ตอนที่ 131 เคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้
ตอนที่ 131 เคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้
จากหมัดที่โจมตีออกไปของหยางไค่ ทำให้เศษหินกระจัดกระจายไปทั่ว รูปปั้นหินที่แปลกประหลาดสั่นไหวไปมาจากแรกงกระแทกเท่านั้น
มันไม่ตอบสนองและไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่เหมือนรูปปั้นหินตัวอื่นๆที่เปิดการโจมตีใส่พวกเขาตั้งแต่แรก
แต่หยางไค่รับรู้อย่างชัดเจน ทุกการโจมตีของเขา จะถูกรูปปั้นหินดูดซับพลังลมปราณหยางไปบางส่วน
จากระยะเวลาที่ผ่านไป ทันใดนั้นรูปปั้นหินเริ่มก่อกำเนิดแสงสีแดงจางๆ ออกมา ร่างกายของมันปลดปล่อยพลังลมปราณหยางที่เหมือนพลังลมปราณหยางของหยางไค่อย่างไม่ผิดเพี้ยน
คากกกกฉ่าฉ่า .
รูปปั้นหินมีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ทันใดนั้นหยางไค่เข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในทันที
มันดูดซับพลังลมปราณหยางที่ตนเองโจมตีออกไป แต่การที่มันสามารถเคลื่อนไหวเป็นเพราะมันดูดซับพลังลมปราณเข้าไป แต่มันไม่มากพอที่จะทำให้มันเคลื่อนไหวหรือโจมตีทำร้ายเขา
เมื่อเข้าใจถึงจุดนี้ หยางไค่ไม่หยุดลงมือโจมตี แต่การโจมตีของเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะเคลื่อนไหวก่อน หรือข้าจะทำลายเจ้าได้ก่อน !! ความดื้อด้านที่เก็บไวในจิตใจถูกระเบิดออกมา หยางไค่โจมตีไปยังรูปปั้นหินอย่างรุนแรงและบ้าคลั่ง
หมัดของหยางไค่เริ่มมีแผลถลอกและเลือดที่ไหลออกจากการโจมตี ดูเหมือนว่ารูปปั้นหินตัวนี้ แข็งแกร่งยิ่งกว่ารูปปั้นหินตัวอื่นๆ
คากกกฉ่าฉ่า ..รูปปั้นหินดูดซับพลังลมปราณหยางที่มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นมันจึงสามารถเคลื่อนไหวได้มากกขึ้น ฝ่ามือขนาดใหญ่ของมันเงื้อสงขึ้น ดวงตาของมันจ้องมองหยางไค่ และกำลังจะเงื้อฝ่ามือตบลงไปที่หยางไค่
ฟื่อ .ฝ่ามือของรูปปั้นหินพุ่งลงอย่างที่หยางไค่คาดการณ์ไว้ แต่โชคดีที่หยางไค่เตรียมความพร้อมตั้งแต่แรก เขาจึงสามารถหลบหนีการโจมตีจากรูปปั้นหินได้
พื้นดินสั่นสะเทือน และยังมีตราประทับรูปฝ่ามือที่เพิ่มมากขึ้น เศษหินเศษดินลอยคุ้งทั่วบริเวณ มันพัดพาจนผมของหยางไค่สยายพลิ้วไหวไปมาอย่างไม่หยุด
ปังปังปัง!
ในชั่วพริบตา หมัดทั้งสองของหยางไค่ระเบิดลูกไฟแสงแดงเพลิงออกมา เสมือนว่ามือของเขากำลังจุดประกายเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการโจมตีหรือพลังกำลัง ต่างเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ฮวาลา ..
