ตอนที่ 134 ไล่ล่า
ตอนที่ 134 ไล่ล่า
จ่อวอัน แล้วเจ้าล่ะ เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป เจ้าจะไปกับข้าหรือพวกศิษย์พี่หล่างฉู่วเต่ ? ก่อนที่ตู่ยี่ฉางกำลังจะเดินจากไป นางไม่ลืมที่จะถามจ่อวอันอีกครั้ง เพราะบริเวณแห่งนี้ไร้ซึ่งศิษย์สาวกแห่งนิกายโลหิต มันอาจทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีที่พักพิง และอยู๋ตัวคนเดียวอย่างว้าเหว่
จ่อวอันกล่าวด้วยเสียงที่อึมครึม : ข้าจะไปกับเจ้า
แม้ว่าทางฝ่ายหอวายุพิรุณจะไม่ใช่คนดีทั้งหมด แต่หลายวันที่อยู่ด้วยกันและใกล้ชิดกัน จ่อวอันทราบดีว่าตู่ยี่ฉางเป็นหญิงสาวจิตใจดีและอ่อนโยน หากจะต้องติดตามหล่างฉู่วเต่ ติดตามตู่ยี่ฉางดีกว่าอย่างมาก
อย่างน้อยที่สุด ตู่ยี่ฉางคงไม่คิดร้ายกับเขาอย่างแน่นอน
ตู่ยี่ฉางพยักหน้า และเดินไปยังกลุ่มคนของหอวายุพิรุณพร้อมๆกัน
หล่างฉู่วเต่กล่าว พวกเราเดินไปยังกลุ่มคนแห่งหอประยุทธุ์หลิงเซี่ยวกันเถอะ
หยางไค่ไม่กล่าวตอบ ดวงตาของกวาดมองไปยังร่างกายของกลุ่มคนแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว หลังจากนั้นเขาจึงกล่าวตอบ : เจ้าไปเถอะ ข้าไม่ไป เขามองไม่เห็นเงาร่างของซู่มู่ มองไม่เห็นซู่เหยียน และยังมองไม่เห็นเซี่ยหนิงฉาง กลุ่มคนเหล่านี้ล้วนเป็นกลุ่มคนของเจี่ยหงเฉิน หากเขาเข้าไปเขาต้องถูกรังแกข่มเหงอย่างแน่นอน
ศิษย์น้อง เจ้าต้องอดทนต่อความแค้นความเกลียดชัง สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยภัยอันตราย เจ้าเพียงคนเดียวไม่สามารถที่จะเผชิญหน้ากับมันได้ หล่างฉู่วเต่รู้ถึงความกังวลของหยางไค่ นางจึงกล่าวปลอบโยนหยางไค่อย่างรวดเร็ว
หยางไค่ส่ายหัวไปมา และยังคงยืนกรานอย่างเด็ดขาด
ทางด้านกลุ่มคนแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว การกลับมาของหน่ายหย่งทำให้ศิษย์จำนวนมากแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวดีใจและหัวเราะออกมาอย่างเสียงดัง มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าพวกเขาเป็นคนสนิทที่คุ้นเคย หลังจากนั้น หน่ายหย่งมาถึงด้านหน้าของเจี่ยหงเฉิน และกล่าวด้วยเสียงต่ำ ในขณะที่กล่าวเขาไดหันหน้ามองมาที่หยางไค่และหล่างฉู่วเต่ ใบหน้าแสดงออกด้วยความเกลียดแค้น
จากระยะทางประมาณ 20 จ้าง เจี่ยหงเฉินจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่รังเกียจและเกลียดชัง
อีกด้านหนึ่ง ฟางจือชิที่ไม่ทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาได้กล่าวออกมาอีกครั้ง : เจี่ยหงเฉิน ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการที่จะต่อสู้กับข้า พวกเราร่วมมือกันฆ่าสัตว์อสูรกันก่อน ส่วนสมบัติวิเศษที่สัตว์อสูรเฝ้าปกป้อง ถึงตอนนั้นเราค่อยแบ่งอย่างเท่าเทียมกันดีกว่า
