะตาอันของพวกนางทั้ง 2 พวกนางจึงได้รับการสืบทอดมรดกแห่งฟ้าสวรรค์นี้ไป
เมื่อได้ยินเสียงที่แสดงความยินดีของหยางไค่ พวกนางทั้งสองรีบหันกลับไปและกล่าวพร้อมกัน : ขอบคุณ !!
หลังจากที่กล่าวจบ ทั้งสองจ้องมองซึ่งกันและกัน และหัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน
หยางไค่อึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะความงดงามของพวกนางทั้งสองแต่เป็นเพราะในตอนนี้หยางไค่แยกไม่อออกว่าใครเป็นหู่เหม่ยเอ่อหู่เจียวเอ่อ เสมือนว่าพวกเขากลายเป็นคนเดียวไม่มีข้อแตกต่างแม้แต่น้อย
ตอนนี้เจ้ารู้ไหมว่าข้าคือใคร ? หญิงงามที่อยู่ด้านซ้ายมือกล่าวถามหยางไค่ด้วยเสียงหัวเราะดวงตาของนางประกายด้วยความภาคภูมิใจและความเจ้าเล่ห์
แม่นางเจียวเอ่อ หยางไค่หัวเราะเสียงเบาๆ
หญิงงามกล่าวด้วยความไม่พอใจ : เจ้าเดามั่วใช่ไหม ?
แม่นางเหม่ยเอ่อไม่มีทางคำถามเช่นนี้กับข้า หยางไค่กล่าวอธิบาย
หู่เจี่ยวเอ่อเชิดหน้าใส่เขา : ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าค่อนข้างเข้าใจน้องเหม่ยเอ่อของข้า
หู่เหม่ยเอ่อที่อยู่ด้านข้างเมื่อได้ยินดังนี้หน้าของหน้าแดงก่ำในทันที นางแอบมองตาหยางไค่และพบว่าการแสดงของเขายังเหมือนเดิม นางจึงหันหน้ากลับไปเพื่อไม่ให้เผชิญกับความอึดอัด
ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องขอบคุณเจ้า หู่เจี่ยวเอ่อกล่าวด้วยรอยยิ้มที่อ่อนหวาน
ในขณะที่หยางไค่เฝ้าดูแลพวกนั้นทั้งสอง จิตวิญญานของพวกนั้นต่างเชื่อมไปยังความโชคดีที่พวกนางได้พบเจอ พวกไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านหากเวลานั้นหยางไค่คิดร้ายต่อพวกนางทั้ง 2 พวกนางทั้ง 2 คงไม่มีวันที่จะหนีรอดออกไปแล้ว
แต่ตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้ หยางไค่เฝ้าอยู่ตรงเข้าถ้ำโดยไม่ขยับเขยื้อน พวกนางสืบทอดมรดกฟ้าสวรรค์เป็นเวลา 3 วัน หยางไค่ก็ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลา 3 วันเช่นเดียวกัน
บางทีอาจเป็นเพราะเหตุผลจึงทำให้ความอคติของหู่เจี่ยวเอ่อที่มีต่อหยางไค่ลดน้อยลง สุ้มเสียงคำกล่าวของนางอ่อนโยนมากกว่าเดิมอย่างมาก
เจ้าเด็กคนหนึ่ง ก็ไม่ได้ชั่วร้าย หู่เจี่ยวเอ่อคิดอยู่ภายในใจ
ไม่เป็นไร พวกเราควรออกจากสถานที่แห่งนี้ หลายวันก่อนหยางไค่ต้องการที่จะออกจากสถานที่แห่งนี้ แต่ต้องล่าช้าจากพวกนางทั้งสอง ดังนั้นในเวลานี้หยางไค่จึงต้องการที่จะออกจากสถานที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด
อืม ทั้งสองพยักหน้า ก่อนจะเดินตามหยางไค่ออกไปจากถ้ำแห่งนี้
ระหว่างทางที่ออกไปเต็มไปด้วยบุพผาและต้นหญ้าที่แปลกประหลาด ดังนั้นพวกนางทั้งสองจึงเก็บเกี่ยวกับกลับไปด้วย