จากการโจมตีด้วยหมัดทั้งสองของหยางไค่ ทันในรูปปั้นของทรวงอกกลายเป็นรูหลุมขนาดใหญ่ เศษก้อนหินจากรูปปั้นยังกระจัดกระจายไปทั่วพื้นดิน
เพียงสายตาเดียว หยางไค่มองเห็นหินทารกที่ใสบริสุทธุ์อยู่ภายในร่างกายของรูปปั้นหิน
หยางไค่รีบยื่นมือออกไปคว้ารูปปั้นหินที่อยู่ภายในทรวงอกของมัน จากนั้นจึงกระโดดม้วนตัวและโจมตีไปยังรูหลุมเดิมของมันจนก่อให้เกิดเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่
หยางไค่กวาดสายตาไปทั่วทั้ง 4 ทิศ รูปปั้นหินกว่า 10 ตัวที่เขาล่อออกไปกำลังจะวกกลับมา
ใบหน้าของหยางไค่เคร่งเครียด หยางไค่ไม่กล้าที่จะลังเล เขาเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหวของตนเอง และรีบวิ่งหนีออกไป
หยางไค่วิ่งวนอยู่ด้านนอกเป็นเวลานาน จึงจะวิ่งกลับไปยังตำแหน่งเดิมของพวกเขา
เมื่อหยางไค่ปรากฏตัว ตู่ยี่ฉางกล่าวด้วยความดีใจต่อหยางไค่ : ในที่สุด พวกเราก็ได้รับหินทารกเพิ่มอีก 1 ตัว ต่อไปพวกเราทั้ง 5 จะได้รับหินทารกคนละ 1 ตัวอย่างเท่าเทียมกัน
ฮึฮึ ดูเหมือนว่าพวกเราค่อนข้างที่จะโชคดี หยางไค่หัวเราะอย่างแผ่วเบา และเหลือบมองไปยังหล่างฉู่วเต่ หล่างฉู่วเต่ส่งยิ้มให้แก่หยางไค่และพบว่าหลังมือของเขาเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด นางไม่รอช้าที่จะวิ่งเข้ามาดู และยังดึงมือของหยางไค่ขึ้นมือลูบไล้ไปมาและกล่าวด้วยความเป็นห่วง : ทำไมถึงบาดเจ็บเช่นนี้ ?
การกระทำของนางดูเหมือนอ่อนโยนและนุ่มนวลเฉกเช่นความห่วงใยจากศิษย์พี่ที่มอบให้แก่ศิษย์น้องด้วยความจริงใจ
หยางไค่รีบดึงมือออกและกล่าวด้วยเสียงที่เรียบเฉย : มีรูปปั้นหินหลายตัวที่วิ่งตามมาอย่างกะชิด ข้าเลยต้องออกแรงออกกำลังสักหน่อย
ใบหน้าของหล่างฉู่วเต่ประกายด้วยความตกใจ และเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และนางได้กล่าวด้วยความอ่อนโยนและรอยยิ้มที่งดงาม : ปลอดภัยก็ดี
แบ่งหินทารกกันก่อนดีกว่า แล้วฟื้นฟูวิชายุทธุ์ของตนเอง ทุกคนควรจะได้รับการพักผ่อนและฟื้นฟูพลังของตนเอง จ่อวอันกล่าวเสนอความคิดเห็น
ดี หล่างฉู่วเต่พยักหน้า จากนั้นจึงนำหินทารกทั้ง 5 ตัวออกมาวางตรงหน้าของทุกคน
ภายในหินทารกมีเส้นสีแดงที่คล้ายคลึงกันและจำนวนที่ใกล้เคียงกัน แม้ว่ามันจะมากกว่าก็มากกว่าไม่กี่เส้น แม้มีคำกล่าวว่า เคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ที่ต้องใช้เส้นชีพจรลมปราณเป็นจำนวนมาก จะแข็งแกร่งกว่าเคล็ดวิชาอื่นๆ แต่เรื่องเช่นนี้อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเสมือไปก็ได้
มีเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ที่วิเศษมากกว่า และยังอยู่ในระดับสูง แต่ใช้เส้นชีพจรลมปราณเพียงไม่กี่เส้นเท่านั้น
ดังนั้นพวกเขาทั้ง 5 จึงไม่รู้ว่าเคล็ดวิชาที่ซ่อนอยู่ภายในหินทารก ตัวไหนเป็นเคล็ดวิชาที่ดีหรือไม่ดี เรื่องเช่นนี้ต้องอาศัยโชคชะตามากกว่า
หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยเผชิญกับภัยอันตรายมาหลายวัน แม้ว่าผลที่ได้รับจากผิดจากการคาดการณ์เป็นอย่างมาก แต่สายตาของพวกเขายังคงประกายด้วยความต้องการ เพราะหินทารกซ่อนเร็นเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ไว้ภายใน