เจี่ยหงเฉินหันหน้ามองฟางจือชิ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม : เรื่องนี้เราจะเจรจากันในภายหลัง ตอนนี้ข้าต้องจัดการเรื่องภายในของข้าก่อน
ทันทีที่กล่าวจบ เขาจ้องมองหล่างฉู่วเต่และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน : ศิษย์น้องหล่าง ระหว่างทางต้องลำบากเจ้า ในเมื่อเจ้าเจอพวกเรา เดินเข้ามาสิ พวกเราทุกคนต่างรวมตัวอยู่ที่นี้ ไม่ต้องกังวล มันปลอดภัยสำหรับเจ้า
หล่างฉู่วเต่พยักหน้าเบา จากนั้นจึงดึงเสื้อของหยางไค่ แต่หยางไค่ยังคงยืนนิ่ง
เจี่ยหงฉินยิ้มเบาๆ และกล่าวดวยน้ำเสียงที่สง่า : ศิษย์น้องหากเจ้าต้องการเข้าร่วมกับพวกเรา เข้ามาได้ เพราะอย่างไร พวกเราก็เป็นศิษย์ในสำนักเดียวกัน !! ในสถานที่เช่นนี้เต็มไปด้วยภัยอันตรายที่มากมาย พลังความแข็งแกร่งของเจ้าอยู่ในระดับต่ำ ข้าที่เป็นศิษย์พี่ต้องปกป้องเจ้าถึงจะถูกต้อง !!
หน่ายหยงกล่าวด้วยความเคืองโกรธ : ศิษย์พี่เจี่ย คนเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นศิษย์น้องของท่าน ท่านลืมเรื่องที่เขาก่อเอาไว้เมื่อครั้งที่แล้วหรือยังไง ? เขาไมให้ความเคารพแก่ท่าน ท่านจะดูแลปกป้องเขาทำไม ?
ใบหน้าของเจี่ยหงเฉินแปรเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็น เขาจะลืมเรื่องนั้นได้อย่างไร ? ตอนนั้นต่อหน้าศิษย์แห่งวินัยศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากมาย มือที่ล้ำค่าของซู่เหยียนถูกหยางไค่กุมเอาไว้ เมื่อหวนคิดถึงภาพเหตุการณ์นั้น จิตใจของเจี่ยหงเฉินเสมือนโดนมีดเฉือนจนเต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะ
เจี่ยหงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยังคงรักษารอยยิ้มที่อยู่บนหน้าเอาไว้ แต่ว่ารอยยิ้มที่แสดงออกมาเป็นรอยยิ้มที่ฝืนกลั้น การกระทำและคำพูดยังแสแสร้งออกมา : แล้วอย่างไงล่ะ ศิษย์น้องอายุยังน้อยและไร้เดียงสา ข้าในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ต้องดูแลปกป้องศิษย์น้อง !! หรือว่าจะไม่เคยทำผิดหรือล่วงเกินใคร ?
ในระหว่างที่กล่าว ใบหน้าของเจี่ยหงเฉินสั่นระรัว และยังจ้องมองหยางไค่ด้วยแววตาที่เยือกเย็น
แต่คำกล่าวนี้ทำให้ศิษย์จำนวนไม่น้อยแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวปลาบปลื้มใจและตื้นตันใจ
ในเวลานี้เจี่ยหงเฉินกำลังสร้างความอับอายและความอัปยศให้แก่หยางไค แต่กลับยกตัวเองให้เป็นคนที่มีศีลธรรม ใจกว้างและสง่างามที่สุด
หยางไค่ ยังไม่วิ่งมาคุกเข่าคำนับให้แก่ศิษย์พี่เจี่ย !! เสียงตะโกนด้วยความเคืองโกรธดังมาจากกลุ่มคนของพวกเขา
หยางไค่ ศิษย์พี่เจี่ยไม่คิดแค้นต่อเจ้า แต่มันไม่ได้หมายความว่าศิษย์พี่จะให้อภัยแก่เจ้า ในวันนี้หากเจ้าไม่ขอโทษศิษย์พี่ เจ้าจะเป็นศัตรูกับศิษย์พี่และคนอื่นๆ !! และข้าจะไม่นับเจ้าเป็นศิษย์น้องของข้าอีกต่อไป !!
