ตอนที่ 119 กลับสำนัก
ตอนที่ 119 กลับสำนัก
พวกเขาเป็นกลุ่มคนของนิกายโลหิตและหอวายุพิรุณ หยางไค่กล่าวด้วยความใบหน้าที่โหดเหี้ยม และเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนั้นให้แก่เม้งวู่หยา แต่เรื่องราวที่เขาเขาเพียงคนเดียวสามารถเอาชนะกลุ่มคนของนิกายโลหิตและหอวายพิรุณ เขาไมกล่าวมันออกมา เพราะมันค่อนข้างที่จะเหนือธรรมชาติเสมือนเรื่องโกหก แม้ว่าเขาจะกล่าวพูดออกไป เม้งวู่หยาก็ไม่มีทางเชื่อคำพูดของเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นการไม่กล่าวบอกจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
เม้งวู่หยาที่นั่งัฟังเรื่องราวทั้งหมดเริ่มสั่นเทาด้วยความโกรธ
ผ่านอีกชั่วครู่ หยางไค่จึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดจนเสร็จสิ้น
เม้งวู่หยาพยักหน้าและกล่าวถาม : นั่นหมายความว่า เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากเจ้า และคนที่วางแผนสั่งการคือหล่งฮุ่ยใช่ไหม ?
อืม ข้าทำให้ศิษย์พี่ตัวน้อยต้องได้รับเดือดร้อนไปด้วย หยางไค่พยักหน้ายอมรับ
แม้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นจากตัวเจ้า แต่เจ้าไม่ใช่คนผิด นอกจากนั้นเซี่ยหนิงฉางไม่ได้รับบาดเจ็บ เจ้าไม่ต้องคิดมาก
เม้งวู่หยากล่าวปลอบโยน จากนั้นเขาจึงหัวเราะเบาๆ : นิกายโลหิต หล่งไจ้เทียน !! ข้าจะจำมันไว้ !!
เมื่อมองเห็นดวงตาของเม้งวู่หยาประกายด้วยภัยอันตราย ทันใดนั้นหยางไค่ทราบในทันทีว่าหล่งไจ้เทียนต้องพบเจอกับเรื่องที่เดือดร้อนและลำบากอย่างแน่นอน
ความเป็นมาและพลังความแข็งแกร่งของเม้งวู่หยา หยางไค่มองไม่ออก เดาไม่ถูก แต่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าชายชราคนนี้ไม่ใช่คนธรรมาดาอย่างแน่นอน หากเม้งวู่หยาเข้าไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่หล่งไจ้เทียน มันทำให้หยางไค่รู้สึกสนุกสนาน แต่ยังไม่สะใจอย่างที่ใจต้องการ
หยางไค่เชื่อเสมือว่าแค้นของตนเองต้องได้รับการแก้แค้นด้วยตนเองถึงจะสามารถคลายปมความแค้นในใจให้หายไป หากหล่งไจ้เทียนตายอยู่ในมือของเม้งวู่หยา เขาจะไม่สามารถคลายปมความแค้นที่อยู่ในใจของเขาเสมอมา
แต่หากมันเกิดขึ้นจริง หยางไค่จะไม่ห้ามปราม ในครั้งนี้เม้งวู๋หยาคงจะโกรธเคืองอย่างรุนแรง ภายในจิตใจเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง มันต้องได้รับการปลดปล่อยให้เร็วที่สุด
พวกเขาอยู่ในโรงเตี้ยมอีก 2 วัน ในที่สุดเซี่ยหนิงฉางก็ออกมาจากการบ่มเพาะพลังลมปราณแท้จริงของตนเอง เป็นอย่างที่นางคาดการณ์เอาไว้ พลังความแข็งแกร่งของนางทะยานเข้าสู่เขตแดนลมปราณแท้จริง
จากหลักวิชา ผลึกน้ำแข็งนพเก้าเพียง 1 ชิ้น สามารถแบ่งใช้ได้กับผู้ฝึกยุทธุ์จำนวน 3 คน เพราะมันเป็นเพียงตัวสมบัติแห่งฟ้าสวรรค์ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงพลังลมปราณให้กลายเป็นพลังลมปราณแท้จริงที่บริสุทธุ์และแข็งแกร่ง
