ตอนที่ 133 การรวมตัว
ตอนที่ 133 การรวมตัว
สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่เงียบสงบ นอกเสียจากเสียงหัวเราะของหญิงสาวทั้ง 2 ไม่มีเสียงอื่นใดอีก
หยางไค่ตะโกนเช่นนี้ แม้ว่าเสียงไม่ดังมาก แต่มันได้ยินอย่างชัดเจน
เมื่อเสียงตะโกนหยุดลง ทันใดนั้นเสียงกระเด็นของน้ำและเสียงหัวเราะจากสาวสองคนก็หยุดชั่วคราว ด้วยความเงียบข้องสายน้ำและเสียงที่วุ่นวายที่ดังขึ้น กล่าวได้ว่าหญิงสาวทั้งสองกำลังวิ่งหนีเพื่สวมใส่เสื้อผ้าของตนเอง นอกจากนั้นหน่ายหย่งยังตกใจกับการกระทำของหยางไค่ เขาเสมือนกระต่ายที่ถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็ว เขาหันหน้ากลับไปและจ้องมองหยางไค่ด้วยความโกรธแค้น เขาเปิดใช้ท่าร่างของเขาและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะวิ่งออกไป ดวงตาของเขายังประกายด้วยความเกลียดชัง เพราะเขาไม่คิดว่าหยางไค่จะกล้ารุกรานเขาเช่นนี้
ไอ้ขี้ขลาด !! หยางไค่แสะยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน
หากว่าตัวเขาเองเป็นหน่ายหย่ง ในเมื่อถูกเปิดโปงเช่นนี้ การก้าวเดินออกไปอีกเป็นสิ่งที่ดีกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะมองเห็นสิ่งสวยงามที่อยู่หลังโขดหินกเป็นได้
หลังจากนั้นไม่นาน หล่างฉู่วเต่และตู่ยี่ฉางเดินออกมาจากทางด้านโน่นด้วยเส้นผมที่เปียกชุ่ม ดวงตาของตู่ยี่ฉางประกายด้วยความอ่อนโยนเพื่อแสดงความขอบคุณที่ช่วยเหลือ แต่หล่างฉู่วเต่กลับจ้องมองหยางไค่และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล : ขอบคุณเจ้ามาก !!
ไม่เป็นไร หยางไค่กล่าวตอบอย่างเรียบเฉย
หยางไค่ลุกขึ้น ในขณะที่พวกเขาทั้ง 3 กำลังจะเดินทางกลับ ทันใดนั้นบริเวณสถานที่ห่างไกลมีพลังลมปราณที่เข้มข้นกำลังเคลื่อนไหวผันผวนอย่างรุนแรง
พวกเขามองไปยังทิศทางของพลังลมปราณที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างผันผวน ทันใดนั้นั้นมีแสงสว่างประกายผ่านไป และยังมีเสียงสะท้อนแห่งเจตนาการฆ่าที่ดุดันดังแว่วมา ในขณะเดียวกัน ยังมีเสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธที่สั่นสะเทือนของสัตว์อสูรดังขึ้นอีกด้วย
ทันใดนั้นใบหน้าของพวกเขาทั้ง 3 เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เพราะเสียงคำรามนี้เป็นเสียงคำรามของสัตว์อสูรที่แท้จริง
ในสถานที่เช่นนี้ ยังมีสัตว์อสูรดำรงอยู่ ?
นอกจากนั้น ในเวลานี้ ยังคมีผู้คนจำนวนมากมายกำลังต่อสู้กับสัตว์อสูรอย่างรุนแรง
ชวาชวาลาลา !! หน่ายหย่งที่วิ่งออกไปและจ่อวอันที่อยู่ตรงพุ่มไม้ต่างวิ่งเข้ามา ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและจ้องมองไปยังทิศทางที่มีเสียงแห่งการต่อสู้ที่แว่วเข้ามา
ตู่ยี่ฉางจ้องมองหน่ายหย่งด้วยแววตาที่เกลียดชัง แววตาของนางยังเต็มไปด้วยความรังเกียจที่มากมาย หล่างฉู่วเต่ไมไ่ด้สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ราวกับว่าไม่ได้เกิดสิ่งใดขึ้น แต่นางเปิดปากกล่าวถาม : จ่อวอัน เจ้าเข้าใจในสิ่งทีได้ยินหรือไม่ ?
การฟังของจ่อวอันค่อนข้างดี แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดสามารถได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากบริเวณที่ห่างไกล แต่พวกเขาไมไ่ด้ยินอย่างชัดเจนเช่นจอ่วอัน
มีคนกว่า 100 คนที่นั้น !! จ่อวอันกล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่น : ทางด้านโน่นมีคนที่มากกว่า 100 คน และกำลังโจมตีสัตว์อสูร จากเสียงคำรามของสัตว์อสูร พวกเขากำลังตกอยู่สถานการณ์ที่น่าหวาดกลัว
ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนแปลงในทันที เพราะนั้นหมายความว่า สัตว์อสูรตัวนี้เป็นสัตว์อสูรระดับเทพสวรรค์ !!
