GE 3 - 1 : อำพันจักรสวรรค์
GE 3 - 1 : อำพันจักรสวรรค์
จักรพรรดินีอยู่ในชุดเสื้อคลุมตัวยาวสีสันสดใสขณะที่สวมมงกุฎหงส์เพลิงทองคำนั่งอยู่ในกระโจมข้างๆแท่นบูชา ในสายตาของชางลั่วเฉินจักรพรรดินีเป็นเพียงแค่หญิงชราที่มีอายุนับร้อยๆปีเท่านั้นแต่นางกลับดูสง่างามเหมือนผู้หญิงในช่วงอายุ 28-29 ปี
“ฝ่าบาททรงกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ฉะนั้นพิธีในปีนี้ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง ขุนนางเจ้าได้ตรวจสอบเครื่องรางปวงเทพที่องค์ชายเก้าได้รับแล้วหรือยังว่าอยู่ในระดับใด?”จักรพรรดินีเอ่ยถาม
ขุนนางในเขตปกครองแม่ทัพหยุนหวู่ส่ายศีรษะไปมาขณะกำลังตรวจสอบสมุดโลหะที่อยู่ในมือ
“ตำราเหล่าเครื่องรางปวงเทพได้บันทึกรูปแบบของวรยุทธภายในดินแดนคุนหลุนเอาไว้ทั้งหมดตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงระดับเก้า แต่อย่างไรก็ตามไม่มีสัญลักษณ์อันไหนที่ตรงกับขององค์ชายเก้าเลย”
จักรพรรดินีปรายตามองไปทางชางลั่วเฟิงนิ่งก่อนจะเอ่ยปากพูด “ถ้าหากไม่ตรงกับสัญลักษณ์ใดเลยในหนังสือเล่มนี้ ข้าคิดว่าสัญลักษณ์ที่เจ้าได้รับอาจจะมาจากระดับศูนย์ ซึ่งในอดีตมันเคยเกิดขึ้นกับนักรบจากมณฑลอื่น......”
องค์ชายแปดที่อยู่ในกระโจมหลังเดียวกันเอ่ยแทรกขึ้นมา “พระองค์ทรงวิเคราะห์ได้ยอดเยี่ยมมาก! หลังจากที่น้องเก้าอายุ 16 ปี เขาก็ได้พลาดช่วงอายุที่เหมาะสมในการฝึกวรยุทธไปแล้วแม้ว่าเขาจะได้รับเครื่องรางปวงเทพระดับสี่หรือระดับห้า เขาก็ไม่สามารถนำสิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้เกิดประโยชน์ได้”
จักรพรรดินีพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่องค์ชายแปดพูด “เพื่อรักษาทรัพยากรอันบริสุทธิ์เอาไว้ให้กับเหล่านักรบของราชวงศ์ให้ได้มากที่สุด องค์ชายเก้าจะได้รับโอสถชำระล้างไขกระดูกเพียงแค่หนึ่งขวดเท่านั้นเพื่อมอบเป็นรางวัลที่เขาได้รับเครื่องรางปวงเทพระดับศูนย์ในช่วงอายุ 16 ปี”
สนมหลิงเบิกตากว้างหลังจากที่ได้ยินคำพูดของจักรพรรดินี “จักรพรรดินี ปีแรกของการได้ครอบครองเครื่องรางปวงเทพถือเป็นปีที่สำคัญที่สุดสำหรับการฝึกฝน ทรงจำปีที่องค์ชายเจ็ดได้รับเครื่องรางปวงเทพได้หรือไม่ เขาได้รับโอสถชำระล้างไขกระดูกถึง 12 ขวดในหนึ่งปีแต่ทำไมบุตรชายของข้าถึงได้รับเพียงแค่ขวดเดียว?” นางสนมหลิงถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“องค์ชายเจ็ดได้รับเครื่องรางปวงเทพตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เจ้ากล้าดียังไงถึงได้เอาองค์ชายเก้ามาเปรียบเทียบกับพระองค์?”จักรพรรดินีพูดเสียงขรึม
องค์ชายแปดเอ่ยสมทบทันที “พี่เจ็ดเป็นบุตรชายของจักรพรรดินีภรรยาคนแรกของ นักพรตเก้าเมฆาและเขามีเครื่องรางปวงเทพระดับเจ็ดความแข็งแกร่งของเขาได้รับสืบทอดมาทางสายเลือดภายในเขตปกครองแม่ทัพหยุนหวู่ไม่มีใครที่จะสามารถมาเทียบเคียงกับพี่เจ็ดได้! และในอนาคตทั้งความมั่งคั่งและความรุ่งเรืองทั้งสองอย่างนี้จะขึ้นอยู่กับเขา”
“ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่นำองค์ชายเจ็ดไปเปรียบเทียบกับองค์ชายเก้า ปลายนิ้วของพี่เจ็ดยังสำคัญมากกว่าชีวิตของน้องเก้าเสียอีก”องค์ชายแปดเอ่ยเสริม
สนมหลิงกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะโต้เถียงองค์ชายแปดกลับไป “ท่านอาจจะลืมไปว่าตอนที่ท่านได้รับเครื่องรางปวงเทพนั้นท่านได้รับโอสถชำระล้างไขกระดูกถึง 4 ขวดแต่สำหรับลูกชายข้าเขาได้รับเพียงแค่ขวดเดียวนี่เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง!” นางสนมหลิงพูดเสียงดังในฐานะของมารดานางจะปกป้องชางลั่วเฉินอย่างถึงที่สุดนางจะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกชายได้รับในสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับหากเขาได้รับน้ำล้างไขกระดูกมากพอเขาจะสามารถฝึกฝนวรยุทธได้ดียิ่งขึ้น
“ยิ่งมีความสามารถมากเท่าไหร่ก็สมควรที่จะได้รับทรัพยากรในการฝึกทักษะมากขึ้นเท่านั้นเห็นได้ชัดว่าความสามารถขององค์ชายเก้าเมื่อเทียบกับองค์ชายเจ็ดและองค์ชายแปดแล้วยังด้อยอยู่มากนักฉะนั้นจึงเหมาะสมแล้วที่เขาจะได้รับทรัพยากรในจำนวนที่น้อยกว่าทั้งสองคน”จักรพรรดินีตอบนางสนมหลิงกลับไป
“แต่…..” สนมหลิงโต้เถียงกับจักรพรรดินี
นางเริ่มรำคาญจักรพรรดินีอย่างจริงจังแต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรออกไปนั้น “ข้าได้ตัดสินใจไปแล้วอย่าได้บังอาจมาท้าทายข้าอีก! ไม่เช่นนั้นเจ้าจะถูกโบยด้วยหวายเหมือนที่เคยโดน!”จักรพรรดินีกดเสียงต่ำ
“เหมือนที่เคยโดน ?……” ชางลั่วเฉินเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินจักรพรรดินีพูดเช่นนั้น
เขากำลังสงสัยว่าจักรพรรดินีเคยโบยแม่ของเขามาก่อนงั้นหรือ ?
สนมหลิงเม้มริมฝีปากแน่นทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้นร่างของนางสั่นเทาเล็กน้อยยามหวนนึกไปถึงความทรงจำอันแสนเลวร้ายในอดีต ความทรงจำที่มีเพียงภาพของจักรพรรดินีและหวาย
ขณะที่ชางลั่วเฉินกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังระหว่างผู้หญิงสองคน ทันใดนั้นโอสถชำระล้างไขกระดูกก็ถูกยื่นมาตรงหน้าเขา
เมื่อรับโอสถชำระล้างไขกระดูกมาเรียบร้อยแล้วชางลั่วเฉินก็เดินตรงเข้าไปหามารดาของเขาที่ยืนอยู่ข้างๆจักรพรรดินีก่อนจะเอ่ยปากพูด “ท่านแม่ กลับบ้านกันเถอะ!” เรื่องของหวายที่ได้ยินเมื่อสักครู่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของชางลั่วเฉิน
เขาไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกแม้แต่นาทีเดียว เขามองตรงไปที่จักรพรรดินีด้วยแววตาเกลียดชังขณะที่กำลังจะเดินออกไป
“ก็ได้!” สนมหลิงเม้มริมฝีปากและพยักหน้ารับอย่างขมขื่นดูเหมือนว่าคำพูดของจักรพรรดินีจะทำให้สนมหลิงวิตกกังวล
ดูเหมือนจักรพรรดินีจะรับรู้ได้ถึงความตึงเครียดระหว่างชางลั่วเฉินกับตัวนางเอง นางมองไปทางคนทั้งสองที่กำลังเดินออกไปก่อนจะพูดเสียงเบาในลำคอ “องค์ชายเก้า สามเดือนนับจากนี้เจ้าจะต้องฝึกฝนอย่างหนักให้พร้อมกับการประเมินของราชวงศ์ในช่วงสิ้นปี เจ้าต้องทำมันให้ดีที่สุดเพื่อเคล็ดวิชาขัดเกลากระดูกดำทลายเส้นลมปราณ ภายในระยะเวลาสามเดือนนี้เจ้าจะต้องฝึกฝนอย่างหนักอย่างที่เจ้าไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน ในตอนนั้นการบำเพ็ญเพียรของฝ่าบาทจะเสร็จสิ้นลงพอดี ฝ่าบาทจะเดินทางมาดูการประเมินหากเจ้าผ่านการทดสอบภายได้ในระยะเวลาสั้นๆ ฝ่าบาทจะทรงประทับใจในตัวเจ้าเพิ่มขึ้น”
