ตอนที่ 128 เคล็ดวิชาที่ซ่อนเร้นอยู่ในหินทารก
ตอนที่ 128 เคล็ดวิชาที่ซ่อนเร้นอยู่ในหินทารก
ความแข็งแกร่งของมันอยู่ในระดับต่ำจริงด้วย !! ทันใดนั้นการแสดงของของจ่อวอันสงบนิ่งในทันที การโจมตีเพียงครั้งเดียวสามารถหยุดยั้นการกระทำของรูปปั้น
หยางไค่และตู่ยี่ฉางวิ่งหนีรูปปั้นไปกว่า 100 จ้าง พวกเขาทั้ง 2 มองต่างกัน และหยุดการวิ่งหนีอย่างกะทันหัน และหันหน้าเผชิญกับการไล่ล่าของรูปปั้นในทันที
และไม่รู้ว่าตู่ยี่ฉางใช้เคล็ดวิชาใด สองพลิกสยายกลางอากาศ ทันใดนั้นฝ่ามือของนางก่อกำเนิดแสงสีทองที่สว่างจ้า นางปลดปล่อยแสงสีทองนี้ออกไปปะทะกับรูปปั้นหินที่อยู๋ตรงหน้า จนเศษก้อนหินที่อยู่ในตัวรูปปั้นลอยกระจายไปทัวบริเวณ
รูปปั้นหินแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันไม่รู้สึกเจ็บปวด มันยังคงตอบโต้การโจมตีนั้นอย่างรุนแรง
ตู่ยี่ฉางวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว หน่ายหยางใช้โอกาสนี้ในการโจมตีอีกครั้ง ลมวายุพุ่งออกมาจากฝ่ามือและพุ่งโจมตีรูปปั้นหินอีกครั้ง
ในเวลานี้ หล่างฉู่วเตและหน่ายหยางได้เข้าร่วมการต่อสู้กับรูปปั้นหิน พวกเขากระโดนเข้าสู่วงล้อมของการต่อสู้ แต่หน่ายหย่งยังคงจ้องมองหยางไค่ด้วยแววตาที่เกลียดชัง เสมือนว่ากำลังโทษหยางไค่ที่ชักจูงให้รูปปั้นหินวิ่งเข้ามาหาพวกเขา
ต้องยกย่องหล่างฉู่วเต่หญิงสาวที่มีทักษะการสังเกตที่ยอดเยี่ยม เพียงการโจมตีของหยางไค่และตู่ยี่ฉางเพียงครั้งเดียว นางสามารถคาดเดาพลังความแข็งแกร่งของรูปปั้หนินได้อย่างแม่นยำ
รูปปั้นเหล่านี้มีการโจมตีที่รุนแรงและร้ายกาจ เพราะร่างกายของพวกเขาถูกสร้างมาจากหินที่แข็งแกร่ง หมัดที่โจมตีเพียงครั้งเดียวของมันเต็มไปด้วยพละกำลังที่มากมายมหาศาล
แต่การโจมตีของมันเชื่องข้า แม้ว่าจะมีความรวดเร็วในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถสร้างความกดดันให้แก่พวกเขาทั้ง 5 คนที่กำลังเผชิญหน้ากับมัน
ภายใต้วงล้อมการโจมตี ร่างกายของรูปปั้นหินมีรอยแตกร้าวปรากฏขึ้นมาจำนวนมากมาย และดูเหมือนว่าว่ามันกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง
แม้ว่าชัยชนะกำลังจะปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา แต่ความรุนแรงในการโจมตีของพวกเขาไม่ได้ลดน้อยลงเลย
หลังจากนั้นไม่นาน รูปปั้นหินรูปนี้ถูกโจมตีจนร่างกายของมันแตกกระจายกลายเป็นเศษหินชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที
พวกเขาทั้ง 4 ไม่มีใครที่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแค่พลังลมปราณลดลงไปเท่านั้น
หล่างฉู่วเต่รีบวิ่งเข้าไปในเศษซากของก้อนและเริ่มค้นหา แต่นางไม่พบอะไรเลย นางจึงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย : น่าแปลก !!
