เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 271-2 ป้ายหนามม่วง (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 271-2 ป้ายหนามม่วง (อ่านฟรี)
(อ่านฟรี) แปลโดย iPAT
ดวงตาของไป่หนิงปิงส่องประกายขึ้นเมื่อได้ยินชื่อวิญญาณกงล้อหยินหยาง
นี่คือความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของไป่หนิงปิงและเป็นวิธีที่ฟางหยวนใช้ควบคุมเธอ แต่มันก็ทำให้เธอคิด ‘เหตุใดเขาจึงกล่าวเช่นนี้? เขากำลังวางแผนใด? แรงจูงใจของเขาคือสิ่งใดกันแน่?’
ทุกข้อสงสัยปะทุขึ้นในสมองของเธอ
ผลกระทบทางจิตใจเกี่ยวกับเรื่องของเฉิงชิงซื่อยังทำให้ไป่หนิงปิงรู้สึกหวาดกลัวมาจนถึงตอนนี้
ฟางหยวนผู้นี้ลึกลับมากเกินไป
กระทั่งเฉิงชิงซื่อยังไม่รู้จักตัวตนของเธอ แต่เขารู้ มิฉะนั้นเขาจะไม่เข้าหาเธอ
แล้วเขาทำได้อย่างไร?
ไป่หนิงปิงไม่สามารถคาดเดาการคงอยู่ของวิญญาณกาลเวลา เพราะมันห่างไกลจากความเข้าใจของเธอ แต่เธอก็ยังคาดเดาว่าเขามีวิญญาณที่สามารถทำนายอนาคต
‘ฟางหยวนต้องมีวิญญาณประเภทที่ทำให้สามารถมองเห็นอนาคต เดิมทีข้าคิดว่าเขาคุ้นเคยกับภูเขาไป่กู่เพราะประสบการณ์ของผู้อื่น แต่ตอนนี้ดูเหมือนมันจะเป็นผลมาจากวิญญาณบางดวง แต่ปัญหาก็คือวิญญาณชนิดใดที่สามารถทำนายอนาคตและมันอยู่ในระดับใด?’
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตอนนี้ไป่หนิงปิงรู้สึกถูกกดดันอย่างหนัก
กระทั่งว่าเธอคิดถูก แต่วิญญาณทำนายอนาคตยังมีข้อเสีย นั้นคือบางครั้งอนาคตที่มันทำนายอาจเกิดความผิดพลาด
แต่มันก็ทำให้เธอคิดว่าแผนการกำจัดฟางหยวนของเธอ เขาจะรู้ล่วงหน้าหรือไม่? หากเธอใช้แผนการบางอย่าง แล้วฟางหยวนจะใช้ประโยชน์จากมันหรือไม่?
คู่ต่อสู้ที่สามารถคาดเดาอนาคตน่ากลัวเกินไป
ไป่หนิงปิงยืนอยู่ที่เดิมและรู้สึกราวกับถูกแช่แข็ง
ท่ามกลางไอน้ำ ฟางหยวนนอนแช่อยู่ในถังโดยมีคนรับใช้ช่วยอาบน้ำ
ไป่หนิงปิงรู้สึกว่าเขากำลังมองเธอด้วยดวงตาสีดำมืดที่ไร้อารมณ์อยู่อย่างเงียบๆ
เธอรู้สึกราวกับได้ยินเสียงของเขาดังขึ้นในใจ ‘เจ้ากำลังจะทำสิ่งใด? ไป่หนิงปิง นั่นถูกต้องแล้ว นี่คือไพ่ตายของข้า วิญญาณทำนายอนาคต เจ้าต้องการจัดการข้างั้นหรือ? ทำเลย! ข้าสามารถมองเห็นอนาคต เจ้าไม่มีวันชนะข้า...’