ใช่ ศิษย์น้องช่างไร้ยางอายสิ้นดี ความสามารถอยู่ในระดับต่ำ แต่กลับทำหยิ่งยะโสที่ต้องการครอบครองหญิงสาวสูงศักดิ์ ไม่เจียมตัว และยังไม่ส่องกระจกดูสภาพของตนเอง ว่าตนเองมีลักษณะที่น่ารังเกียจเช่นใด ไม่เพียงแต่ศิษย์สากชายที่กล่าวด่า มีแต่ศิษย์สาวกที่เป็นหญิงยังกล่าวตะโกนด่าหยางไค่
หยางไค่แสดงออกอย่างเรียบเฉย เสมือนว่าคำกล่าวด่าเหล่านี้เป็นเพียงสายลมที่โชยผ่านไป
หล่างฉู่วเต่ดึงหยางไค่อีกครั้งและกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา : ศิษย์น้อง อย่าดื้อดึงอีกตอไป เจ้าเป็นบุรุษหนุ่ม สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนควรหรือไม่ควร เพียงแค่เจ้าโยนศักดิ์ศรีของเจ้าออกไป แล้วกล่าวขอโทษเท่านั้น มันไม่ยากลำบากเลยสักนิด
หยางไค่หันหน้า จ้องมองหล่าวฉู่วเต่ด้วยแววตาที่เย็นชา
แววตาที่เย็นชาทำให้จิตใจของหล่างฉู่วเต่ชะงัก นางได้กล่าวด้วยความสงสัย : เป็นอะไร ?
อย่าบอกข้า ว่าเจ้าไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของเจี่ยหงเฉิน และอย่าบอกข้า ว่าเจ้าไม่รู้ว่าข้าจะต้องพบเจอกับสิ่งใดและได้รับการปรณิบัติเช่นไรเมื่อข้าไปกับเจ้า ? หยางไค่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นจับใจ
หล่างฉู่วเต่กล่าวด้วยความหงุดหงิดใจ : เรื่องของพวกเจ้า ข้าจะรู้ได้อย่างไร ?
ข้าและเจ้าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องซึ่งกันและกัน หลายวันที่ผ่านมาต่างผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน แต่ระหว่างเราทั้งสองไม่มีมิตรภาพที่สนิทสนมด้วยกัน การที่เจ้าทิ้งข้าไว้ที่นี้ เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิด เจ้าไปเพียงผู้เดียว เรื่องของข้าไม่ต้องให้เจ้าเข้ามาก้าวก่าย
คำพูดเหล่านี้กล่าวได้ตรงประเด็นกับความคิดของหล่างฉู่วเต่ การแสดงออกของนางจึงไม่เป็นอิสระและยังกล่าวด้วยความโกรธ : เจ้าคนนี้ทำไมเจ้าถึงไม่รู้ว่าสิ่งไหนดีต่อตัวเจ้าเอง ?
หล่างฉู่วเต่กระทืบเท้าไม่สนใจหยางไค่อีก นางเดินเข้าไปหาเจี่ยหงเฉิน แต่ก้าวเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าว นางก็ได้หยุดชะงักลง หันหน้ากลับมาและกล่าว : ข้าไม่ได้ติดค้างเจ้า เจ้าไม่ต้องกล่าวคำที่สูงศักดิ์เช่นนั้น !!