ใครเลือก่อน ? หน่ายหย่งกล่าวทดสอบคนอื่นๆ แท้จริงแล้วเขาต้องการที่จะเลือกก่อน แต่ก็กลัวว่าตนเองจะไม่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด จึงทำให้เขาค่อนข้างที่จะลังเลใจ
ข้าขอเสนอให้ศิษย์น้องหยางเลือกก่อน เพราะวันนี้เขาลำบากอย่างยิ่งในการล่อรูปปั้นหินกว่าร้อยตัว เมื่อสักครู่เขายังได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงสมควรที่จะให้เขาเลือกก่อน !! หล่างฉู่วกล่าด้วยรอยยิ้มและจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่อ่อนโยน
ทุกคนต่างได้รับหินทารก 1 ตัว ทำให้นางใจกว้างขึ้นมาในทันที แม้ว่านางจะเลือกก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะได้รับสิงที่ดีที่สุด
ในแง่แห่งความเป็นจริง มันสามารถเปิดเผยจิตใจของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
หยางไค่ไม่เข้าใจความคิดของนาง ดังนั้นจึงไม่เกรงใจพยักหน้าและกล่าว : เมื่อศิษย์พี่กล่าวเช่นนี้ ข้าจะไม่เกรงใจศิษย์พี่ทั้ง 4
หลังจากที่กล่าวจบ เขารีบหยิบหินทารก 1 ตัวอย่างลวกๆ
ตามาด้วยหล่างฉู่วเต่ และคนอื่นๆ
แบ่งหินทารกเรียบร้อย พวกเราต่างคนต่างหาสถานที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้ของตนเอง หลังจากนั้น 1 วัน พวกเราจะรวมตัวกันที่นี้อีกครั้ง หล่างฉู่วเต่กล่าวแจ้งแก่ทุกคน
ในสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด เมื่อมีเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่มากขึ้น 1 วิชา นั้นหมายความว่าความแข็งแกร่งในการโจมตีได้เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าการฝึกฝนวิชายุทธุ์ต้องใช้เวลาอย่างมาก แต่ระยะเวลา 1 วันที่ให้ไป พวกเขาทุกคนต่างรับเงื่อนไขนี้ได้
พวกเขาพยักหน้า จากนั้นจึงแยกตัวออกไป
หยางไค่ ข้าจะช่วยเจ้าทำแผลก่อน ตู่ยี่ฉางมองเห็นเลือดสีแดงที่อยู่หลังมือของเขา จึงกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ต้องขอบคุณเจ้าด้วย หยางไค่ไม่ได้ปฏิเสธตู่ยี่ฉาง
หล่างฉู่วเต่ที่กำลังจะเดินออกไป เมื่อได้ยินการสนทนาของพวกเขาทั้งคู่ นางอึ้งไปชั่วขณะ คิ้วที่งดงามขมวดไปมา แต่นางไม่หยุดก้าวเดิน ทันใดนั้นร่างกายของนางประกายและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากที่เหลือเพียงหยางไค่และตู่ยี่ฉาง ตู่ยี่ฉางพันแผลให้หยางไค่และกล่าว : อีกสักพักเจ้าดูว่าเคล็ดวิชาของเจ้าคือเคล็ดวิชาอะไร หากว่ามันไม่ดีเจ้าแลกเปลี่ยนกับข้าได้ ข้าเคยฝึกฝนเคล็ดวิชาระดับปฐพี ดังนั้นสิ่งของเหล่านี้จึงไม่จำเป็นต่อข้า
ไม่ต้อง หยางไค่อมยิ้มเบาๆ : ในเมื่อมันเป็นเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ระดับปฐพี มันต้องดีอยู่แล้ว !
แล้วแต่เจ้า !! ตู่ยี่ฉางไม่บังคับหยางไค่ หลังจากที่พันแผลเสร็จนางลุกขึ้นและกล่าว : ข้าจะไปฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้ของข้า เจอกันพรุ่งนี้ !!
หยางไค่จ้องมองด้านหลังของนางและกล่าวตอบด้วยเสียงที่อ่อนโยน : หากมีโอกาส ให้เจ้ารีบหนีออกไปคนเดียว
ตู่ยี่ฉางกล่าวตอบโดยไม่หันกลับมา : ข้ารู้แล้ว !!