ในความคิดของนาง การที่รูปปั้นเหล่านี้สามารถเคลื่อนไหวต้องมีความวิเศษหรือสมบัติอยู่ภายใน แต่ตอนนี้นางกลับไม่พบสิ่งใด ดังนั้นจึงทำให้นางค่อนข้างผิดหวัง
ไป ไปช่วยจ่อวอัน !! หล่างฉู่วเต่ไม่เสียเวลาอีกต่อไป นางรีบนำพาคนที่กลับไปยังตำแหน่งเดิน
อีกด้านหนึ่ง จ่อวอันยังคงต่อสู้กับรูปปั้นอย่างดุเดือด ในเวลาแรกจ่อวอันยังโจมตีรูปปั้นไปหลายครั้ง และพบว่าพละกำลังของเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของรูปปั้น เขาพุ่งหมัดโจมตีออกไปจนมือของเขาถลอกเป็นแผล หลังจากนั้นเขาจึงไม่โจมตีออกไปอีก หล่างฉู่วเต่สั่งให้เขาหันเหความสนใจของรูปปั้น แต่ไม่ได้สั่งให้เขาฆ่าศัตรูที่กำลังเผชิญ
หลังจากที่ล่อรูปปั้นออกมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ในขณะที่จิตใจของจ่อวอันกำลังสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว หล่างฉู่วเต่และคนอื่นปรากฏตัวในทันที พวกเขาทั้งหมดไม่กล่าวสิ่งใด แต่พุ่งโจมตีไปยังรูปปั้นหินในทันที
เมื่อมีประสบการณ์ในการครั้งแรก ดังนั้นการเผชิญหน้ากับรูปปั้นหินในครั้งนี้จึงมีความง่ายมากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มพลังการโจมตีให้แก่จ่อวอัน
หลังจากผ่านไปได้ชั่วครู่ ในที่สุดรูปปั้นหินรูปนี้ก็ถูกทำลายจากความร่วมมือของพวกเขา
พวกเขาทั้ง 5 ต่างหอบหายใจอย่างหนักหน่วง แม้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ได้เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่มันทำให้พวกเขาต้องสูญเสียพละกำลังและพลังลมปราณไปเป็นจำนวนมาก
หยางไค่เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร !! หน่ายหย่งจ้องมองหยางไค่ด้วยความโกรธ : เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นศิษย์สำนักเดียวกันกับข้าแล้วข้าจะไม่กล้าลงมือกับเจ้าหรือไง
ว่าไงน่ะ ? หยางไค่จ้องมองหน่ายหยางด้วยสายที่เรียบเฉย
เมื่อสักครู่ทำไมเจ้าถึงล่อรูปปั้นหินมายังด้านหลังของข้า !
ข้าทำเช่นนั้น ? ดวงตาของหยางไค่สั่นประกายไปมา การแสดงออกที่เรียบเฉยทำให้รู้สึกรำคาญอย่างยิ่ง เมื่อสักครู่หยางไค่วิ่งหนีเอาชีวิตรอด เขาจะไปสนใจคนอื่นๆได้อย่างไร ?
