ตอนที่ 94 ผนึก
ตอนที่ 94 ผนึก
จากการเคลื่อนไหวของเซี่ยหนิงฉาง พลังหยินที่อยู่ในหุบเขาทั้งหมดต่างมีปฏิกิริยาตอบสนอง เมื่อมองลงไปที่หุบเขาด้านล่างจะดูเหมือนหม้อที่เต็มไปด้วยน้ำเดือด เสมือนว่าพลังหยินนั้นมีชีวิตและกำลังเคลื่อนไหวพลิกไปมาภายในหุบเขาอย่างไม่หยุด ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกตื่นตะลึงและหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
แย่แล้ว !! เหวินเฟยเฉินตะโกน แม้ว่าเขาไม่ทราบว่าเซี่ยหนิงฉางกำลังทำอะไร แต่ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือในเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 5 เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่สงผลดีต่อพวกเขา
หญิงสาวคนนี้ต้องสร้างค่ายกลในหุบเขาแห่งนี้อย่างแน่นอน และตอนนี้นางกำลังเคลื่อนไหวค่ายกลที่ลึกลับของนาง
หานางสามารถเปิดใช้งานค่ายกลที่เขาไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด สถานการณ์ในตอนนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
โจมตีให้เร็วยิ่งขึ้น !! ทำลายม่านแสงป้องกันนี้ให้ได้ !! เหวินเฟยเฉินตะโกนด้วยความโกรธ ก่อนที่เซี่ยหนิงฉางจะประสบความสำเร็จในการเปิดใช้งานค่ายกลลึกลับเขาต้องจับกุมตัวนางให้ได้ก่อน มิฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้มิอาจที่จะคาดเดา
พวกเจ้าเข้ามาให้หมด ไม่เช่นนั้นฆ่าจะฆ่าพวกเจ้าในตอนนี้ เหวินเฟยเฉินตะโกนเรียกศิษย์แห่งหอวายุพิรุณที่ยืนอยู่ข้างๆ
นู่วหล่างและคนอื่นๆจะกล้าขัดขืนได้อย่างไร เดิมทีการต่อสูที่หนักหน่วงเช่นนี้ไม่จำเป็นที่พวกเขาจะเข้าร่วม พวกเขาต่างทราบอย่างชัดเจน พวกเขาจึงยืนอยู่ข้างๆและจ้องมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อมีคำสั่งของเหวินเฟยเฉิน พวกเขาต้องเข้าร่วมการต่อสู้โดยที่มิอาจจะขัดขืนได้
แม้ว่าศิษย์แห่งนิกายโลหิตจะมีการพลังการโจมตีที่อ่อนแอ แต่หากพลังเหล่านี้รวมตัวกันมันอาจจะสามารถทำลายม่านแสงแห่งเกราะป้องกันนี้ได้
พวกเขาทั้งหมด 12 คนล้วนมีพลังการโจมตีที่อ่อนแอ แต่พวกเขายังคงโจมตีม่านแสงแห่งเกราะป้องกันโดยไม่คิดชีวิต
แม้ว่าม่านแสงจะประกายเป็นระลอกคลื่นหลายรอบ ดูเหมือนว่ามันกำลังสั่นไหว แต่มันยังคงสามารถยืดหยัดได้อย่างมั่นคง
ภายในม่านแสงแห่งเกราะป้องกัน หัวใจของหยางไค่สั่นระรัว เขาต้องการช่วยเหลือเซี่ยหนิงฉาง แต่พลังความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในระดับต่ำ มันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวข้องได้ เขาจึงทำได้เพียงปกป้องเซี่ยหนิงฉางอยู่ข้างๆเขา เมื่อเวลาผ่านไปหากม่านแสงถูกทำลาย ยังน้อยเขาจะสามารถปกป้องนางไว้ได้