หลังจากที่กล่าวจบ นางได้เดินไปอย่างไม่หยุด
ศิษย์สาวกของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ได้กล่าวตำหนิ สบทด่าหยางไค่โดยไม่หยุดหย่อน เจี่ยหงเฉินแสะยิ้มที่มุมปากอย่างเยือกเย็น เขากำลังเพลิดเพลินกับฉางของหยางไค่ที่ถูกข่มขู่และกล่าวตำหนิจากกลุ่มคนของเขา ในขณะที่เขาแสะยิ้มเขายังจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่ภูมิใจ และยังแสดงออกด้วยความเยอะหยิ่งอย่างโอหัง
จากฉากเหตุการณ์เช่น ไม่ว่าหยางไค่จะตัดสินใจอย่างไร ล้วนไม่พึงพอใจสำหรับเจี่ยหงเฉินอย่างแน่นอน
ต้องการที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มคนของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวเพื่อความปลอดภัยของตนเอง ? ได้ !! ค่อยๆเดิน คุกเข่าคำนับและขอโทษ !!
หากไม่เต็มใจที่เช่นนี้ ? ก็ได้ !! แต่เจ้าเดินทางไปยังถ้ำสวรรค์นี้ด้วยตัวคนเดียว ฝ่าภัยอันตรายด้วยตนเอง !! ดูซิว่าเจ้าจะสามารถรักษาชีวิตได้กี่วัน !!
เจี่ยหงเฉินกำลังรอการตัดสินใจของหยางไค่ด้วยความหวัง
หลังจากนั้น เสียงที่เยือกเย็นของหยางไค่ดังขึ้น : มวลมังกรและหงส์หยกที่โปรยบินอย่างสง่าและสูงส่ง !! หยางไค่มิกล้าที่จะเข้าร่วม !!
หล่างฉู่วเต่ที่กำลังเดินไปหาเจี่ยหงเฉินเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ นางหยุดชะงักฝีเท้าของตนเอง นางรู้สึกว่าคำกล่าวของหยางไค่กำลังกล่าวทิ่มแทงตนเอง ดังนั้นจึงทำให้ทรวงอกของหล่างฉู่วเต่กระชับขึ้นลงด้วยความอัปยศและความลำบากใจ
ทันใดนั้น จิตใจของหล่างฉู่วเต่รู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก !! ตัวเองจะเป็นหงส์ที่คู่ควรกับมังกรได้อย่างไร ? ในสถานที่อันตราย เป็นธรรมดาที่ต้องติดตามผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจึงจะปลอดภัย หรือว่าต้องติดตามศิษย์น้องคนหนึ่งที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 7 ? ตัวหยางไค่เองไม่คิดที่จะพัฒนาตนเองยังจะโทษผู้อื่น หากมีความสามารถก็แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาและยกระดับความสามารถของตนเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แล้วจะมีกลุ่มคนอื่นๆรายล้อมและเคียงข้างเจ้าเอง เมื่อถึงตอนนั้นแม้ว่าตนเองจะเป็นศิษย์พี่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเข้าร่วมกับหยางไค่อย่างแน่นอน
ข้าได้เกลี้ยกล่อมเจ้าไปแล้ว ข้าไม่ต้องการที่จะทิ้งเจ้าโดยไม่สนใจ แต่เป็นการตัดสินใจและเลือกทางเดินของเจ้าเอง แล้วเจ้าจะโทษข้าได้อย่างไร ? จิตใจของหล่างฉู่วก่อเกิดความรู้สึกที่ไม่เป็นธรรมอย่างต่อเนื่อง
ในผืนป่าที่มืดมิด เงาของหยางไค่ค่อยๆมลายหายไปกับความมืด
แต่คำกล่าวเมื่อสักครู่เสมือนน้ำเย็นที่สาดไปยังทุกคน หน่ายหย่างกล่าวด้วยความรู้สึกโกรธเคือง : หยางไค่เจ้ากล้าที่จะเสียมารยาทและโอหังเช่นนี้ ในขณะที่ศิษย์พี่กล่าวสั่งสอนยังกล้าที่จะเดินหนี ? หยุดอยู่ตรงนั้นเดี่ยวนี้ !!