“แม้ว่าท่านจะให้โอสถชำระล้างไขกระดูกเขาไปสามขวดเขาก็ไม่มีทางสำเร็จ ‘เคล็ดวิชาขัดเกลากระดูกดำทลายเส้นลมปราณ’ ภายในระยะเวลาสั้นๆอย่างแน่นอนแม้แต่ข้ายังต้องใช้เวลาถึงหกเดือนในการฝึก หลังจากที่เขาได้รับเครื่องรางปวงเทพระดับศูนย์มาจากเบื้องบน ข้าเดาได้เลยว่าเขาต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งปีเพื่อให้บรรลุความสามารถพิเศษนั้น ฮ่าฮ่าฮ่า!” องค์ชายแปดพูดจาดูถูกชางลั่วเฉิน เขามองชางลั่วเฉินเป็นเพียงแค่คนโง่คนหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่น้องชายร่วมบิดาแต่อย่างใด
ชางลั่วเฉินได้ยินทุกอย่างที่องค์ชายแปดพูดพาดพิงตนเอง เขาไม่ได้หันกลับไปมองและไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไปแต่เขาก็ต้องกำหมัดแน่นเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเองพลางพูดในใจว่า ‘ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าผิดหวัง! พวกเจ้าจะได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของข้าภายในสามเดือนนับจากนี้! ข้าจะต้องบรรลุเคล็ดวิชาขัดเกลากระดูกดำทลายเส้นลมปราณ!’ ชางลั่วเฉินไม่เคยรู้สึกแน่วแน่ขนาดนี้มาก่อนการยั่วโมโหและการล้อเลียนของคนเหล่านี้กระตุ้นให้เขาอยากจะเอาชนะมากขึ้น
ชางลั่วเฉินอดใจรอที่จะเริ่มฝึกซ้อมไม่ไหวทันทีที่กลับมาถึงคฤหาสน์ซื่อยี่ เขาก็ตรงไปยังห้องนอนและเริ่มหาวิธีการทำให้ตนเองประสบความสำเร็จทันที
ความจริงแล้วเขาไม่เข้าใจถึงความหมายของเครื่องรางปวงเทพที่ตัวเองได้รับมาแต่เขามีความเชื่อว่ามันจะช่วยให้เขาได้เรียนรู้ถึงวิธีการฝึกแก่นแท้พลังปราณอย่างแน่นอน
ขั้นตอนแรกคือการเปิด “บ่อลมปราณ” ที่ซ่อนอยู่ใต้เครื่องรางปวงเทพบนคิ้วของเขา
สิ่งที่เรียกว่า “บ่อลมปราณ” หมายถึงแหล่งเก็บสะสมแก่นแท้พลังปราณในร่างกาย
ยิ่งมีบ่อลมปราณขนาดใหญ่เท่าไหร่จะช่วยเก็บรักษาพลังปราณนี้เอาไว้ได้มากขึ้นและบ่อลมปราณนี้จะขยายใหญ่ตามการฝึกฝนและการเรียนรู้
พูดง่ายๆก็คือหากชางลั่วเฉินต้องการจะพัฒนา “บ่อลมปราณ” เขาจะต้องได้รับการฝึกฝนและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์
ชีวิตชางลั่วเฉินก่อนหน้านี้เขาเป็นนักรบที่มีมากความสามารถด้านวรยุทธการสร้าง “บ่อลมปราณ” เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่ง่ายมากรวมไปถึงขั้นตอนอื่นๆในการฝึกฝนด้วยเช่นกัน เขาใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นในการเรียนรู้และฝึกฝน “บ่อลมปราณ”
แม้แต่เหล่านักพรตผู้เก่งกาจยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นสิบวันในการค้นหาวิธีการสร้าง “บ่อลมปราณ”
แต่ทว่าอัจฉริยะชางลั่วฉินใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น....
ติดตามตอนต่อไป.............