การเคลื่อนไหวด้วยมือของเซี่ยหนิงฉางรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ สองมือของนางเริงระบำจนกลายเป็นเงาลวงตา เสียงแห่งลมพายุที่อยู่ในหุบเขาเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มันคล้ายคลึงกับเสียงร่ำไห้โหยหวนของเหล่าภูตผี ทำให้หัวใจคนฟังรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง
ใบหน้าของเหวินเฟยเฉินแสดงออกอย่างเคร่งขรึมและภายใต้การแสดงออกของเขายังปรากฏร่องรอยแห่งความโลภ เขาพบว่าเขาประเมินระดับของสมบัติวิเศษนี้ต่ำเกินไป มันต้องเป็นสมบัติวิเศษระดับฟ้าสวรรค์ขั้นสูง มิฉะนั้นมันจะไม่สามรถยืนหยัดได้เป็นเวลานานโดยที่ไม่พังทลายลงมา
สมบัติวิเศษระดับฟ้าสวรรค์ขั้นสูง สามารถสกัดกั้นการโจมตีจากยอดฝีมือที่อยู่ในเขตแดนเทพสวรรค์ เมื่อครอบครองสมบัติวิเศษชิ้นนี้ จะเสมือนได้รับชีวิตเพิ่มอีก 1 ชีวิต
ระยะเวลากว่า 1 ก้านธูป ในที่สุดม่านแสงได้ปรากฏรอยแตกเล็กๆขึ้น
เมื่อรอยแตกปรากฏ ใบหน้าของเซี่ยหนิงฉางแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดในทันที! ในการใช้สมบัติวิเศษแห่งการป้องกัน นางได้สูญเสียพลังลมปราณเป็นจำนวนมาก และตอนนี้นางต้องเปิดใช้งานค่ายกลที่นางเตรียมไว้ พลังลมปราณที่อยู่ในร่างกายจึงเปรียบเสมือนแม่น้ำที่ไหลทะลักออกไปอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อมองเห็นความหวังในครั้งนี้ เหวินเฟยเฉินไม่หยุดที่จะโจมตี เขาเพิ่มรังสีแห่งเจตนาการฆ่าในการโจมตีเพื่อให้มันหนักหน่วงและรุนแรงยิ่งขึ้น เขาระเบิดพลังลมปราณที่อยู่ในร่างกายอย่างรุนแรง เขาค่อยๆพุ่ง เขาค่อยๆพุ่งฝ่ามือและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ฝ่ามือของเขาพุ่งโจมตีไปยังม่านแสง ทำให้ม่านแสดงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ร่างกายของเซี่ยหนิงฉางสั่นไหวอย่างรุนแรง ใบหน้าขาวซีดยิ่งกว่าเดิม
คากฉ่าฉ่า.........ในที่สุดม่านแสงได้ปรากฏรอยแตกเสมือนใยแมงมุมที่กระจายไปทั่วม่านแสง
ฮ่าฮ่าฮ่า !! เหวินเฟยเฉินหัวเราะอย่างเสียงดัง เขาเชื่อมั่นว่า ตราบที่เขาปลดปล่อยพลังที่หนักหน่วงและรุนแรงในการโจมตีครั้งสุดท้าย ม่านแสงแห่งเกราะป้องกันต้องพังทะลายอย่างแน่นอน
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะปลอปล่อยการโจมตีครั้งสุดท้าย ทันใดนั้นความเคลื่อนไหวภายในหุบเขาได้สงบลง เสียงโหยหวนที่เสมือนเสียงร่ำไห้ของภูติมลายหายไปอย่างกะทันหัน
ดวงตาที่ประกายด้วยความบริสุทธุ์และความสว่างสุกใสเสมือนดวงดาวกระพริบไปมาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นปากสีชมพูที่อิ่มเอิบตะโกนด้วยเสียงที่ดังสนั่น : ผนึก !
ในเวลานี้ การเตรียมการของเซี่ยหนิงฉางได้เสร็จสิ้น !