กลุ่มเล็กๆของพวกเขาไม่ใช่กลุ่มที่สามารถพึ่งพาอาศัยได้ เพราะพวกเขารวมตัวกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นั้นเป็นเพราะพวกเขาไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมในสถานที่แห่งนี้ หล่างฉู่วเต่ไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้นำของพวกเขา เพราะนางไม่สามารถแยกแยะความยุติธรรม นางเห็นแต่ประโยชน์ของนาง คนเช่นนี้ในใจของพวกเขานึกถึงแต่ตนเอง เมื่อพาลพบกับอันตรายพวกเขาจะไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น หากติดตามนางต่อไปไม่ช้าหรือเร็วต้องเกิดเรื่องที่อันตรายอย่างแน่นอน
หลังจากที่พวกเขาทั้ง 4 เดินออกไป หยางไค่มองเห็นสถานที่เงียบสงบ เขานั่งลงและนำหินทารกจำนวน 2 ตัวออกมา
หยางไค่จ้องมองหินทารก ทันใดนั้นหัวใจของเขาเริ่มจะสั่นระรัว
หินทารก 1 ตัวได้มากจากหล่างฉู่วเต่ ไม่มีข้อแตกต่างจากหินทารกที่พวกเขาได้รับ ซึ่งแตกต่างจากหินทารกที่ได้มาจากตำแหน่งที่รวมตัวของเหล่ารูปปั้นหินอย่างมาก
ภายในเส้นชีพจรของหินทารกตัวนี้ไม่ใช่เส้นสีแดง แต่มันเป็นเส้นสีทอง ไม่เพียงเท่านั้น เส้นสีทองเหล่านี้ยังมีจำนวนี่มากมาย .
มันเป็นเคล็ดวิชาที่อยู่ในขั้นใดกันแน่ !!
จากการคาดเดาของหล่างฉู่วเต่ หินทารกที่พวกเขาได้รับอยู่ในขั้นปฐพีระดับกลาง ดังนั้นมันอาจจะเป็นเคล็ดวิชาที่อยู่ในขั้นปฐพีระดับสูงก็เป็นได้
นอกจากนั้นหินทารกอีก 1 ตัวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันอยู่ขั้นที่สูงกว่าขั้นปฐพีระดับสูง หรือว่ามันจะเป็นเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่อยู่ในขั้นฟ้าสวรรค์?
ความคิดนี้ผุดออกมา ทำให้หยางไค่สูดลมหายใจอย่างหนักหน่วง การตัดสินในครั้งนี้ค่อนข้างที่จะเสี่ยง แต่มันก้คุ้มค่าที่จะเสี่ยง
ในเมื่อได้รับเคล็ดวิชาถึง 2 วิชา ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะหยุดเท่านี้ เพราะมันเป็นการเริ่มต้นเท่านั้น
จะฝึกฝนวิชายุทธุ์ไหนก่อน ? หยางไค่จ้องมองหินทารกที่อยู่ในมือทั้ง 2 ตัว และยังไม่สามารถตัดสินใจได้
หินทารกที่เขาได้มาด้วยตนเองซ่อนเร้นเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ระดับสูง หลังจากที่ฝึกฝนวิชายุทธุ์จนเสร็จสิ้นความแข็งแกร่งของตนเองจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่เพราะตนเองมีเวลาที่ไม่มาก เวลาเพียง 1 วันไม่เพียงพอในการฝึกฝนเคล็ดวิชานี้อย่างละเอียด ดังนั้นหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หยางไค่เก็นหินทารกสีทองไว้ในอก แล้วจึงจับหินทารกที่หล่างฉู่วเต่ให้มาไว้ในมือ
สถาการณ์ในตอนนี้ สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งในการต่อสู้ให้แก่ตนเอง เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แม้ว่าเคล็ดวิชาที่ได้รับจะอยู่ในขั้นปฐพี การฝึกฝนวิชายุทธุ์จึงใช้เวลาที่ไม่มาก และคงไม่ยากเกินความสามารถของตนเอง
พลังลมปราณไหลเวียน ดูดซับหินทารกที่อยู่ในมือ เพื่อสัมผัสเส้นสีแดงของทารกและหาร่องรอยของมัน เพื่อเปรียบเทียบเส้นชีพจรลมปราณของตนเอง ระยะเวลาไม่ถึง 1 ชั่วยาม ในที่สุดหยางไค่ก็สามารถจดจำวิธีการเคลื่อนไหวของพลังลมปราณอย่างชัดเจน