ในเมื่อหย่างไค่เคยกล่าวว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งทดแทนให้แก่พวกนาง หยางไค่จึงไม่เข้าไปยุ่งก้าวก่าย มีเพียงโสมปีศาจหยินหยางเพียงตัวก็พึงพอใจอย่างยิ่ง
หยางไค่กล่าวถามมารปฐพีอย่างละเอียดและทราบว่าสมบัติแห่งฟ้าดินชิ้นนี้มีประโยชน์ต่อตนเองอย่างมาก
มันเต็มไปด้วยพลังหยินหยางทั้ง 2 ชนิด สามารถหลอมละลายกลายเป็นโอสพวิเศษ
แต่ประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของมันคือสามารถเพิ่มก้าวหน้าในการบ่มเพาะพลังและฝึกฝนวิชายุทธุ์ของตนเอง แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องค้นหาหญิงสาวที่ฝึกฝนวิชายุทธุ์ที่เกี่ยวข้องที่มีคุณสมบัติของพลังหยิน และร่วมกันผสานรวมเป็นหนึ่งและ ใช้คุณประโยชน์ของโสมปีศาจหยินหยางไปพร้อมๆกัน
เมื่อจิตใจของหญิงสาวและจิตใจของตนเองผสานรวมเป็นหนึ่ง เมื่อทั้งสองต่างพึงพอใจซึ่งกันและกันโสมปีศาจหยินหยางจะหลอมละลายด้วยตัวของมันเองและแพร่กระจายพลังของมันไปยังร่างกายของตนเองและหญิงสาวผู้นั้น
เมื่อมีคุณสมบัติวิเศษของโสมปีศาจหยินหยาง เมื่อร่างกายและจิตใจของตนเองและหญิงสาวรวมเป็นหนึ่ง ฝึกฝนวิชายุทธุ์ด้วยกัน มันจะช่วยให้การบ่มเพาะพลังของทั้งสองก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว
เงื่อนไขของมันค่อนข้างหนักหนาสาหัส การค้นหาหญิงสาวที่มีคุณสมบัติเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยากลำบากยิ่งนัก
เพราะเหตุผลนี้ โสมปีศาจหยินหยางจึงเป็นสมบัติแห่งฟ้าดินที่อยู่ในขั้นลมปราณวิเศษ แต่สำหรับชายหญิงที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม มันเป็นสิ่งที่ควรคู่และล้ำค่าโดยมิอาจเปรียบเปรยได้
โสมปีศาจหยินหยางก่อกำเนิดในบริเวณที่วิเศษซึ่งมีพลังหยินหยางทั้ง 2 ชนิดเท่านั้น ดังนั้นตัวของโสมปีศาจหยินหยางจึงมีความใกล้ชิดกับพลังหยินและพลังหยาง ร่างกายของหยางไค่มีพลังลมปราณหยางที่แท้จริง ซึ่งเป็นคำตอบที่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าทำไมมันถึงนิ่งสงบในทรวงอกของหยางไค่
ระยะเวลากว่า 3 วัน หยางไค่ยังเคลื่อนส่งหยดน้ำพลังลมปราณหยางไปยังโสมปีศาจหยินหยาง เมื่อโสมปีศาจหยินหยางดูดซับหยดน้ำพลังลมปราณหยาง ทันใดนั้นใบหน้าของมันแสดงออกว่ากำลังซึมซับพลังของหยดน้ำพลังลมปราณหยาง เมื่อมันค้นพบเช่นนี้มันไม่ยอมหนีห่างจากหยางไค่แม้แต่น้อย
หลังจากที่รอได้สักครู่ หู่เจี่ยวเอ่อและหู่เหม่ยได้เก็บเกี่ยวบุพผาต้นหญ้าจนเสร็จสิ้น นางทั้ง 2 ไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาเก็บเกี่ยวกลับไปมีคุณสมบัติใดแฝงเอาไว้ แต่พวกนางทั้งสองยังแบ่งให้หยางไค่ครึ่งหนึ่ง