ในขณะที่กล่าวหน่ายหย่งได้วิ่งไปข้างหน้าและพุ่งหมัดโจมตีไปยังหยางไค่ที่เดินจากไป
ป๊าป ท่ามกลางความมือประกายด้วยเปลวเพลิง ใบหน้าที่เคร่งขรึมหายไปในทันที
น้ำเสียงที่เยือกเย็นของหยางไค่ดังขึ้น : เจี่ยหงเฉิน เจ้าทำสิ่งใดไว้ ตัวเจ้าเองรับรู้อย่างชัดเจนที่สุด ไม่ช้าหรือเร็วข้าจะทวงคืนความแค้นในวันนั้นจากเจ้าอย่างแน่นอน !!
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ใบหน้าของเจี่ยหงเฉินชะงักลงในทันที
เขาทราบดีว่าหยางไค่กำลังกล่าวถึงสิ่งใด มันคือเรื่องที่เขาให้คนส่งสารลับให้แก่หลงฮุย ครั้งนั้นเจี่ยหงเฉินคิดว่าหล่งฮุยต้องกำจัดหยางไค่ได้อย่างแน่นอน แต่ไม่คิดว่าหลุงฮุยจะทำงานพลาดเช่นนี้
หลายวันก่อนที่หยางไค่กลับมาถึงหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว เจี่ยหงเฉินรู้สึกไม่สบายใจหลายวัน เขาไม่กลัวหยางไค่ แต่หวาดกลัวเม้งวู่หยา เพราะตอนนั้นพวกเขาทั้ง 3 กลับมาจากหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยพร้อมกัน
แต่เพราะเม้งวู่หยาไม่ได้มาหาเขา เพราะเจี่ยหงเฉินคิดว่าตนเองทำงานอย่างรอบคอบ คงไม่สามารถสาวมาถึงตัวเขาได้
หลังจากวันนี้ที่ได้ยินคำกล่าวของหยางไค่ เขาก็เพิ่งรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดถูกเปิดโปงแล้ว
ฆ่ามัน !! เจี่ยหงเฉินรีบกล่าวออกคำสั่งให้แก่หน่ายหย่งด้วยแววตาที่โกรธแค้น
หน่ายหย่งดีใจที่ได้รับโอกาสจากหยางไค่ เมื่อสักครู่ที่เขากำลังจะแอบดูหล่างฉูวเต่และตู่ยี่ฉางอาบน้ำถูกเปิดโปง ทำให้เขาโกรธแค้นหยางไค่จนเข้ากระดูกดำ ในตอนนี้มีการปกป้องจากเจี่ยหงเฉิน เขาจึงกล่าวตะโกนด้วยความโกรธ : แย่แล้วแย่แล้ว !! หยางไค่เจ้ากล้ากล่าวคำพูดเช่นนี้กับศิษย์เจี่ย ดูซิว่าข้าจะสั่งสอนเจ้าอย่างไร !!
ในขณะเดียวกันยังได้กล่าวตะโกนกระตุ้นศิษย์คนอื่นๆ : ศิษย์น้อ้งศิษย์พี่คนไหนที่ต้องการไปกับข้าเพื่อสะสางความแค้นนี้ให้แก่ศิษยพี่เฉินของเรา !!
เงาร่างของศิษย์หลายคนได้วิ่งไปหาหน่ายหยง
หล่างฉู่วเต่ยื่นมืออกไป ต้องการจะกล่าวสิ่งใดออกไป แต่นางกลับกลืนคำพูดเหล่านั้นเข้าลำคอ และจ้องมองศิษย์หลายๆคนที่ไล่ตามหยางไค่เข้าไปในป่า
แต่ตู่ยี่ฉางที่อยู่ในฝั่งของหอวายุพิรุณกำลังหมุนตัวเพื่อจะไปช่วยหยางไค่ แต่กลับถูกฟางจือชิรั้งตัวเองไว้
ศิษย์พี่ฟาง หลายวันก่อนเขาช่วยชีวิตข้า !! ตู่ยี่ฉางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน
เรื่องภายในของผู้อื่น ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้าไปก้าวก่าย !!
