GE 2 -1 : เครื่องรางปวงเทพ
GE 2 -1 : เครื่องรางปวงเทพ
สถานที่ที่ชางลั่วเฉินอาศัยอยู่ในตอนนี้คือมณฑลหยุนหวู่ซึ่งเป็นหนึ่งในพันของมณฑลทางภาคตะวันออกของดินแดนคุนหลุน
เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าเป็นมณฑลที่อยู่ภายในการปกครองของแก่นจักรพรรดิสันหลังมังกรแต่ละมณฑลจะต้องจ่ายค่าส่วยและค่าคุ้มครองในทุกๆปีให้แก่จักรพรรดิสันหลังมังกร จักพรรดิผู้ปกครองแต่ละมณฑลจะถูกเรียกว่า “นักพรตเก้าเมฆา”
ฐานะของชางลั่วเฟิงในชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่คือองค์ชายเก้าซึ่งเป็นโอรสของแม่ทัพหยุนหวู่
ชางลั่วเฟิงทิ้งตัวลงนอนบนเตียงไม้ที่ทั้งแข็งและเย็นเฉียบ สมองของเขาพลางแต่คิดถึงพิธีบูชาเทพเจ้าที่จะถูกจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้
กายหยาบร่างนี้นี้ไม่เคยได้สัมผัสเครื่องรางปวงเทพจนกระทั่งอายุ 16 ปี ราวกับว่าเขาเป็นเศษขยะที่ไม่มีใครต้องการ เขาควรจะทำอย่างไรเพื่อที่จะมีโอกาสในการรับเครื่องรางปวงเทพมาครอบครอง ?
ตามความเชื่อหากใครต้องการครอบครองเครื่องรางปวงเทพและเป็นนักรบที่สูงส่งของดินแดนคุนหลินจะต้องได้รับการยอมรับจากเหล่าวิญญาณบรรพบุรษในพิธีบูชาเทพเจ้า
ในระหว่างการประกอบพิธีกรรม สะพานที่เชื่อมต่อระหว่างสวรรค์กับโลกมนุษย์จะปรากฏขึ้นมาสะพานนี้จะเชื่อมโลกทั้งสองเข้ากับดินแดนห้วงวิญญาณในแผ่นดินคุนหลุน เหล่าวิญญาณบรรพบุรุษจะเพลินเพลินไปกับเครื่องเซ่นไหว้ที่ถูกปรุงแต่งด้วยฝีมือของผู้คนที่ซึ่งจงรักภักดีและเมื่อได้ลิ้มรสชาติของเครื่องเซ่นจนพอใจแล้ว พวกเขาจะทำการคัดเลือกว่ามนุษย์คนใดมีความสามารถที่สมควรจะได้รับเครื่องรางปวงเทพไว้ครอบครอง ด้วยวิธีการนี้มนุษย์ที่ถูกเลือกจะได้เรียนรู้ถึงแก่นแท้ของวรยุทธที่เป็นระดับตำนาน !
โดยปกติแล้วมนุษย์ที่มีความสามารถโดดเด่นพวกเขาจะได้สามารถรับเครื่องรางปวงเทพได้อย่างง่ายดาย
ชีวิตในอดีตของชางลั่วเฉินเขาได้รับเครื่องรางปวงเทพตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา จนเขาถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะด้านวรยุทธมาตั้งแต่เกิด.....
แต่น่าเสียดายที่ชีวิตใหม่นี้เขายังไม่มีโอกาสได้รับเครื่องรางปวงเทพจนกระทั่งอายุ 16 ปี ตามเงื่อนไขอายุในการฝึกฝนนั้นบุคคลที่มีอายุมากกว่า 16 ปีมีโอกาสน้อยที่จะได้รับ เครื่องรางปวงเทพพูดง่ายๆก็คือเขาเป็นกลุ่มคนประเภทที่ถูกเรียกว่าเศษสวะไร้ความสามารถต่อให้เขาเข้าร่วมพิธีบูชาเทพเจ้าเขาก็แทบจะไม่มีโอกาสได้รับเครื่องรางปวงเทพมาครอบครอง
ชางลั่วเฉินไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ ความคิดที่ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะได้รับ เครื่องรางปวงเทพวนเวียนอยู่ในหัวของเขาซ้ำไปซ้ำมาจนสลัดไม่ออก เขาขยับลุกขึ้นนั่งก่อนจะใช้นิ้วมือลูบไล้ไปตามผิวสัมผัสของอัญมณีที่อยู่ในฝ่ามือของเขา ซึ่งลักษณะของมันนั้นสวยงามเป็นอย่างมากด้วยลักษณะที่โปร่งใสไร้รอยขีดข่วนทำให้มันมีลักษณะเหมือนหยดน้ำตาจากเทพธิดาบนสวรรค์
ชางลั่วเฉินมีความสนอกสนใจในอัญมณีนิลกาลที่เขามีอยู่ เขาเลยตั้งใจศึกษาเกี่ยวกับมันเพื่อที่ว่าบางทีมันอาจจะช่วยให้เขาได้รับการยอมรับจากเทพเจ้าและเขาจะได้มีโอกาสรับ เครื่องรางปวงเทพมากขึ้น
อัญมณีนิลกาลนี้มีความหมายต่อชางลั่วเฟิงมาก วันเกิดในปีที่ 16 ของเขาจักรพรรดิหมิงได้มอบอัญมณีนิลกาลนี้ให้เป็นของขวัญแก่เขาในวันเฉลิมฉลองที่เขาก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าอัญมณีนิลกาลคืออะไรแต่เขาก็พกมันติดตัวไปด้วยตลอดเวลา เขาไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากที่เขาตายไปแล้วถึง 800 ปี มันจะยังคงอยู่กับเขาไม่หายไปไหน !