แต่เพราะผลึกน้ำแข็งนพเก้าเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดและน่าอัศจรรย์ หลังจากที่ได้ครอบครองมันต้องปรุงกลั่นหลอมละลายใน 1 ชั่วยามไม่เช่นนั้นมันจะอันตราธานหายไป ดังนั้นหากคนทั่วไปได้รับมัน พวกเขาจะใช้มันเพียงคนเดียวเท่านั้น
เมื่อทราบถึงจุดนี้ ทำให้หยางไค่ผ่อนปรนความหวาดกลัวในจิตใจ เพราะเขาดูดซับพลังของผลึกน้ำแข็งนพเก้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่ได้เป็นอุปสรรค์ต่อการบ่มเพาะพลังลมปราณแท้จริงของเซี่ยหนิงฉาง
และในตอนนี้ พลังครึ่งหนึ่งของผลึกน้ำแข็งนพเก้าซ่อนอยู่ในกระดูกทองคำของเขา และไม่ได้หายไปอย่างที่นางกล่าวบอกเอาไว้
อาการบาดเจ็บและบาดแผลของหยางไค่เริ่มหายดี เซี่ยหนิงฉางก้าวเขตแดนของตนเอง ดังนั้นพกวเขาทั้ง 3 คนจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ในโรงเตี้ยมอีกต่อไป พวกเขาทั้ง 3 รีบเก็บสัมภาระและเดินทางกลับหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวในทันที
หยางไค่ถูกเหรัญญิกเม้งหิ้วบินลอยกลับมา ระหว่างทางเข้าต้องปะทะกับลมตลอดเวลา ทำให้ศีรษะของเขาค่อนข้างวิงเวียน
หลังจากที่กลับมาถึงหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว หยางไค่กล่าวอำลาต่อเม้งวู่หยาและเซี่ยหนิงฉางและเดินทางกลับกระท่อมไม้ของตนเอง
หยางไค่ไม่ได้เข้ามาอยู่ในกระท่อมเกือบ 20 วัน แต่ภายในกระท่อมไม้ของเขายังคงสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ระยะเวลาที่เขาไม่อยู่ดูเหมือนว่าหลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆมาช่วยทำความสะอาดกระท่อมไม้ให้แก่เขา
หลายวันต่อมา หยางไค่ใช้ชีวิตปกติของเขาอย่างเงียบสงบ เขาฝึกฝนวิชายุทธุ์บ่มเพาะพลังของตนเองทุกวัน เพื่อรักษาเสถียรภาพเขตแดนในปัจจุบันของตนเอง
แต่ในบางเวลาขณะที่เขาไม่ได้ฝึกยุทธุ์ ดวงตาของเขาจะมองหาเงาร่างของศิษย์พี่ตัวน้อยที่สง่างาม เพราะนางเป็นหญิงสาวคนแรกที่เขาเคยจูบ ความรู้สึกหอมหวานอ่อนละมุนยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงความคิดและความรู้สึกและมันยังชัดเจนทุกครั้งที่นึกถึง
แต่นับตั้งแต่ที่พวกเขากลับมา เซี่ยหนิงฉายังไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าเขาแม้แต่คราเดียว
ราวกับว่านางลืมสัญญาของพวกเขาทั้ง 2 ในค่ำคืนนั้นโดยสิ้นเชิง
ค่ำคืนนั้น ภายในหุบเขา ก่อนที่หยางไค่จะปล่อยให้นางฟื้นฟูพลังและเดินจากนางไป เขากล่าวคำสัญญาไว้อย่างชัดเจน หากเขามีชีวิตรอดกลับมา เซี่ยหนิงฉางต้องรับปากความปรารถนาของเขา 1 ข้อ
ในเวลานั้นหยางไค่เพียงหาเหตุผลให้ตนเองมีชีวิตรอดกลับมา โดยไม่มีความคิดอะไรที่ลึกซึ้ง
แม้ว่าหยางไค่จะรู้สึกผิดหวัง แต่เขาไมได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มาก
จูบนั้น เป็นเพราะนางต้องกลืนกินผลึกน้ำแข็งนพเก้า แม้ว่าตอนนั้นพวกเขาทั้ง 2 จะเกิดอารมณ์ความรู้สึก แต่มันไมได้แสดงให้เห็นอะไรมาก พวกเขาทั้ง 2 เป็นเด็กหนุ่มและเด็กสาว เลือดของพวกเขากำลังอยู่ในวัยที่พลุ่งพล่าน ภายใต้สภาพแวดล้อมของหุบเขาเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะปราบปรามความรู้สึกของตนเอง