หยางไค่ปฏิเสธ : ข้าเอาสิ่งของของพวกเจ้าไป พวกเจ้าเอาสิ่งของของข้าไป พวกเราต่างไม่เสียงเปรียบซึ่งกันและกัน ไม่ต้องแบ่งให้ข้า
หู่เจี่ยวเอ่อจึงมองหยางไค่สักครู่ ก่อนจะเม้มปากและกล่าว : เจ้าเด็กบ้า อย่าเอามันมารวมกันสิ บุพผาและต้นหญ้าเหล่านี้ไม่ใช่ของเจ้า แต่เป็นการเก็บเกี่ยวจากพวกเราทั้งสองด้วยความยากลำบาก
หยางไค่หัวเราะไปมา : แม่นางทั้งสองกล่าวบอกสถานการณ์ภายในให้แก่เข้าดีกว่า
หยางไค่หยุดพำพักอยู่ในถ้ำแห่งนี้กว่า 10 วัน เขาไม่ทราบสถานการณ์ภายนอกว่าเป็นอย่างไร ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องทราบถึงสถานการณ์ที่อยู่ภายนอก
ไม่ต้องเรียกข้าว่าแม่นางอะไรทั้งสิ้น มันน่าขนลุกยิ่งนัก หู่เจี่ยวเอ่อขมวดคิ้วครุ่นคิดไปมา : เจ้าเรียกพวกเราทั้งสองว่าเจี่ยวเอ่อและเหม่ยเอ่อ หากเจ้าไม่สามารถฝืนกล่าวออกมาได้ งั้นเจ้าก็เรียกข้าว่าท่านพี่เจี่ยวเอ่อก็ได้
ข้ากล่าวเรียกชื่อของเจ้าดีกว่า หยางไค่พยักหน้า
กล่าวไปด้วยเดินไปด้วย หู่เจี่ยวเอ่อถลึงตาต่อหยางไค่
จากการเล่าสถานการณ์ภายนอกของพวกนางทั้งสอง หยางไค่จึงเข้าใจสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นภายนอกในระยะเวลาเกือบ 10 วันที่เขาอาศัยอยู่ในถ้ำ
แม้ว่าศิษย์สาวกของทั้ง 3 สำนักกว่าพันกว่าจะไปยังตำแหน่งที่แตกต่างกัน แต่จากระยะเวลาที่ไหลผ่านไป พวกเขาทุกคนต่างค่อยๆกับมารวมตัวกันในตำแหน่งจุดศูนย์กลางของถ้ำสวรรค์แห่งมรดกฟ้าสวรรค์แห่งนี้
มีคนจำนวนมากมายได้รับผลประโยชน์มากมาจากสถานที่แห่งนี้ แต่ก็คนตายไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน
10 วันที่ผ่านมา ศิษย์ทั้ง 3 สำนักรวมตัวเป็นกลุ่มอำนาจจำนวน 3 ฝ่าย ภายใต้การนำพาของผู้แข็งแกร่งของแต่ละสำนัก ซึ่งกำลังรุมล้อมสัตว์อสูรที่มีพลังที่แข็งแกร่งอยู่บริเวณใกล้ๆนี้
มีสัตว์อสูรทั้งหมด 9 ตัว สัตว์อสูรทุกตัวต่างมีพลังอยู่ขั้นที่ 6 แต่เพราะว่าพวกมันถูกปิดผนึกเป็นเวลานาน พวกมันเพิ่งตื่นขึ้น ดังนั้นสัตว์อสูรเหล่านี้จึงมีพลังความแข็งแกร่งที่ไม่สูงเหมือนเคย ศิษย์ทั้ง 3 สำนักสูญเสียเพียงเล็กน้อยก็สามารถฆ่ามันไปได้ พวกเขาจึงได้รับสมบัติวิเศษที่สัตว์อสูรเหล่านี้เฝ้าคุ้มครองเอาไว้
และหยางไค่ที่ได้รับโสมปีศาจหยินหยาง ซึ่งเป็นสมบัติวิเศษที่สัตว์อสูรตัวหนึ่งเฝ้าคุ้มครองเอาไว้ แต่เพราะมันมีจิตวิญญาณ เมื่อสัมผัสถึงอันตรายมันจึงหลบหนีออกมา พวกนางทั้งสองจึงวิ่งไล่ตามมายังสถานที่แห่งนี้ ได้พบเจอกับหยางไค่ และได้รับความโชคดีจากโชคชะตาของตนเองอีกด้วย
ก่อนที่พวกเราจะออกมา สัตว์อสูรถูกฆ่าตายไป 8 ตัว เหลือเพียงสัตว์อสูรอีก 1 ตัวที่อยู่ในจุดศูนย์กลางของพวกมัน สัตว์อสูรตัวนั้นมีพลังที่แข็งแกร่ง น่าจะอยู่ในระดับที่ 6 ขั้นสูงสุด