‘เราถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อ 800 ที่แล้วบางทีอีก 800 ปีข้างหน้าอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับอัญมณีนิลกาลเม็ดนี้ก็ได้’ ชางลั่วเฟิงรู้สึกสงสัย
เขาปิดเปลือกตาลงและกำอัญมณีนิลกาลในมือแน่นภาพของจักรพรรดิหมิงบิดาของเขาปรากฏขึ้นภายในใจ เขากำลังครุ่นคิดว่าว่าหลังจากที่ผ่านมา 800 แล้วบิดาของเขาจะยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่
เมืองหยุนหวู่ในค่ำคืนนี้มีเกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายลงมาอย่างหนัก ราวกับว่าสวรรค์กำลังปูพรมเพื่อต้อนรับนักรบผู้แข็งแกร่งคนใหม่
และในเช้าวันต่อมาเมืองหยุนหวู่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะในทุกพื้นที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่สีขาวโพลน ตึกรามบ้านช่องสีขาวและศาลาที่อยู่รายล้อมอยู่รอบๆก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งเช่นกัน
หิมะจะตกตลอดช่วงฤดูหนาวถือได้ว่าเป็นวันที่หนาวเย็นที่สุดของปีหรือจะพูดว่าเป็นวันที่อากาศเลวร้ายที่สุดก็เป็นได้
ในวันนี้ของทุกปีนักรบทุกคนในเมืองหยุนหวู่จะต้องไปรวมตัวกันที่วิหารบรรพกาลโดยมี นักพรตเก้าเมฆาเป็นผู้นำเพื่อทำการกราบไหว้บูชาเทพพระเจ้า
ด้านนอกวิหารบรรพกาลมีแท่นบูชาโบราณที่ทำจากศิลาทมิฬวางอยู่โดยมีโคเนื้อ แกะ สุกรจำนวนหนึ่งพันตัวถูกผูกติดเอาไว้กับแท่นบูชารวมไปถึงสัตว์ป่าดุร้ายขนาดใหญ่มากมายที่ถูกพันธนาการด้วยโซ่เหล็กอยู่รอบๆ
ผู้คนมากมายทั้งจักพรรดินี นางสนม องค์ชาย องค์หญิง ข้าทาสบริวารและนักพรตแต่ละสำนักรวมไปถึงวัยรุ่นหนุ่มสาวจำนวนนับร้อยหรือแม้กระทั่งเด็กทารกในอ้อมกอดของพี่เลี้ยงต่างก็ได้มารวมตัวชุมนุมกันด้วยจุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียว นั่นคือพวกเขากำลังเฝ้ารอว่าใครจะมีโอกาสได้รับเครื่องรางปวงเทพคนต่อไป
ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยพิธีกรรมดังกล่าวเนื่องจากพิธีบูชาเทพเจ้าไม่ได้ถูกจัดขึ้นแค่ใน เมืองหยุนหวู่เพียงเท่านั้นแต่มันถูกจัดในทุกเมือง ทุกชุมชนและทุกหมู่บ้านภายในมณฑลหยุนหวู่
“น้องเก้าเจ้าอายุ 16 ปีแล้วนี่ ต่อให้เจ้าจะเข้าร่วมพิธีอันศักดิ์สิทธินี้เจ้าก็ไม่มีทางได้รับ เครื่องรางปวงเทพหรอก เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเจ้าจะมาที่นี่เพื่อประจานให้ตัวเองต้องอับอายไปทำไมกันละ”องค์ชายแปดชางจี๋เอ่ยถามพร้อมกับหัวเราะเยาะชางลั่วเฉิน
องค์ชายหกที่ยืนอยู่ข้างๆองค์ชายแปดวางท่าอย่างหยิงยโสก่อนจะเอ่ยปากพูด “ผู้คนมักจะพูดกันว่ากษัตริย์ได้ให้กำเนิดบุตรทั้งเก้าคนและแต่ละคนก็มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป ท่านพ่อเป็นถึงวีรบุรุษผู้เกรียงไกรข้าไม่อยากจะเชื่อว่าท่านจะให้กำเนิดสิ่งกระจอกไร้ค่าและไม่สมประกอบเช่นนี้ออกมา! อายุล่วงเลยมาถึง 16 ปีแต่ก็ยังไม่ได้ครอบครองเครื่องรางปวงเทพ! เจ้าเป็นความอัปยศของราชวงศ์อย่างแท้จริง! เจ้าจะดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมกัน ทำไมถึงไม่ลงนรกไปล่ะ?”