หยางไค่ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองต้อยต่ำกว่าเซี่ยหนิงฉางเนื่องจากช่องว่าเขตแดนที่แตกต่างกัน พลังความแข็งแกร่ง เพียงแค่ขยันอดทนในการฝึกฝน มันต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่องๆ หยางไค่เชื่อว่าสักวันหนึ่ง พลังความแข็งแกร่งของเขาจะเหนือกว่าศิษย์พี่ตัวน้อยของเขาและเหนือกว่าศิษย์ในรุ่นเดียวกันทุกคน
เพราะมีกระดูกทองคำ ที่สามารถทำลายขีดจำกัดของการบ่มเพาะพลังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ความรู้สึกไม่ใช่สิ่งที่หยางไค่ต้องครุ่นคิดในเวลานี้ หากมันเป็นของตนเองมันจะกลายเป็นของตนเอง หากว่าไม่ใช่ของตนเอง แม้ว่าจะพยายามแย่งชิงก็ไม่มีทางเป็นของตนเอง ปล่อยให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นไปกฎและวิถีของธรรมชาติ
หากว่าเซี่ยหนิงฉางมีความรู้สึกต่อเขา แม้ว่าเขาจะอยู่ในเขตแดนระดับต่ำมันก็ไม่มีความสำคัญใดๆ หากว่านางจากตนเองไปเพราะเขตแดนของตนเองอยู่ในระดับต่ำ หยางไค่คงไม่มีอะไรจะพูดและไม่มีสิ่งใดจะรั้ง คนอืนๆดูดหมิ่นดูถูกตนเอง หรือต้องโทษที่มาตรฐานสายตาของพวกเขาสูงเกินไป ?
แต่ด้วยนิสัยที่เรียบง่ายและอ่อนโยนของนาง นางคงไม่ใช่คนประเภทนั้นอย่างแน่นอน
ประเด็นนี้หยางไค่ได้คิดไตร่ตรองได้ถูกต้อง หลังจากที่กลับมายังหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว นางรู้สึกอับอายจนไม่กล้าที่จะไปพบกับหยางไค่ เมื่อหวนคิดถึงรอยจูบและอารมณ์ในค่ำคืนนั้น ทำให้นางรู้สึกอับอายอย่างมาก แม้ว่าจะสวมใส่ผ้าคลุมหน้า นางก็ไม่กล้าที่จะสู้หน้าที่จะปรากฏตัวต่อหน้าหยางไค่อีกครั้ง
นอกจากนั้น ทันทีที่กลับมาถึงหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว เม้งวู่หยาสั่งให้นางปิดกั้นตนเองเพื่อบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว หากเป็นคำกล่าวที่สวยหวานคือกต้องการให้พลังความแข็งแกร่งของนางอยู่ในระดับที่สูงขึ้นเพื่อก้าวไปยังเขตแดนที่สูงยิ่งขึ้น แต่ในความเป็นจริงเม้งวู่หยากลัวว่าเซี่ยหนิงฉางและหยางไค่จะเริ่มใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งขึ้นดังนั้นจึงเป็นการแยกพวกเขาออกจากกันอย่างเด็ดขาด
มิฉะนั้นจากลักษณะนิสัยของนาง ไม่ว่าอย่างไรนางต้องมาถามไถ่อาการบาดเจ็บของหยางไค่ว่าเป็นเช่นไรอย่างแน่นอน
หลังจากที่ฝึกฝนวิชายุทธุ์เป็นเวลา 2 วัน หยางไค่ไม่พึงพอใจกับผลลัพธุ์ที่เขาได้รับ
การดูดซับพลังหยางจากคุกคุมขังมังกรเพื่อก่อกำเนิดเป็นหยดน้ำพลังลมปราณหยางค่อนข้างที่จะช้า มันเทียบไม่ได้กับความรวดเร็วในการดูดซับพลังหยางจากการกินผลไม้สามสุริยัน
หยดน้ำพลังลมปราณหยางในจุดตันเถียนเหลือเพียงน้อยนิด มันต้องได้รับการเติมเต็มให้เร็วที่สุด มิฉะนั้นหากได้พบเจอกับการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่เช่นค่ำคืนนั้น ตัวเขาเองจะได้รับความลำบากและตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