หู่เหม่ยเอ่อพยักหน้าอย่างรุนแรง : ใช่ใช่ใช่ เจ้าไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นแย่งชิงสมบัติวิเศษอย่างรุนแรงถึงขั้นไหน
คำกล่าวของพวกนางทั้งสองค่อนข้างคล้องจองกัน อีกคนกล่าว 1 คำ อีกคนกล่าวอีก 1 คำ กลายเป็นคำพูดที่งดงามไร้ซึ่งตำหนิ เสมือนว่ามีเพียง 1 คนที่กำลังกล่าวพูด
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาทั้ง 3 ได้ออกจากถ้ำแห่งนี้
ในขณะที่เพิ่งออกมาจากถ้ำ จากมีเสียงที่เกรี้ยวโกรธคำรามมาจากระยะไกล มันเป็นเสียงคำรามของสัตว์อสูร เสียงคำรามของมันเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมร่าวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับการต่อสู้สะเทือนปฐพีโหดเหี้ยมและรุนแรงอย่างสุดขีด
การแสดงของพวกเขาทั้ง 3 เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
หู่เจี่ยวเอ่อกล่าว : กลุ่มคนที่อยู่ทางทิศทางนั้นค่อนข้างกล้าหาญ พวกเขากล้าที่จะทำให้มันเกรี้ยวโกรธ ?
จากการเล่าละเอียดของพวกนางทั้ง 2 สัตว์อสูรที่เหลือ 1 ตัวเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในระดับ 6 ขั้นสูงสุด มันจึงมีพลังกำลังที่เทียบเท่ากับเขตแดนเทพสวรรค์ขั้นสูงสุด แม้ว่ามันจะถูกปิดผนึกเป็นเวลาหลายปี และกำลังอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ แต่มันไม่ใช่สัตว์อสูรที่ศิษย์ทั้ง 3 สำนักจะสามาถต้านทางพลังความแข็งแกร่งของมันได้
ในขณะที่ศิษย์ทั้ง 3 สำนักฆ่าสัตว์อสูรทั้ง 8 ตัว พวกเขาสูญเสียอย่างหนักหนาสาหัส หากเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรตัวนี้จริง คงไม่มีใครสามารถปราบปรามมันได้ พวกเขาจะถูกฆ่าตายทั้งหมด !!
ไปกันเถอะ !! ดวงตาของหยางไค่ประกายไปมา ก่อนจะวิ่งนำหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว
หู่เจี่ยวเอ่อและหู่เหม่ยเอ่อต่างเปิดใช้งานท่าร่างขอพวกนางและติดตามหยางไค่ออกไปโดยไม่ลังเล
หลังจากนั้นไม่นาน พวกนางทั้ง 2 และหยางไค่กำลังวิ่งอยู่ในระดับเดียวกัน
หยางไค่หันหน้ามองพวกนางทั้ง 2 และเกิดความสงสัยขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะเขาพบว่าการวิ่งและการสูดลมหายใจของพวกนางพร้อมเพรียงกันอย่างสม่ำเสมอ แต่จากฝีเท้าของพวกนางมิได้ซ่อนเร้นพลังวิเศษแต่อย่างใด แต่หู่เจี่ยวเอ่อที่มีพลังความแข็งแกร่งที่น้อบที่สุดแต่สามารถวิ่งออกไปด้วยความเร็วที่เทียบเท่ากับพี่สาวของนาง เขาไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย
ความโชคดีของโชคชะตาที่พวกเขาได้รับในถ้ำคือสิ่งใด ? มันช่างน่าอัศจรรย์
หยางไค่จ้องมองเป็นเวลานาน ใบหน้าของหญิงงามที่อยู่ด้านซ้ายมือแดงก่ำขึ้นมา : เจ้าจ้องมองเข้าตลอดเวลาทำไม ?