คำพูดขององค์ชายหกค่อนข้างจะรุนแรงและโหดร้ายแต่ถึงกระนั้นองค์ชายคนอื่นๆก็คิดเห็นแบบเดียวกัน
มันแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันเปราะบางของราชวงศ์ได้เป็นอย่างดี....
ภายในดินแดนคุนหลุนมีเพียงหนึ่งในสิบคนเท่านั้นที่มีโอกาสจะได้ครอบครอง เครื่องรางปวงเทพอาจพูดได้ว่าสถานะของนักรบแต่ละบุคคลนั้นมีความโดดเด่นเป็นอย่างมากมาก
นักรบที่มีความสามารถด้านวรยุทธอันยอดเยี่ยมย่อมมีความแตกต่าง นักรบที่มีความแข็งแกร่งด้านวรยุทธที่จัดอยู่ในสายเลือดบริสุทธิ์มีความเป็นไปได้สูงว่าทายาทของพวกเขาจะได้รับสืบทอดความแข็งแกร่งมาทางสายเลือดมาด้วย ดังนั้นบุคคลเหล่านี้มีโอกาสที่จะได้ครอบครองเครื่องรางปวงเทพมีมากขึ้นเช่นกัน
ในบรรดาโอรสทั้งเก้าของแม่ทัพหยุนหวู่มีโอรสเพียง 8 องค์เท่านั้นที่ได้ครอบครอง เครื่องรางปวงเทพคงมีเพียงแค่ชางลั่วเฉินผู้เดียวที่แม้จะมีอายุ 16 ปีแล้วก็ยังดิ้นรนพยายามให้ได้ครอบครองเครื่องรางปวงเทพฉะนั้นเขาเลยเปรียบเสมือนตัวตลกของราชวงศ์
นอกจากนี้ผู้คนมากมายต่างพากันสบประมาทเขาด้วยสถานะที่ว่า “พ่อที่แกร่งแกร่งราวกับฟ้าประทานกับลูกชายเศษขยะไร้ค่า”
แม้แต่ในพระราชวังก็ยังมีข่าวลือออกมาว่าชางลั่วเฉินไม่สมควรที่จะเป็นโอรสของแม่ทัพหยุนหวู่เขาเป็นโอรสเพียงพระองค์เดียวที่ไม่ได้รับเครื่องรางปวงเทพไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นตัวนำความอัปยศมาสู่ราชวงศ์มากแค่ไหน
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมองค์ชายคนอื่นๆถึงได้ลงความเห็นว่าชางลั่วเฉินเป็นความอัปยศของราชวงศ์ พวกเขาไม่เคยปฏิบัติกับชางลั่วเฉินเหมือนพี่น้องร่วมสายเลือดกันกับพวกเขาต้องการแค่เพียงให้ชางลั่วเฉินตายไปก็เท่านั้น!
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้แม่ทัพหยุนหวู่ได้ตีตัวออกห่างจากนางสนมหลิงและชางลั่วเฉินหลังจากที่พวกเขาถูกบรรดานางสนมและองค์ชายเนรเทศออกจากตำหนักหยกและย้ายไปคฤหาสน์อันซอมซ่อที่อยู่นอกเมือง
ชางลั่วเฉินยืนอยู่เงียบๆโดยไม่ได้เอ่ยปากพูดสิ่งใดออกไป เขาไม่สนทั้งนั้นว่าองค์ชายหกกับองค์ชายแปดจะพูดอะไรออกมาก็ตาม.....
เขามีความเชื่อว่าก่อนที่เจ้าจะได้รับความแข็งแกร่งผู้คนจะมองลงมาที่เจ้าด้วยความผิดหวัง
นางสนมหลิงที่ยืนอยู่ข้างๆนางสนมคนอื่นๆมองดูลูกชายตนเองที่กำลังถูกดูหมิ่นเหยียดหยามด้วยความรู้สึกเจ็บปวดสุดหัวใจอย่างไรก็ตามนางไม่สามารถที่จะช่วยเหลือเขาได้เลย
ทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้น “พิธีบูชาเทพเจ้ากำลังจะเริ่มแล้ว!”
ติดตามตอนต่อไป..............