แต่ว่า
ฟางจือชิจ้องมองนางด้วยสายตาที่เย็นเฉียบ และกล่าวออกคำสั่งต่อศิษย์น้องหญิงอีกสอคนที่อยู่ข้างกาย : จับตาดูนางไว้ อย่าให้นางออกไป
ขอรับ !! ศิษย์น้องหญิงทั้ง 2 รั้งแขนของตู่ยี่ฉางเอาไว้อย่างแน่นหนา
ฟางจือขิจ้องมองไปยังบริเวณที่หยางไค่หายตัวไป และจ้องมองไปยังเจี่ยหงเฉินและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา : อยู่ในสถานที่เช่นนั้นยังทะเลาะซึ่งกันและกัน สำนักหลิงเซี่ยวก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่เช่นคำร่ำลือ
ตู่ยี่ฉางต่อต้านถึงขีดสุด แต่ไม่สามรถหหลุดพ้นจากเงื้อมมือของศิษย์พี่หญิงทั้ง 2 จ่อวอันไม่สบายใจเช่นเดียวกันเขาจึงกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา : ไม่ต้องเป็นห่วง แม้ว่าเขาจะอยู่ในเขตแดนลมปรารแรกเริ่มขั้นที่ 7 แต่หลายวันที่ผ่านมาเขาให้ความรู้สึกที่เป็นอันตรายต่อข้าเสมอมา ไม่แน่ว่าคนที่พ่ายแพ้อาจจะไม่ใช่เขา !!
เจ้าแน่ใจ ? ตู่ยี่ฉางไม่ต่อต้านอีกต่อไป และกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
ข้าไม่รู้ แต่ข้าสัมผัสได้ จ่อวอันกล่าวตอบอย่างเรียบเฉย เพราะเขารู้สึกเช่นนี้มาตลอด หลายวันที่ผ่านมาเขาจึงไม่กล้าที่จะล่วงเกินหยางไค่
ภายในป่า หยางไค่วิ่งออกไป ด้านหลังมีเงาของกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่ไล่ติดตาม เสมือนกำลังล่าเหยื่อของตนเอง เสียงของหน่ายหย่งดังขึ้นมา : หยางไค่ ข้าจะเห็นแก่การเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน จะยอมแพ้ซะโดยดี แล้วข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมาณ แต่ข้าจะสั่งสอนเจ้าเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
น้ำใจ ? หยางไค่หัวเราะอย่างเยือกเย็น : ข้าไม่ต้องการน้ำใจจากเจ้าเพราะข้าไร้ซึ่งมิตรภาพที่ดีต่อเจ้า !!
ดีดีดี !! คำกล่าวนี้จะเป็นคนกล่าวเอง ใบหน้าของหน่ายหย่งแสดงออกด้วยความเกรี้ยวกราด และกล่าวตะโกนด้วยเสียงที่ดังสนั่น : ศิษย์ทุกคน หลายวันก่อน เจ้าเด็กคนนี้ได้รับเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ในขั้นปฐพี จับมันให้ได้และกล่าวถามวิธีการฝึกฝนวิชายุทธุ์นั้น ข้าจะให้พวกเจ้าเรียนรู้วิชายุทธุ์นั้นด้วย !!