ฮวาลาลา.............บนท้องฟ้า ทันใดนั้นได้มีเสียงแห่งโซ่ตรวจที่กวัดแว่งไปมาอย่างกะทันหัน เฉกเช่นเสียงเพลงของดวงวิญญาณที่กำลังแว่วมาอย่างน่าขนลุก
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเงยหน้าขึ้นมอง พวกเขามองเห็นโซ่ตรวนสีดำที่หนาวและแข็งแกร่งซึ่งมีความยาวประมาณ 10 จ้าง กำลังลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า โซ่ตรวจเหล่านี้ก่อกำเนิดขึ้นจากพลังหยินที่หนาแน่นและเข้มข้น มันกำลังปลดปล่อยและแพร่กระจายความเยือกเย็นที่หนาวเหน็บไปทั่วทุกอณู
โซ่วตรวนเหล่านี้ลอยรอบศีรษะของศิษย์แห่งนิกายโลหิตและหอวายุพิรุณ หลังจากนั้น โซ่ตรวจเหล่านี้เสมือนว่ามีจิตวิญญาณ มันกำลังพุ่งลงไปหาพวกเขาในทันที
ใบหน้าของเหวินเฟยเฉินเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เขารู้ตัวอย่างชัดเจนว่าเขาช้าไป 1 ก้าว ทันใดนั้นเขาจึงรีบพุ่งฝ่ามือปะทะกับโซ่ตรวนนั้นทันที
ในเวลาเดียว ร่างกายของนางประกาย นางเปิดใช้พลังงานแห่งสมบัติฟ้าสวรรค์ระดับฟ้าสวรรค์อีกครั้ง
พลังของฝ่ามือพุ่งตรงไปหาเซี่ยหนิงฉางทันที มันพุ่งโจมตีไปที่เซี่ยหนิงฉางโดยไม่มีสิ่งใดจะสามารถขัดขวางพลังนี้ได้
ในช่วงเวลาสำคัญ หยางไค่ที่สังเกตการณ์อยู่ข้างเซี่ยหนิงฉางมองเห็นโอกาสในการลงมือ ในขณะพลังการโจมตีจากฝ่ามือกำลังจะถึงตัวนาง หยางไค่รีบดึงมือของนางออกมาจากตำแหน่งเดิม แต่นางยังคงถูกพลังโจมตีนั้นไล่ล่า ร่างกายของนางสั่นสะท้าน ใบหน้าซีดขาดยิ่งกว่าเดิมเหล่าเท่า แต่ทันใดนั้นหยางไค่โอบเอวของนางและอุ้มนางไว้ในอ้อมอก ก่อนจะวิ่งหนีไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับไปมองแม้แต่น้อย
ศัตรูมีจำนวนมากเกินไป ความแข็งแกร่งยังอยู่ในระดับสูง เขาไม่โง่เขลาถึงขั้นที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขา
ในขณะที่หยางไค่กำลังพาเซี่ยหนิงฉางหลบหนี ในที่สุดโซ่ตรวจแห่งพลังหยินได้พันธนาการยอดฝีมือแห่งนิกายโลหิตจนสำเร็จ
โซ่ตรวจมีทั้งหมด 8 เส้น เซี่ยหนิงฉางให้ความสำคัญกับเหวินเฟยเฉินมากกว่าใคร เขาเพียงคนเดียวถูกโซ่ตรวจจำนวน 3 เส้นพันธนาการเอาไว้ โซ่ตรวนที่เหลืออีก 5 เส้นต่างพันธนาการยอดฝีมือของนิกายโลหิตที่อยู่ในเขตแดนผสานลมปราณและก่อกำเนิดลมปราณ
ผู้ที่ถูกพันธนาการจากโซ่ตรวนต่างแสดงออกด้วยความหวากลัว พวกเขาคิดว่าชีวิตของพวกเขากำลังจะจบลง และไม่คาดคิดว่าโซ่ตรวนเหล่านี้ได้มลายหายเข้าไปในร่างกายของพวกเขาหลังจากที่พวกเขาถูกพันธนาการ โซ่ตรวจทั้ง 8 เส้นต่างมลายหายไปในทันที
ทันใดนั้นเหวินเฟยเฉินรู้สึกว่าพลังลมปราณแท้จริงที่อยู่ในร่างกายของเขาทั้งหมดถูกระงับและกดทับโดยพลังที่ไร้ซึ่งรูปร่าง เขาทรมาณจนต้องตะโกนคำรามออกมา เมื่อเขาอ้าปากคำรามเขาได้กระอักเลือดสีแดงสดออกมาด้วย
ยอดฝีมือที่อยู่ในเขตแดนผสานลมปราณและอีก 1 คนที่อยู่ในเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณขั้นสูงสุดต่างอยู่ในสภาวะที่ไม่ต่างกัน ใบหน้าของพวกเขาซีดาว และกำลังกระอักเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่ยังเหลือศิษย์แห่งนิกายโลหิตที่อยู่ในเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณระดับต่ำ ทันใดนั้นเขาหยุดหายใจอย่างเฉียบพลัน เขาล้มลงกับพื้นและตายในทันที !!