หยุดทะเลากันสักที !! หล่างฉู่วเต่ใช้ฐานะที่เป็นศิษย์พี่ในการห้ามปราม นางจ้องเขม่งไปยังพวกเขาทั้ง 2 จากนั้นจึงเดินไปยังเศษก้อนหินที่กระจัดกระจายอยู๋บนพื้น
จำเอาไว้ให้ดี หากเกิดเรื่องเช่นนี้อีกครั้ง อย่ากล่าวโทษว่าข้าไม่เกรงใจ !! หน่ายหยงกล่าวด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น
โอ้ว .. ทันใดนั้นทางด้านของหล่างฉู่วเต่ส่งเสียงร้องด้วยความแปลกใจ นางจึงยื่นมือเขี่ยเศษก้อนหินที่อยู่บนพื้น จากนั้นจึงเก็บก้อนหินที่ที่มีลักษณะคล้ายรูปร่างมนุษย์ซึ่งมีขนาดเท่ากำปั้นของเด็กทารกที่เรียกว่าหินทารกขึ้นมา
ความแปลกใจและความตื่นตะลึงของนั้นดึงดูดความสนใจของทุกคน พวกเขาทั้งหมดต่งหันหน้ามองไปที่นางในทันที
เสี่ยวซื่อเหลินมีขนาดที่ไม่ใหญ่มาก แต่ไม่ทราบว่ามันถูกแกะสลักจากหินชนิดใด เพราะมันใสบริสุทธุ์ งดงามเสมือนหยกที่เลอค่า
นอกจากนั้นภายในร่างกายของหินทารก ยังมีเส้นสีแดงที่เสมือนเส้นเลือดของมนุษย์เชื่อมโยงอยู่ภายในกว่า 30 เส้น
มันคือ จ่อวอันกล่าวพึมพำด้วยความสงสัย เขาจ้องมองหินทารกยังไม่ละสายตา หยางและตู่ยี่ฉางได้เดินเข้ามาพร้อมกัน พวกเขาทั้ง 5 ล้อมเป็นวงกลม โดยสายตาของวพวกเขาต่างจ้องหินทารกด้วยความสงสัย
หินทารกตัวนี้เป็นสร้างมากจาก้อนหินชนิดไหน ? หน่ายหยงกล่าวถามด้วยความตื่นเต้น
ไม่เหมือน !! หล่างฉู่วเต่ส่ายหัวไปมา แม้ ว่านางไม่รู้ว่าหินทารกก่อกำเนิดจากหินชนิดใด แต่หลังจากที่หินทารกอยู่ในมือของนาง นางมิอาจที่จะสัมผัสได้ถึงพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน แต่ว่าเส้นเลือดสีแดงที่อยู่ภายในต้องซ่อนเร้นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ไว้อย่างแน่นอน และมันกำลังเคลื่อนไหวไปยังทิศทางที่มันรอคอย
พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร ? หล่างฉู่วเต่กล่าวถามความคิดเห็นของคนอื่นๆ
พวกเราสามารถควบคุมรูปปั้นหินเหล่านี้จากหินทารกชิ้นนี้ ? จ่อวอันคิดถึงความเป็นไปได้ในทันที
ดวงตาของคนที่เหลือประกายแวววับ แต่มันถูกกล่าวปฏิเสธจากหล่างฉู่วเต่ : ไม่น่าใช่ รูปปั้นหินทั้ง 2 ตัว ในร่างกายรูปปั้นหินอีก 1 ตัวไร้ซึ่งหินทารกก้อนนี้ หากมันเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริง มันจะสามารถควบคุมได้อย่างไร เพราะรูปปั้นหินถูกทำลายจนแหลกละเอียดแล้ว
หยางไค่อึ้งไปชั่วขณะ และกล่าวออกมาอย่างกะทันหัน : พวกเจ้าไม่รู้สึกบ้างหรือไง ว่าเส้นเลือดสีแดงที่อยู่ภายในคล้ายคลึงกับสิ่งใด ?
คล้ายกับสิ่งใด ? หากไม่มีความรู้หรือไม่เข้าใจก็อย่ากล่าวแทรกเข้ามา !! เพียงแค่เขตแดนลมปราณแรกเริ่มยังกล้าที่จะกล่าวอย่งสามหาวอยู่ที่นี้ !! หน่ายหยงไม่ให้เกียรติหยางไค่แม้แต่น้อย เขากล่าวตำหนิหยางไค่อย่างน่ารังเกียจ
มุมปากของหยางไค่แสะยิ้มด้วยความเย้ยหยัน แม้ว่าเขาจะเป็นคนนิสัยดี แต่เมื่อถูกผู้อื่นกล่าวตำหนิเย้ยหยันด้วยอารมณ์ที่เกลียดชัดอย่างต่อเนื่อง เขจะสามารถอดทนต่อไปได้อย่างไร ?