คนที่เข้าสู่ถ้ำสวรรค์ ส่วนใหญ่เป็นยอดฝีมือที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริง หากต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับเทพสวรรค์พวกเขาจะสามารถรับมือกับมันได้อย่างไร ? พวกเขากว่า 100 คนเป็นคนโง่เขลายิ่งนัก ที่เลือกจะเดินไปหาความตายด้วยตนเอง
เสียงคำรามของสัตว์อสูรตัวนี้ค่อนข้างที่จะอ่อนแอ !! จ่อวอันขมวดคิ้วไปมา : จากเสียงคำรามที่ได้ยินเสมือนว่ามันเพิ่งฟื้นคืนได้ไม่นาน น่าจะเกี่ยวข้องกับตราผนึกที่ผนึกมันไว้
พวกเขาทั้งหมดจึงเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ตราผนึกที่ผนึกถ้ำสวรรค์แห่งนี้เพิ่งถูกทำลายเมื่อไม่กี่วันที่่ผ่านมา สัตว์อสูรที่อยู่ในถ้ำแห่งนี้คงจะถูกผนึกมานานหลายพันปี แม้ไม่รู้ว่าทำไมสัตว์อสูรถึงยังมีชีวิต แต่มันคงสามารถปลดปล่อยความสามารถที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ไม่น่าแปลกที่กลุ่มคนกว่า 100 คนจะกล้าต่อสู้กับสัตว์อสูรตัวนี้ ?
สัตว์อสูรได้รับบาดเจ็บ !! จ่อวอันขมวดคิ้วอย่างกะทันหัน
สิ้นเสียงคำกล่าวของจ่อวอัน เสียงตะโกนด้วยความเกรี้ยวโกรธและความอ่อนแอของสัตว์อสูรดังแว่่วเข้ามา ซึ่งไม่ต่างจากเมื่อสักครู่ เสียงความวุ่นวายหยุดลงอย่างกะทันหัน กลุ่มคนกว่า 100 คนไม่มีการเคลื่อนไหวอีกต่อไป
เกิดอะไรขึ้น ? หล่างฉู่วเต่กล่าวถามอย่างกระวนกระวาย
ข้าไม่รู็ จ่อวอันส่ายหัวไปมา : พวกเราเข้าไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นดีกว่าไหม ?
หล่าวฉู่วเต่เลิกคิ้วไปมา กำลังคิดไตรตร่องอย่างละเอียด ก่อนจะจ้องมองไปยังพวกเขาทั้ง4 และกล่าว : พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร ข้าคิดว่าพวกเราสามารถไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะทางด้านโน่นมีกลุ่มคนที่รวมตัวกว่า 100 คน และพวกเขาไม่ใช่ยอดฝีมือที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริงหรือผสานลมปราณ ต้องมีผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณหรือลมปราณแรกเริ่ม พวกเขาหยุดอยู๋ที่นั่น พวกเราน่าจะเข้าร่วมกับพวกเขาได้ แต่มันยังคงมีอันตรายที่อาจเกิดขึ้น พวกเจ้าจะไปหรือไม่ไป ก็แล้วแต่การตัดสินใจของพวกเจ้า
ไป ต้องไปแน่นอน หน่ายหย่งพยักหน้าเป็นคนแรก เมื่อสักครู่เขาก่อเรื่องที่น่าอับอาย เขาคงไม่กล้าที่จะอยู่ในกลุ่มคนทั้ง 5 อีกต่ไป ดังนั้นเขาจึงต้องไปหาศิษย์พี่ศิษย์น้องของตนเอง
ข้าไปด้วยเช่นกัน !! จ่อวอันกล่าวด้วยเสียงที่อึดอัดใจ
หล่างฉู่วเต่จ้องมองไปยังหยางไค่และตู่ยี่ฉาง ทั้งสองต่างพยักหน้าพร้อมกัน
"เราไปกันเถอะ !! !"
พวกเราทั้ง 5 ต่างใช้ท่าร่างของตนเองเพื่อวิ่งไปยังสถานที่มีการต่อสู้ให้ไวที่สุด
ผ่านไปประมาณ 1 ชั่วยาม ในที่สุดพวกเขาทั้ง 5 จึงพบกับศิษย์สาวกทั้ง 3 ของตนเอง
ในบริเวณที่ห่างกไกล มีกลุ่มคนแห่งสองสำนักกำลังเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน แต่ละฝ่ายมีกลุ่มคนประมาณ 50 คน มีจำนวนคนที่ไม่แตกต่างกันมาก แต่จากแสงสว่างที่ค่อนข้างน้อย พวกเขาทั้ง 5 ต่างมองไม่เห็นว่ากลุ่มคนทั้ง 2 ฝ่ายเป็นศิษย์สาวกของสำนักไหนกันแน่
พวกเขาเดินทางเข้าไปอีก ในระยะทางที่ห่างไกล เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น : ฟางจือชิ หอวายุพิรุณของพวกเขามีความสามารถเพียงเท่านี้ ต้องการที่จะแย่งสมบัติไปจากมือของข้า เจ้าวู่วามเกินไปหรือเปล่า !!