เมื่อคิดเช่นนี้ หยางไค่ตัดสินที่จะไปยังสมาคมการค้าใต้ดินวายุทะมึน ประการแรกเพื่อซื้อสิ่งของที่สามารถฝึกฝนหยดน้ำพลังลมปราณหยาง ประการที่ 2 เพราะเขาต้องการดอกสามใบเถาและต้นหญ้าสลายวิญญาณ เพราะกระถางธูปไม่ได้ใช้เป็นเวลานานมาก
สำหรับเงินตรา หยางไค่มีอยู่ไม้น้อย และเขาไม่ใช่คนยากจนในอดีตอีกต่อไป
เงินตราเหล่านี้ถูกรวบรวมมาจากร่างศพของกลุ่มคนแห่งนิกายโลหิต ในเวลานั้นค่อนข้างมืด หยางไค่ไม่ได้นับเงินเหล่านี้อย่างละเอียด เมื่อกลับมายังหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว เขาได้ตรวจตราและนับเงินเหล่านี้อย่างละเอียด และพบว่ากลุ่มคนเหล่านั้นค่อนข้างที่มั่งมี
เขาค้นหาในร่างศพของพวกเขาเพียงไม่กี่คน แต่กลับได้เงินตราประมาณ 22,000 ชั่ง
เงินตราที่มากมายเหล่านี้สามารถซื้อหินพลังหยางเกือบ 40 ก้อน มันเพียงพอที่จะทดแทนหยดน้ำพลังลมปราณหยางที่เขาสูญเสียไป และมันอาจจะได้มากกว่านั้นหลายเท่า
ในขณะที่หยางไค่เดินเข้าไปในสมาคมใต้ดินาวายุทะมึนหลายชั่วยาม เม้งวู่หยาที่เต็มไปด้วยกลินอายแห่งความต้องการฆ่าที่หนักหน่วงเริ่มออกเดินทางเช่นกัน
เป้าหมายของเขา คือนิกายโลหิต !!
แม้ว่านิกายโลหิตจะเป็น 1 ใน 3 มหาอำนาจในพื้นที่บริเวณแห่งนี้ แต่เม้งวู่หยาจะหวาดกลัวพวกเขาได้อย่างไร ? ศิษย์รักของตนเองตกอยู่ในอันตรายจากการถูกไล่ฆ่าจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ความแค้นนี้ไม่อย่างไรก็ต้องเอาคืนให้สาสม
หล่งฮุยตายไปแล้วจะทำไม ! เขายังมีปู่ทของเขาอีกคน ? ถ้าหากไมได้รับการปกป้องหรือให้ท้ายจากเขา หล่งฮุยเพียงคนเดียวจะทะเยอะทะยานบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ?
ดังนั้นสำหรับเม้งวู่หยา หล่งไจ้เทียนน่ารังเกียจยิ่งกว่า !! และสมควรตายยิ่งกว่าหล่งฮุ่ย!!
ระยะทางระหว่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวและนิกายโลหิตอยู่ห่างกันไม่มาก ความเร็วของเม้งวู่หยาเร็วยิ่งกว่าลมวายุเสยอีก ระยะเวลาเพียงชั่วครู่เขาก็มาถึงใจกลางหอชุมนุมแห่งนิกายโลหิต
ในเวลานี้ กลุ่มคนระดับสูงของนิกายกำลังหารือพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ
ภายในหอชุมนุมแห่งนิกายโลหิต หู่หมั่นประมุขแห่งนิกายโลหิตนั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำแหน่ง ส่วนคนอื่นๆ กำลังโค้งตัวจนหลังแทบจะงอ ใบหน้าของพวกเขาซีดขาว เพียงพริบตาก็สามารถรู้ได้เลยว่าเขาไม่ใช่คนมีเมตตาสักเท่าไหร่
ทางฝั่งด้านล่างของหู่หมั่น ผู้นำของนิกายโลหิตและคนอื่นๆกำลังร่วมกันกล่าวรายงานเรื่องราวน้อยใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา เช่นพวกค่าใช้จ่าย กำไร ดอกเบี้ยที่ได้รับเป็นต้น
หู่หมั่นค่อยข้างที่จะอึดอัดใจ เขาโบกมือและกล่าว : ไม่ต้องกล่าวรายงานเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ การทำลายตราผนึกที่อยู่บริเวณเหมืองแร่เป็นอย่างไร ?