หล่างฉู่วเต่สัมผันได้ถึงความผิดปกติจากการทะเลาะของพวกเขา นางจึงกล่าวยุติอย่างกะทันหัน : เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน อย่าทะเลาะกัน หยางไค่ เจ้าคิดว่ามันคล้ายคลึงกับสิ่งใด
ดวงตาของหยางไค่ประกายด้วยความสดใสและกล่าว : พวกเจ้าไม่รู้สึกว่า เส้นสีแดงเหล่านั้นคล้ายคลึงกับเส้นเลือดที่อยู่ภายในร่างกายของพวกเรา ?
สิ่งนี้จำเป็นต้องกล่าวออกมาหรือไง ? ข้าดูมันออกตั้งแต่แรก !! หน่ายหย่งกล่าวเย้ยหยันอีกครั้ง
ดวงตาของหล่างฉู่วเต่ประกายด้วยความเข้าใจและจ้องมองหยางไค่ : เจ้าหมายความว่า ..
วิธีการเคลื่อนไหวของเส้นสีแดงเหล่านี้ น่าจะเป็นเคล็ดวิชาในการฝึกฝนวิชายุทธุ์ประเภทหนึ่ง!! หยางไค่กล่าวตอบด้วยความมั่นใจ
น่าขำยิ่งนัก . หน่ายหยงกล่าวโต้เถียง ทันใดนั้นตู่ยี่ฉางก้าวออกไปข้างหน้า 1 ก้าว ใบหน้าที่อ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่เยือกเย็น นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา : หุบปาก !!
หน่ายหย่งอึ้งไปชั่วขณะ และจ้องมองตู่ยี่ฉางด้วยความหวากลัว การที่เขาไม่ให้คำสนใจหรือกล่าวดูถูกเย้ยหยันหยางไค่เป็นพลังความแข็งแกร่งของหยางไค่ตำกว่าเขา แต่พลังความแข็งแกร่งของตู่ยี่ฉางสูงกว่าถึง 2 ขึ้น หากต้องเผชิญหน้ากัน หน่ายหยงคงไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับนางอย่างแน่นอน
อันเหลือบมองหน่ายหยงและกล่าวด้วยเสียงอึมครึม : เจ้ามันน่ารำคาญ !!
ไม่ใช่เพราะจ่อวอันต้องการช่วยเหลือหยางไค่แต่มันเป็นคำกล่าวที่เป็นความจริง
ทันใดนั้นใบหน้าของหน่ายหยงแดงก่ำในทันที เขาไม่คิดกลุ่มคนเหล่านี้จะมี 2 คนที่เข้าข้างหยางไค่ แม้ว่าในใจของเขาต้องการที่จะหาเรื่องหยางไค่แต่เขาไม่มีความกล้านั้น เขาจึงทำได้เพียงสงบปากสงบคำอยู่นิ่งๆ และจ้องมองหยางไค่ด้วยความโกรธแค้นและความเกลียดชังที่เพิ่มมากขึ้น
หล่างฉู่วเต่ทำเสมือนว่ามองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางสูดลมหายใจกำหินทารกที่อยู่ในมือและกล่าวด้วยเสียงต่ำ : หากพวกเจ้าทั้งหลายไม่มีข้อคิดเห็น ข้าต้องการที่จะทดสอบหินทารกนี้ หากมันเป็นอย่างที่หยางไค่กล่าว พวกเราต้องวางแผนบางอย่างซะก่อน
ทุกคนต่างเข้าใจความหมายของนางจึงพยักหน้าตกลง
หล่างฉู่วเต่จึงยิ้มด้วยความพึงพอใจ : พวกเจ้าปกป้องขณะที่ข้ากำลังทดสอบด้วย
หลังจากที่กล่าวจบ นางหลับตา เคลื่อนไหวพลังลมปราณเข้าสู่หินทารกที่อยู่ในมือของตนเอง
หลังจากนั้นไม่นาน หล่าวฉู่วเต่ลืมตาด้วยความประหลาดใจและยินดี เขาจ้องมองหยางไค่ด้วยความรู้สึกที่อึ้งในความสามารถ : เป็นอย่างที่เจ้ากล่าวไม่ผิด หินทารกซ่อนเร้นเคล็ดวิชาในการฝึกฝนวิชายุทธุ์
การแสดงออกของ 4 คนที่เหลือมีการเปลี่ยนแปลงในทันที
ข้ายังไม่ได้ตรวจสอบยังละเอียด จึงไม่รู้ว่าเคล็ดวิชาที่ซ่อนอยู่คือวิชาใด แต่ระดับของมันไม่ได้อยู่ในระดับตำ อย่างน้อยที่สุดมันเป็นเคล็ดวิชาขั้นปฐพีระดับกลาง !!