เอ่อ ..เจ้าคือเจี่ยวเอ่อหรือเหม่ยเอ่อ ? หยางไค่ไม่สามารถแยกแยะพวกนางทั้งสองได้อีกต่อไป
หญิงงามยิ้มด้วยความสนุกและกล่าวตอบด้วยเสียงที่อ่อนหวาน : ข้าคือเหม่ยเอ่อ
หญิงงามอีกคนรีบกล่าวตอบ : ข้าคือเหม่ยเอ่อ ท่านพี่ท่านอย่ากล่าวเช่นนั้นซิ !!
เจ้าเรียกข้าว่าพี่ได้อย่างไร ? เจ้านะซิเป็นท่านพี่ !! หญิงงามที่อยู่ขวามือรีบกล่าวท้วงในทันที
หยุดได้แล้ว ข้าแยกแยะพวกเจ้าไม่ได้จริงๆ
ท่านพี่ ท่านพี่อย่าสร้างความสับสนให้แก่หยางไค่สิ
หยางไค่รู้สึกมืนศีรษะ ก่อนจะกรอกดวงตาไปมาด้วยความสับสน
พวกนางทั้งสองหัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน เสียงหัวเราะของพวกนางทำให้หยางไค่ทราบว่ากำลังถูกพวกนางทั้ง 2 หยอกล้อ เขารู้สึกโกรธอย่างมาก แต่ทำได้เพียงอัดอั้นอยู่ภายในใจ
ล้อเล่น เจ้าคงไม่โกรธน่ะ ? และไม่รู้ว่าเป็นหู่เจี่ยวเอ่อและหู่เหม่ยเอ่อที่กล่าวถาม
คงไม่ หยางไค่ส่ายหัวไปมา
แล้วทำไมสีหน้าของเจ้าจึงแสดงออกเช่นนี้ ? ยิ้มหน่อยสิ
หยางไค่กระแอ่มเสียงดัง สีหน้าเยือกเย็น และไม่สนใจพวกนางอีกต่อไป
พวกเขาวิ่งเป็นระยะทางกว่า 10 ลี้ จึงมาถึงบริเวณตำแหน่งที่สัตว์อสูรคำรามด้วยความโกรธ พวกเขาจ้องมองออกไป ไม่เพียงหยางไค่ที่อึ้งกับสิ่งที่พบเห็น แม้แต่หู่เจี่ยวเอ่อและหู่เหม่ยเอ่อยังอึ้งจนตัวแข็งเช่นเดียวกัน
ด้านหน้าที่ไม่ไกลมา มีสัตว์อสูรที่มีร่างกายคล้ายเตาขนาดมหึมา
มันมีความสูงประมาณ 10 จ้าง กว้างและยาวประมาณ 30 จ้าง ร่างกายของมันเคลื่อนไหวเสมือนขุนเขา กำลังเหยียบยำอยู่บนพื้นดินด้วยพลังกำลังของมันทั้งหมด ทุกย่างก้าวของมัน ทำให้พื้นดินกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่
ด้านหลังของมันมีเกราะกระดองที่หนาและแข็งแกร่ง อักขระที่อยู่บนเกราะกระดองของมันบ่งบอกถึงการผันผวนของเวลา ด้านหลังของมันยังมีหางยาวที่เสมือนอุกกาบาตที่ขรุขระไปมา
ความว่องไวของมันไม่เร็วมาก แต่ทุกย่างก้าวของมันกินระยะทางกว่า 10 จ้าง ร่างกายที่เสมือนหุบเขาน้อยๆกำลังพุ่งชนทุกสิ่งที่อย่างที่ขว้างหน้า หางที่ยาวของมันกวัดแกว่งไปมา เต็มไปด้วยพละกำลังอันมากมายมหาศาล เต็มไปด้วยความความโหดเหี้ยมและความบ้าคลั่งที่รุนแรง
เสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธดังมาจากปากของมันอย่างต่อเนื่อง ในกลางเวหา กลุ่มคนกว่า 100 คนกำลังรุมล้อมมันและเริ่มโจมตีมันออกไป แต่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งการก้าวเดินของมันได้ มันนำพามาซึ่งกลิ่นอายที่หนักหน่วงถึงขีดสุด การโจมตีทุกครั้งทำให้มันคำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธซึ่งเสียงของมันทำให้จิตใจของผู้ที่โจมตีมันตกอยู่ในความเยือกเย็นและหวาดกลัวในทันที !!!