อะไรน่ะ ?เคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ในขั้นปฐพี ? มีเสียงตะโกนด้วยความตะลึง ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความโลภและความกระหายที่ต้องการครอบครอง หลายวันที่ผ่านมาพวกเขาได้รับสิ่งต่างๆจำนวนไม่น้อย แต่เพราะมีกลุ่มคนจำนวนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รับการแบ่งอย่างเท่าเทียมกัน เมื่อได้ยินว่าหยางไค่ได้รับ เคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ในขั้นปฐพี ทำให้พวกเขาค่อนข้างที่จะอิจฉา !
ชัยชนะอยู่ในความคิดของทุกคน คนที่ไล่ตามมามีเพียงไม่แก่คน ในที่สุดพวกเขาก็สามารถเข้าใกล้กับหยางไค่มากขึ้น
หยางไค่ เจ้าคิดจะต่อต้านต่อไปใช่ไหม !! คนหนึ่งกล่าวตะโน อีกคนหนึ่งชักกระบี่ออกมา แสงแห่งกระบี่เสมือนเมฆาที่สองสว่างวิบวัน เสมือนสายฟ้า พุ่งไปยัด้านหลังของหยางไค่
เมื่อสักผัสได้ถึงภัยอันตรายที่ตามมา หยางไค่หลบหนีอย่างรวดเร็ว ยังมิทันที่เขาจะยืนหยัดอย่างมั่นคง กลับมีคนโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
หยางไค่กลิ้งลงไปที่พื้น หลบการโจมตีครั้งที่ 2 หลังจากที่เขาลุกขึ้น ทันใดนั้นใบหน้าของหยางไค่แสดงออกอย่างเยือกเย็นในทันที
เขากำลังถูกกลุ่มคนที่ตามมารายล้อมตนเองเป็นรูปวงกลม
นอกจากหน่างหย่ง ยังเหลืออีก 4 คน !! พวกเขาทั้ง 4 ล้วนอยู่ในเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณ แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาสูงกว่าหน่าหย่ง
พวกเขาทั้ง 5 ล้อมหยางไค่เป็นรูปวงกลม โดยที่หยางไค่อยู่ในจุดศูนย์กลาง พวกเขาทั้งหมดต่างแสะยิ้มด้วยความเยือกเย็นและจ้องมองหยางไค่อย่างไม่วางตา
หน่ายหย่งหัวเราะอย่างมีความสุข เขาจ้องมองหยางไค่ด้วยแววตาที่ประกาย : ศิษย์น้องหยาง เจ้าก่อเรื่องเอาไว้เอง เคยคิดไหมว่าจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ?
แอบมองหญิงสาวอาบน้ำเป็นเรื่องที่ดี ? หยางไค่กล่าวสบทด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
ใบหน้าของหน่ายหย่งแดงก่ำ เรื่องเช่นนี้น่าอับอายอย่างยิ่ง แม้แต่คนทั้ง 4 ที่ติดตามเขามายังจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง ยิ่งทำให้การแสดงออกของเขาค่อนข้างที่จะอับอาย
คนที่อยู่ทางฝั่งด้านซ้ายเก็บสายาของพวกเขาและกล่าวกระแอ่ม : หยางไค่ เจ้าเป็นศิษย์น้องของพวกเรา พวกเราไม่กล้าที่จะฆ่าเจ้า เจ้ากล่าวบอกวิธีการฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้นั้นให้พวกเรา พวกเราจะพาเจ้าไปพบศิษย์พี่เจี่ย และจะกล่าวคำพูดที่น่าฟังเพื่อช่วยเจ้า ไม่แน่ว่าศิษย์พี่เจี่ยอาจจะอภัยต่อการล่วงเกินของเจ้าก็ได้
ความหวังดีของศิษย์พี่ ศิษย์น้องรับรู้อย่างชัดเจน หยางไค่สัมผัสแรงกดดันจากพวกเขาทั้ง 5 ทันใดนั้นทรวงอกของเขาเริ่มสั่นไหวและกระตุกไปมา ใบหน้าของหยางไค่ค่อนข้างที่นิ่งเฉยและเยือกเย็น : แต่หากพวกเจ้าจะแย่งของของข้า ใช้ความสามารถของพวกเจ้าแย่งมันไปให้ได้ !!