เกิดอะไรขึ้น ? หล่งฮุยตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวโกรธ เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาทุกอย่างที่เกิดขึ้นกำลังเป็นไปอย่างราบรื่น พวกเขากำลังจะทำลายสมบัติวิเศษระดับฟ้าสวรรค์ของฝ่ายตรงข้าม ในใจของเขาครุ่นคิดวิธีการสร้างความอัปยศให้แก่เซี่ยหนิงฉางจนเสร็จสิ้น แต่เพียงพริบตา คนของฝ่ายเขากลับตายไป 1 คน ได้รับบาดเจ็บ 5 คน แม้แต่ใบหน้าของเหวินเฟยเฉินยังแสดงถึงความทุกข์ทรมาณ
มันจะไม่ทำให้หล่งฮุยเกรี้ยวโกรธได้อย่างไร ? เพราะเหยื่อที่ใกล้จะตายกำลังหลบหนีออกไปต่อหน้าต่อตาของเขา !!
นายน้อยหล่งโปรดระงับความโกรธ เหวินเฟยเฉินขบฟันต่อความความเจ็บปวด เขากำลังเคลื่อนไหวลมปราณเพื่อกำจัดและไข่ลับความหนาวเหน็บที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในร่ากาย ก่อนจะกล่าวอธิบายด้วยเสียงที่แผ่วเบา : หญิงสาวคนนั้นได้จัดเตรียมค่ายกลบางอย่างที่ลึกลับไว้ตั้งแต่ทีแรก นางหยิบยืมพลังจากค่ายกลเพื่อปะทะกับพวกเรา รอข้าอีกสักประเดี่ยว ข้าต้องจับนางได้อย่างแน่นอน !
เจ้าขยะไร้ค่า พวกเจ้ามันเป็นเพียงขยะที่โง่เขลา !! หล่งฮุยระเบิดความเกรี้ยวโกรธที่เสมือนสายฟ้าฟาด เขาตะโกนด่าอย่างเสียงดัง : กลุ่มคนจำนวนมากต่อสู้กับพวกมันเพียงแค่ 2 คน แต่กลับพ่ายแพ้อย่างน่าอับอาย !
ใบหน้าของเหวินเฟยเฉินประกายด้วยความรู้สึกโกรธ แต่เขาระงับความโกรธของตนเองเอาวไ ก่อนจะเปิดปากกล่าวอีกครั้ง : แม้ว่าพวกเราจะสูญเสียเป็นอย่างมาก แต่หญิงสาวคนนั้นมิได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ร่างกายของเขาไม่มีพลังลมปราณเหลืออยู่แม้เพียงน้อยนิด หากตอนนี้สามารถไล่ตามพวกเขาได้ พวกเขาจะกลายเป็นผู้ที่พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง !!
หล่งฮุยกล่าวอย่างควบคุมไม่ได้ : แล้วยังรออะไรอีก รีบไล่ตามไปซิ !!
สายตาของเหวินเฟยเฉินมองไปที่ศิษย์แห่งหอวายุพิรุณก่อนจะกล่าวออกคำสั่งด้วยใบหน้าที่ดุดัน : ข้าจะให้โอกาสในการมีชีวิตรอดแก่พวกเจ้า 1 ครั้ง หากสามารถจับเป็นหญิงสาวคนนั้น ข้าเหวินเฟยเฉินสัญญาว่าจะพาพวกเจ้าออกไปจากที่นี้อย่างปลอดภัย !!
โซ่ตรวนของเซี่ยหนิงฉางต่างเผชิญหน้ากับยอดฝีมือแห่งนิกายโลหิต ดังนั้นกลุ่มคนแห่งหอวายุพิรุณจึงไมได้รับบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว พวกเขาเดินทางเข้ามาในหุบเขาจำนวน 5 คน และยังมีชีวิตเหมือนเดิม 5 คน สถานการณ์ของพวกเขาดีกว่านิกายโลหิตอย่างมาก