ชายหนุ่มวัยกลางอายุประมาณ 27-28 ปีลุกขึ้น ทำความเคารพแก่หู่หมั่นและกล่าว : กล่าวรายงานต่อท่านประมุข ทางด้านท่านปู่เริ่มมีเค้าโครงรูปร่างขึ้นมาบ้าง แต่เพราะภายในนิกายมียอดฝีมือที่ไม่มาก ตราผนึกมีระยะเวลาที่เนินนาน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลายมัน หลายวันก่อนท่านปู่ได้ส่งสารเรื่อ่งนี้ให้แก่หล่งจ้วน ให้ข้ากล่ารายงานต่อท่านประมุขว่า พวกเขากำลังพยายามทำลายผนึกนั้นอย่างสุดกำลัง เพือทำลายตราผนึกนั้นให้เร็วที่สุด
ชายหนุ่มคนนี้ คือหลายชายคนโตของหล่งไจ้เทียน พี่ชายของหล่งฮุ่ย หล่งจ้วน การบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งอยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 2 แม้ว่าความสามารถของเขาไม่อาจเทียบกับอัจฉริยะแห่งฟ้าสวรรค์ แต่ความสามารถของเขาก็ถือว่าไม่เลว
เพราะตำแหน่งของตระกูลหล่งในนิกายโลหิตอยู่ในระดับสูง ดังนั้นแม้ว่าหล่งจ้วนจะอยู่นเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 2 แต่ภารกิจหน้าที่ที่เขาได้รับมอบเป็นภารกิจหน้าที่ที่สำคัญ เพราะเขาเป็น 1 ในผู้นำของนิกายโลหิต
หู่หมั่นพยักหน้า : อืม เป็นเช่นนี้ก็ดี หล่งจ้วนหากเจ้าพอมีเวลา ให้ไปที่เหมืองแร่เพื่อไถ่ถามสารทุกข์สุขของท่านปู่เจ้าแทนข้าด้วย
ขอรับ!!
และไม่รู้ว่าตราผนึกนั้นมีสิ่งลึกลับหรือสิ่งมหัศจรรย์ไว้ซ่อนอยู่ภายใน เพราะมันฝังอยู่ในพื้นดินเกือบ 10 จ้าง ทันใดนั้นผู้นำคนหนึ่งของนิกายโลหิตได้กล่าวออกมาอย่างกะทันหัน
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นต้องขอบใจคุณหนูเหม่ยเออที่มีสายตาที่แฉบแหลม หากนางไม่กล่าวบอกว่ารอบๆบริเวณเหมืองแร่มีสิ่งผิดปกติซ่อนอยู่ภายใน พวกเราคงจะไม่มีใครทราบถึงเรื่องนี้
ใช่ใช่ใช่ แม้ว่าคุณหนู่เหม่ยเอ่ออายุยังน้อย แต่ดวงตาของนางวิเศษยิ่งกว่าใคร ข้าไม่รู้เลยว่านางสามารถมองเห็นความผิดปกติได้อย่างไร
เมื่อได้ยินเสียงกล่าวชื่นชมสรรเสริญหู่เหม่ยเอ่อ แม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยความประจบประแจงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มันก็ทำให้หู่หมั่นรู้สึกสบายใจ แต่เมื่อคิดสถานะของหู่เหม่ยเอ่อที่เป็นหญิงสาว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องแต่งงานออกจากนิกายโลหิต มันจึงทำให้หู่หมั่นอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
มันน่าเจ็บใจยิ่งนัก ตนเองเป็นคนที่เฉลียวฉลาด มีความสามรถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง มีนางสนมจำนวนมากมาย แต่ทำไมถึงมีบุตรตรีเพียง 2 คน ? เรื่องนี้เป็นจุดอ่อนของหู่หมั่น เขาไร้ซึ่งบุตรชาย และไม่สามารถที่จะสืบทอดตระกูลของเขาต่อไป