คนที่อยู่ในฝั่งขวากล่าวด้วยเสียงที่เกรี้ยวโกรธ : ความหวังดีอยู่ตรงหน้าแต่กลับเลือกที่จะปฏิเสธ !! อย่าคิดว่าเจ้าเป็นศิษย์สำนักเดียวกับพวกเราแล้วพวกเราไม่กล้าที่จะทำร้ายเจ้า !! เจ้าล่วงเกินศิษย์พี่เฉิน มีเพียงความตายเท่านั้น แม้ว่าจะฆ่าเจ้าตรงนี้ ก็ไม่มีใครที่จะออกหน้าทวงคืนความยุติธรรมให้แก่เจ้า !!
พวกเขาทั้ง 5 คน หน่ายหย่งและหยางไค่เคยมีปัญหาระหว่างกัน จึงมีความแค้นที่ฝังใจ เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ เจตนาการฆ่าได้ปรากฏออกมา : ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับมัน ทุบตีมันแล้วบังคับให้มันกล่าววิธีการฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ !!
ก่อนหน้าที่แบ่งหินทารก หน่ายหย่งได้รับเคล็ดวิชาที่ไร้ประโยชน์ต่อตนเอง ดังนั้นจึงอิจฉางที่เห็นหยางไค่ได้รับสิ่งที่ดีกว่า แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าหยางไค่ได้รับสิ่งใด แต่มันต้องมีประโยชน์มากกว่าเคล็ดวิชาที่เขาได้รับอย่างแน่นอน
สิ้นเสียงคำกล่าว หน่ายหย่งพุ่งโจมตีออกไปเป็นคนแรก ฝ่ามือของเขาพุ่งเข้ามาตามสายลม และเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งอันตรายซึ่งโจมตีไปยังหยางไค่อย่างรุนแรง
หน่ายหย่งตัดสินที่จะกักตัวหยางไค่ไว้ตรงนี้ เพียงการโจมตีในครั้งแรกเขาได้ใช้กระบวนท่าที่รุนแรงที่สุดของเขา
พวกเขาทั้ง 4 เมื่อเห็นหน่ายหย่งโจมตี พวกเขาต่างแยกตัวออกมาด้านนอก เพื่อเฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเขตแดนของหยางไค่อยู่ในระดับต่ำ หน่ายหยงเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว
ไม่เพียงเท่านี้ 1 ใน 4 คนนั้นได้กล่าวติชมกระบวนท่าของหน่าหย่ง : ฝ่ามือวายุมรกตของศิษย์น้องหน่ายค่อนข้างจะบริสุทธุ์และรุนแรง ดูเหมือนว่าการโจมตีในกระบวนท่านี้คงต้องใช้พลังลมปราณเป็นจำนวนมาก
3 คนที่เหลือต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของเขา ฝ่ามือวายุมรกต เป็นเคล็ดวิชาแห่งการโจมตีในขั้นปฐพี แต้มแห่งชัยชนะจำนวน 500 แต้ม จึงจะสามารถแลกกับมันได้
ฝ่ามือพุ่งออกไป ลมวายุที่บริสุทธุ์โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง เพื่อกระบวนท่าการโจมตีนี้ หน่ายหย่งสูญเสียพลังจิตวิญญาณจำนวนไม่น้อย
เมื่อใช้กระบวนท่านี้ในการโจมตีผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่ม มันเปรียบเสมือนการบีบผู้ฝึกยุทธุ์นั้นให้แหลกสลายในครั้งเดียว จากการคาดเดาของพวกเขา หยางไค่ต้องได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสโดยมิอาจที่จะหลีกเลี่ยงได้
เมื่อพบเจอกับการโจมตีด้วยฝ่ามือเช่นนี้ หยางไค่จึงพุ่งหมัดเพื่อปะทะกับมันอย่างรุนแรง