ภายในร่างกายของหินทารกมีเส้นสีแดงกว่า 30 เส้น นั้นหมายถึงผู้ฝึกฝนวิชายุทธุ์นี้ต้องใช้เส้นชีพจรลมปราณจำนวน 30 เส้นในการหนุนนำ หล่างฉู่วเต่กล่าวว่ามันอยู่ในขั้นปฐพีระดับกลาง แต่ในความเป็นจริงมันอาจจะอยู่ในขึ้นปฐพีระดับสูงก็เป็นได้
ในตอนนี้ไม่เพียงแต่พวกเขาทั้ง 3 สูดลมหายใจด้วยความถี่ที่มากขึ้น แม้แต่หยางไค่ยังรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
ตั้งแต่วันนั้น ในวันที่เผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่รุนแรงในหุบเขผลึกน้ำแข็งนพเก้า หยางไค่ตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าการที่เขาไม่สามารถเอาชนะผู้อื่นเป็นเพราะเขาขาดบางสิ่งบางอย่างไป
สิ่งที่ขาดหายไปคือเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้
ตัวเขาเองไม่มีเคล็ดวิชาการต่อสู้หรือกระบวนท่าในการโจมตีที่จะสามารถโจมตีออกไปด้วยมือเปล่า !! การโจมตีทั้งหมดพึงพอหยดน้ำพลังลมปราณหยางเพียงอย่างเดียว มันเป็นจุดด้อยที่ยิ่งใหญ่ของตนเอง
ความอดทนที่ไร้พ่ายเป็นเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่น่าอัศจรรย์ แต่มันไม่ใช่กระบวนท่าในการโจมตี มันเป็นเพียงเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่ช่วยเหลือเขาในยามที่เผชิญหน้ากับอันตรายเท่านั้น
ในขณะที่เขาอยู่ในหุบเขาผลึกน้ำแข็งนพเก้า หากตนเองมีกเคล็ดวิชากระบวนท่าในการโจมตีในขั้นปฐพี การต่อสู้คงไม่ยากลำบากเช่นนี้ แต่เพราะหยางไค่ไร้ซึ่งแต้มแห่งชัยชนะ ในสำนักฐานะของเขาค่อนข้างต่ำ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความสามารถที่จะแลกเปลี่ยนคัมภีร์แห่งเคล็ดวิชาการต่อสู้ในการฝึกฝนวิชายุทธุ์ของเขา
หากต้องการเคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับปฐพี อย่างน้อยต้องใช้แต้มแห่งชัยชนะ 400-500 แต้มในการแลกเปลี่ยน นอกจากนั้นเคล็ดวิชาการต่อสู้ยังมีความหลากหลายที่ค่อนข้างน้อย
แต่ตอนนี้ สถานที่แห่งนี้ปรากฏเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้
ในเมื่อรูปปั้น 1 รูปปรากฏหินทารกจำวน 1 ตัว ดังน้น รูปปั้นเหล่านี้ต้องมีหินทารกที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในเป็นจำนวนมากมายอย่างแน่นอน
เพราะสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยรูปปั้นที่มากกว่าร้อยตัว !!
เคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ขั้นปฐีพเป็นสามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาทั้งหมด
ในเวลานั้น หล่างฉู่วเต่คิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของตนเองในเวลานั้น หากตอนนั้นตนเองไม่ตัดสินใจทำลายรูปปั้นหินทั้ง 3 รูป พวกเขาคงไม่ได้พบเจอกับหินทารก และไม่มีทางรู้ว่ารูปปั้นหินนั้นซ่อนสมบัติที่มีค่าไว้ภายในอย่างมากมาย
พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร ? หล่างฉู่วเต่จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่ตื่นเต้น มุมปากของนางเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น แม้ว่านางกำลังอยู่ในระหว่างที่กล่าวถาม แต่นางทราบคำตอบของพวกเขาทุกคน
ทำลายมัน !! จ่อวอันค่อนข้างป่าเถื่อน เขากล่าวออกมาเพียงคำเดียวเท่านั้น
ในเมื่อภายในรูปปั้นหินซ่อนเร้นเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ ดังนั้นพวกเราไม่ควรที่จะพลาดมันไป ดวงตาของหน่ายหย่งประกายแพรวพราว เขากำลังรู้สึกถึงความตื่นเต้น : สมแล้วที่เป็นสถานที่แห่งมรดกของยอดฝีมือแห่งบรรพกาล เพียงย่างกรายเข้ามาไม่เท่าไหร่ กลับพบเจอกับเรื่องที่น่ายินดีเช่นนี้
หยางไค่และตู่ยี่ฉางพยักหน้าในทันที
ดี ในเมื่อทุกคนต่างเห็นด้วย งั้นเรามาแสดงความสามารถของตนเองสักหน่อย !! หล่างฉู่วเต่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน : หินทารกรูปนี้ ข้าจะเก็บมันไว้ก่อน หากเรารวบรวมได้จำนวนหนึ่ง เราค่อยมาแบ่งกัน วางใจ ข้าจะไม่เห็นแก่ตัวในการตรวจสอบเคล็ดวิชาที่ซ่อนอยูภายในของมันอย่างแน่นอน
ศิษย์พี่หล่าง ข้าเชื่อท่าน หน่ายหยงรีบแสดงความจงรักภักดิ์ดี เมื่อกล่าวจบเขาหันหน้าไปมองคนอื่นๆ : ในหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ศิษย์พี่หล่างเป็นคนที่มีชื่อเสียงกว้างไกล ในตอนนี้ให้นางดูแลหินทารกรูปปี้ไปก่อน นางไม่มีวันโกหกพวกเจ้าอย่างแน่นอน
เมื่อกล่าวเช่นนี้ จ่อวอันและตู่ยี่ฉางไม่มีข้อคัดค้รน นอกจากนั้น นอกจากวิธีการนี้มันไร้ซึ่งวิธีการอื่นๆที่ดีกว่านี้ เพราะอย่างไรหินทารกก็มีเพียง 1 รูปเท่านั้น
เมื่อตัดสินใจเห็นพ้องกัน เวลาต่อมาพวกเขาจึงปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไร
ความสามารถของรูปปั้นหินพวกเขาเห็นประจักษ์ด้วยสายตาของตนเอง รูปปั้นเหล่านี้จากพละกำลังในการต่อสู้มันแข็งแกร่งกว่าพวกเขาที่อยู่ตรงนี้ทั้งหมด ความโดดเด่นของมันมองเห็นอย่างชัดเจน การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและพละกำลังที่มากมายมหาศาล !! อย่าให้มันโจมตีมาถึงตัวอย่างเด็ดชาด !!