คนเหล่านั้นยังกล่าวสรรเสริญหู่เหม่ยเอ่อ จนหู่เหม่ยเอ่อจะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอยู่แล้ว
หู่หมั่นรู้สึกไม่มีความสุข
เมื่อกล่าวถึงประเด็นนี้มันค่อนข้างที่จะแปลก บริเวณเหมืองแร่ถูกพบมานานหลายปี ก้อนหินพลังหยินและพลังงานหยานที่พวกเขาขูดออกมาจากเหมืองแร่ทำกำไรให้แก่นิกายโลหิตอย่างมาก หลายปีที่ผ่านมานิกายโลหิตขยายตัวใหญ่รวดเร็ว และส่วนใหญ่มากจากการทำเหมืองแร่นี้
แต่ไม่มีใครรู้ว่า ในบริเวณตำแหน่งประมาณ 10 จ้างที่ห่างจากเหมืองแร่ กลับมีสิ่งลึกลับจำนวนมากมายซ่อนอยู่ภายใน
เมื่อสองเดือนก่อน บุตรีคนเล็กของหู่หมั่นหู่เหม่ยเอ่อได้กล่าวบอกเรื่องนี้ให้แก่เขาอย่างกะทันหัน ขณะที่เขาหัวเราะและคิดว่าเรื่องที่นางกล่าวเป็นเรื่องที่ไร้สาระ
แต่เพราะความดื้อดึงของหู่เหม่ยเอ่อที่รบเร้าหู่หมั่นให้ไปตรวจสอบ เขาจึงต้องไปตรวจสอบอย่างไม่เต็มใจ และให้คนของเขาขูดดินบริเวณตำแหน่งที่หู่เหม่ยเอ่อกล่าวบอกแก่ตนเอง
แม้ว่าหู่เหม่ยเอ่อจะกล่าวบอกเรื่องนี้อย่างชัดเจนให้แก่หู่หมั่น แต่เรื่องนี้ไม่ควรให้คนแห่งตระกูลหล่งทราบ แต่หู่หมั่นไมได้ใส่ใจถึงเรื่องนี้ เขานึกว่าบุตรีของเขากำลังดึงดูดความสนใจของเขาและก่อเรื่องที่ไม่ดีไว้ นอกจากนั้นบริเวณอาณาเขตเหมืองแร่ยังเป็นการบริหารภายใต้คนแห่งตระกูลหล่ง ดังนั้นหู่หมั่นจึงไม่ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้คนเดียว
เดิมทีเหมืองแร่คือการขูดดินออกจากพื้นดิน ตำแหน่งที่หู่เหม่ยเอ่อกล่าวบอกแก่เขาก็ไม่ได้ไกลจากเหมืองแร่มากนัก หลังจากที่ศิษย์แห่งนิกายโลหิตประมาณ 10 คนใช้เวลาในการขูดบริเวณนี้กว่า 10 ววัน พวกเขาพบว่าบริเวณนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ
บริเวณแห่งนั้นเต็มไปด้วยตราผนึก เมื่อเหล่าศิษย์ทราบถึงเรื่องนี้ พวกเขารีบกล่าวรายงานต่อเบื้องสูงทันที
หลังจากที่หู่หมั่นได้รับข่าว เขารีบเดินทางไปตรวจสอบด้วยตนเอง เขาไม่เข้าใจตราผนึกเหล่านี้ และไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด
ภายในนิกายโลหิต หล่งไจ้เทียนเป็นผู้อาวุโสมาที่สุด ประสบการณ์ของเขาโชกโชนมากที่สุด นอกจานั้นเขาทราบถึงเรื่องนี้ ดังนั้นหู่หมั่นจึงสั่งการให้เขารับผิดชอบทำลายตราผนึกนี้ เพื่อดูว่ามีสิ่งใดที่ซ่อนอยู่ภายใต้ตราผนึก
หู่หมั่นรู้สึกว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ตราผนึก ต้องเป็นความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ หากนิกายโลหิตสามารถค้นหาความลับที่แท้จริงของตราผนึก อำนาจของเขาต้องทะยานขึ้นสูงแม้ว่ามันไม่สามารถเทียบได้กับ 8 ตระกูลที่สืบทอดนิกายโลหิตต่อกันมา แต่ยังน้อยมันจะทำให้เขาสามารถยืนหยัดในตำแหน่งที่เท่าเทียมกับพวกเขา