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ใบหน้าของหน่ายหย่งแสดงออกด้วยความดีใจ : ศิษย์พี่เจี่ย !!
หล่างฉู่วเต่ยิ้มออกมาด้วยความสุขเช่นเดียวกัน แต่ใบหน้าของหยางไค่แสดงออกด้วยความเคร่งขรึม
กลุ่มคนทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกเป็นหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว แต่คนที่เป็นผู้นำคือเจี่ยหงเฉิน !! มันเป็นคนที่เขาไม่ต้องการพบเจอที่สุด
คนที่แสดงออกเช่นหยางไค่คือตู่ยี่ฉาง ตู่ยี่ฉางเป็นศิษย์ของหอวายุพิรุณ คนที่เจี่ยหงเฉินกำลังกล่าวด่าเป็นศิษย์รุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของหอวายุพิรุณ
พวกเขาทั้งสองจ้องมองซึ่งกันและกัน ตู่ยี่ฉางรีบเดินห่างจากหล่างฉู่วเต่ แม้ว่าพวกเขาทั้ง 5 จะช่วยกันกำจัดศัตรู แต่ในตอนนี้เกิดเรื่องระหว่างสำนักของตนเอง พวกเขาต้องเข้าข้างฝั่งของตนเอง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงกลายเป็นศัตรูต่อกันในทันที
เมื่อเผชิญหน้ากับการสบทด่าของเจี่ยหงเฉิน ฟางจือชิกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย : เจี่ยหงเฉิน ข้าไม่ต้องการที่จะต่อสู้กับเจ้า เจ้าเพื่อก้าวอยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริง เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า อย่าทำให้ข้าต้องสร้างความอัปยศให้แก่เจ้าเลย
เจ้ากล่าวว่าอย่างไร ? เจี่ยหงเฉินกล่าวสถามด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
ทันใดนั้นศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวต่างโห่ร้องออกมา พวกเขาต่างโห่ร้องให้เจี่ยหงเฉินจัดการกับฟางจือชิ เพื่อไม่ให้เขาแสดงท่าทีที่หยิ่งยะโสเช่นนี้
ฮึ่ม !! หอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว นอกจากซู่เหยียน ไม่มีใครที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า !! ฟางจือชิหวเราะด้วยเสียงที่แผ่วเบา และแสดงออกอย่างยะโสโอหัง
เจ้าต้องการที่จะต่อสู้กับข้า ?
หากว่าเจ้าต้องการ ข้าจะสงเคราะให้ แต่หากเจ้าพ่ายแพ้ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ เจ้าคงต้องอับอายอย่างมาก
คำกล่าวนี้ทิ่มแทงจิตใจของเจี่ยหงเฉิน แม้ว่าเขาและฟางจือชิจะอยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริง แต่คนหนึ่งเพิ่งก้าวข้ามเขตแดน แต่อีกคนหนึ่งก้าวข้ามเขตแดนมาเป็นเวลานาน หากเกิดการต่อสู้ขึ้นมาจริง เจี่ยงหงเฉินคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฟางจือชิอย่างแน่นอน
ในขณะที่เจี่ยหงเฉินไร้ซึ่งหนทางที่จะถอยหนี ทันใดนั้นในผืนป่ามีเสียงตะโกนของหน่ายหยง : ศิษย์พี่เจี่ย !!
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนนี้ เจี่ยหงเฉินรีบหันหน้ากลับไป ใบหน้าของเขาประกายด้วยความโล่งอกและกล่าวด้วยรอยยิ้ม : ศิษย์น้องหน่าย
ในที่สุดก็พบเจอกับพวกท่าน หน่ายหย่งรู้สึกตื้นตันอย่างมาก ความเร็วของเขาได้เพิ่มขึ้นและหนีห่างจากกลุ่มคนทั้ง 5 และวิ่งไปยังกลุ่มคนของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว
คนที่เหลือทั้ง 4 ต่างชะงักการก้าวเดินของตนเอง ตู่ยี่ฉางและจ่อวอันไม่ใช่คนแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เดินต่อไป หยางไค่มีความแค้นต่อเจี่ยหงเฉิน เขาก็ไม่มีวันที่จะเดินไป สำหรับหล่างฉู่วเต่ นางรู้ดีว่าหยางไค่มีความแค้นต่อเจี่ยหงเฉิน ดังนั้นจึงหยุดเพื่อสังเกตุการกระทำต่อไปของหยางไค่
หยางไค่ ข้าจะไปยังทางด้านของศิษย์พี่ฟาง หลายวันที่ผ่านมา ต้องขอบคุณเจ้ามาก ตู่ยี่ฉางกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา
อืม ไปซิ หยางไค่พยักหน้าเบาๆ