แต่จุดด้อยก็สามารถมองเห็นไดอย่างชัดเจน มันไร้ซึ่งความคิด เพียงการวิ่งอ้อมเสาหินก็สามารถสละการไล่ล่าจากพวกมันและพวกมันยังปฏิกิริยาตอบสนองที่เชื่องช้า
เมื่อพบเจอกับจุดด้อยเช่นนี้ และยังมีประสบการณ์ในการต่อสู้ ในที่สุดแผนการโจมตีที่วางแผนไว้ก็ได้เสร็จสิ้น
จะมีคนหนึ่งที่ล่อรูปปั้นหินให้ออกมา จากนั้นคนที่เหลือจะหาโอกาสโจมตีรูปปั้นหิน 1 หรือ 2 ตัวตามลำดับ โจมตีด้วยพลังกำลังทั้งหมด เพื่อทำลายรูปปั้นหินให้เร็วที่สุด
ปัญหามาตามมาอีกครั้ง
ใครจะเป็นตัวล่อรูปปั้นออกมา ? มันเป็นคำถามที่ตรงไปตรงมา เพราะคนที่ล่อรูปปั้นหินออกมาต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตรายอย่างมาก รูปปั้นหินกว่าร้อยตัวไล่ล่าเข้ามาพร้อมๆกัน หากไม่ระวังหรือเกิดข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจจะต้องสูญเสียชีวิตอยู่ในถ้ำแห่งฟ้าสวรรค์ทันที
ทุกคนต่างทราบดีว่าหน้าที่นี้มีความเสี่ยงที่หมายถึงชีวิตของตนเอง พวกเขาจ้องมองซึ่งกันและกัน ไม่มีใครสักคนที่กล่าวออกมา
หลังจากนั้น หน่ายหย่งจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่รังเกียงและกล่าว : หากเป็นการโจมตีรูปปั้น ต้องให้ผู้ที่มีพลังความแข็งแกร่งมากที่สุด ดังนั้นการล่อรูปปั้นหินออกมา ควรเป็นคนที่มีพลังความแข็งแกร่งที่อยู่ในระดับต่ำที่สุด หากเลือกเส้นทางในการวิ่งหนี้ให้ดี แม้ว่าความเร็วในการวิ่งจะช้าก็สามารถละทิ้งการไล่ตามของรูปปั้นหินได้ เมื่อสักครู่ข้ามองเห็นความเร็วของศิษย์น้องหยางไม่เลว ศิษย์น้องหยางรับหน้าที่เป็นผู้ล่อรูปปั้นหินออกมาดีไหม ?
หยางไค่หัวเราะเสียงดัง : ได้ซิ !!
หยางไค่ . ตู่ยี่ฉางดึงเสื้อของหยางไค่เบาๆ เมื่อสักครู่นางถูกรุปปั้นหินทั้ง 2 รูปล่าไล่โจมตี หยางไค่ก็อยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลา แต่ในตอนนี้หยางไค่กำลังเต็มใจที่จะรับหน้าที่นี้ ทำให้นางไม่ต้องการที่จะให้หยางไค่สัมผัสกับสิ่งที่นางไดพบเจอ
ไม่เป็นไร หยางไค่กล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ
หล่างฉู่วเต่เหลือบมองหยางไค่ และกล่าวด้วยความประหลาดใจ : เจ้ามั่นใจว่าสามารถรักษาชีวิตของตนเองให้ปลอดภัยจากการไล่ล่าของรูปปั้นหิน ? หากว่าเจ้าไม่มั่นใจอย่านำชีวิตของเจ้าไปเสี่ยง ข้าจะรับหน้าที่เป็นผู้ล่อรูปปั้นหินเอง เรื่องที่เป็นอันตรายถึงชีวิตไม่ควรจะให้เจ้าไปทำเพียงคนเดียว
ไม่เชื่อมั่นว่าจะสำเร็จ แต่ไม่มีทางที่จะทำให้มันล้มเหลว หยางไค่กล่าวตอบ