หู่หมั่นรู้สึกโกรธตัวเอง ตอนนั้นหู่เหม่ยเอ่อกล่าวตักเตือกนเขาตลอดว่าเรื่องนี้ต้องทำเป็นความลับอย่าปล่อยให้คนแห่งตระกูลหล่งรับรู้เป็นอันขาด แต่เพราะเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ ดังนั้นผู้นำทุกคนของนิกายโลหิตต่างรับรู้มันอย่างชัดเจน
ในวันนั้นหลังจากที่กลับมาจากเหมืองแร่ หู่หมั่นรีบไปหาหู่เหม่ยเอ่อ เพื่อไถ่ถามว่านางรู้ได้อย่างไรว่าภายใต้อาณาเขตบริเวณเหมืองแร่มีความลับของตราผนึกซ่อนอยู่ภายใน
สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือ หู่เหม่ยเอ่อทะเลาะกับเขาอย่างใหญ่โต ภายใต้การทะเลาะที่วุ่นวาย หู่หมั่นจึงรู้ว่า บุตรีของตนเองได้รับคำแนะนำจากยอดฝีมือ เพราะยอดฝีมือท่านนั้นเป็นคนกล่าวบอกความลับนี้ให้แก่หู่เหม่ยเอ่อ
แต่เป็นเพราะตนเองไม่ใส่ใจไม่สนใจ ทำลายความตั้งใจของยอดฝีมือท่านนั้น เพราะยอดฝีมือท่านนั้นไม่ต้องการให้คนแห่งตระกูลหล่งทราบถึงความลับนี้
บุตรีของข้า เขาเป็นยอดฝีมือคนไหนกัน หู่หมั่นรู้สึกเคารพยอดฝีมือคนนั้นอย่างลึกซึ้ง เขาสามารถมองเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นกิน ยอดฝีมือคนนี้ต้องมีพลังความแข็งแกร่งอยู่ในระดับที่สูงส่งอย่างแน่นอน
ในความคิดของหู่หมั่น ยอดฝีมือท่านนั้นต้องมีพลังความแข็งแกร่งที่สะเทือนสวรรค์สะเทือนโลกอย่างแน่นอน
เขาเป็นยอดฝีมือเช่นไร ? ตอนนั้นขณะที่หู่เหม่ยเอ่อกำลังกล่าอธิบายถึงรูปลักษณ์ของยอดฝีมือ ใบหน้าของนางกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ นางเหลือบมองท่านพ่อของตนเองและกล่าว : ข้าไม่บอกท่านพ่อ !!
เมื่อมองเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ของนาง หู่หมั่นอึ้งไปชั่วขณะ ในใจเขาคิดว่าบุตรีของตนต้องมรความรู้สึกต่อยอดฝีมือท่านนั้นอย่างแน่นอน ?
หลังจากที่สอบถามได้สักครู่ หู่หมั่นประหลาดใจจนอึ้งไปชั่วขณะ
ยอดฝีมือท่านนี้ เป็นเพียงชายหนุ่มอายุน้อย หากเป็นคนประเภทนี้ ชาติกำเนิดของเขาจะเป็นอย่างไร ?
บุตรีของข้า เจ้าชอบเขาใช่ไหม ? หู่มั่นกล่าวถามด้วยความมั่นใจ จากสายตาของเขา บุตรีของข้าต้องแต่งงานและออกจากอ้อมกอดของเขา แต่นางจะแต่งงานกับใครเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากนางสมรสกับ 8 ตระกูลใหญ่แห่งนิกายโลหิต นิกายโลหิตก็จะสามารถทะยานขึ้นสู่ความก้าวหน้าเสมือนหงสาที่สง่างาม
แต่ชายหนุ่มที่มีสายตาที่สูงส่งคงไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
ข้าชอบเขาแล้วจะทำไม ? หู่เหม่ยเอ่อถอนหายใจเบาๆ