แต่ในความเป็นจริง ฟางหยวนหลับไปแล้ว
ไม่ว่าไป่หนิงปิงจะอาบน้ำหรือไม่ มันก็เป็นส่วนหนึ่งในการทดสอบของเขา ฟางหยวนทดสอบทั้งไป่หนิงปิงและเฉิงเยี่ยนเฟยในเวลาเดียวกัน
นี่คือการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว
สองคนรับใช้ชัดเจนว่ามีประสบการณ์ เพียงเมื่อน้ำเริ่มเย็นลง ทั้งสองก็เติมน้ำร้อนลงไปทันที
ห้องโถงไม่ใหญ่นัก เพียงวางถังน้ำสองถัง มันก็แทบเต็มความกว้าง ที่นี่คือบ้านพักของเฉิงเยี่ยนเฟยในช่วงเวลาที่เขากลายเป็นสมาชิกทั่วไปของตระกูล
แต่นี่เป็นเรื่องปกติ
วีรบุรุษมักพบกับความยากลำบาก แต่มันไม่สามารถกล่าวว่าเป็นหายนะของพวกเขา ตรงข้ามมีเพียงความสิ้นหวังและความยากลำบากเท่านั้นที่จะสร้างวีรบุรุษ
เฉิงเยี่ยนเฟยถูกมองว่าเป็นวีรบุรุษ แต่แท้จริงแล้วเขาเต็มไปด้วยแผนการและความทะเยอทะยาน
หลังจากหนึ่งชั่วโมงของการอาบน้ำ คนรับใช้จึงหยุดมือ
ฟางหยวนสวมเสื้อที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ก่อนจะเดินออกไป แต่ไป่หนิงปิงยังยืนอยู่ที่นั่นด้วยความคิดมากมายที่ไหลเข้ามาในสมอง
“ออกไป ข้าจะอาบเอง” หลังจากฟางหยวนออกไป เธอจึงเอ่ยปากไล่คนรับใช้
ฟางหยวนยิ้ม ยิ่งไป่หนิงปิงคิดมากเท่าใด เธอก็จะได้รับแรงกดดันมากเท่านั้น ยิ่งเธอคิดมากเท่าใด ความตั้งใจของเธอก็จะถูกดูดกลืนไปมากเท่านั้น
บางครั้งจุดแข็งอาจไม่ใช่จุดแข็ง
หากไป่หนิงปิงเป็นคนตรงไปตรงมาไม่คิดมาก มันอาจไม่เป็นไร แต่เธอกลับเป็นคนฉลาด ยิ่งฉลาดเท่าใด เธอก็จะคิดมากเท่านั้น สุดท้ายเธอจะคิดว่าเขาครอบครองวิญญาณทำนายอนาคตและยากที่จะเอาชนะ
ไป่หนิงปิงไม่ได้เปิดเผยการแสดงออกที่ผิดปกติ แต่ฟางหยวนยังตระหนักว่าเธอเริ่มลดศีรษะให้เขาด้วยตัวของเธอเองจากเรื่องไร้สาระนี้
คนฉลาดมักเต็มไปด้วยข้อสงสัยและความหวาดระแวง มันเป็นไป่หนิงปิงที่ยอมแพ้ฟางหยวนด้วยตัวเธอเอง
กลับไปที่ห้องโถงหลัก ฟางหยวนเข้าพบหมอซูชิวอีกครั้ง
เธอไม่ต้องการเสียเวลาและวางมือลงบนไหล่ของฟางหยวนทันทีเป็นเหตุให้แสงสีขาวส่องประกายขึ้นบนร่างของเขา
ความรู้สึกสดชื่นแพร่กระจายไปทั่วร่างของฟางหยวน
ผิวที่ถูกเผาเริ่มฟื้นฟูขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันก้อนเนื้อเล็กก็เริ่มงอกออกมาจากศีรษะด้านขวาของฟางหยวน
เมื่อเวลาผ่านไปก้อนเนื้อเล็กๆจึงกลายเป็นใบหู
ในเวลาเพียงสิบห้านาที อาการบาดเจ็บของเขาก็ถูกเยียวยาอย่างสมบูรณ์
หมอซูชิวดึงมือของเธอกลับไป “ตอนนี้เจ้าดูดีขึ้นแล้ว ออกไปและนำสหายของเจ้าไปด้วย ฮืม เธอขับไล่คนรับใช้ของข้า แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอทำความสะอาดร่างกายได้อย่างถูกต้อง? อา...”
ทันใดนั้นประตูห้องกลับถูกเปิดออกพร้อมกับไป่หนิงปิงที่เดินเข้ามา
เธอสวมชุดคลุมสีขาวและกลับสู่รูปลักษณ์ดั่งเดิมของเธอ ดวงตาสีฟ้าที่สดใสราวกับท้องฟ้า ด้วยกล้ามเนื้อน้ำแข็ง กระดูกหยก ใบหน้าสีขาวอมชมพู และเส้นผมสีขาวราวหิมะ แม้หมอซูชิวจะเป็นผู้หญิง แต่เธอยังตกตะลึงกับความงามราวกับเทพธิดาของไป่หนิงปิง
ทัศนคติของหมอซูชิวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและกล่าวถ้อยคำด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “สาวน้อย เจ้าช่างงดงามนัก กระทั่งข้ายังแทบหลงเสน่ห์ของเจ้า”
ฟางหยวนกรอกตาเมื่อเห็นทัศนคติที่พลิกกลับหนึ่งร้อยแปดสิบองศาของหมอซูชิว
แต่เขารู้ว่านี่คือตัวตนของหมอซูชิว นางชื่นชอบทุกสิ่งที่งดงาม กล่าวคือเธอเป็นคนแปลก
ไป่หนิงปิงส่ายศีรษะ “ข้าไม่จำเป็นต้องรักษา แต่ข้าได้ยินว่าท่านอาจมีวิญญาณกงล้อหยินหยาง?”
“ข้าจะให้คำตอบทุกสิ่งที่น้องสาวต้องการรู้” หมอซูชิวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลก่อนจะหันหน้าไปทางฟางหยวนอย่ี่เย็นชา “สำหรับเจ้า เหตุใดยังอยู่ที่นี่ ออกไป!”
เธอแสดงทัศนคติที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างฟางหยวนกับไป่หนิงปิง
ฟางหยวนถูจมูกก่อนจะออกไปพบกับเว่ยหยางที่รออยู่ด้านนอก
“น้องชายฟางเจิ้ง?” เว่ยหยางลังเลใจเมื่อมองเห็นรูปลักษณ์ของฟางหยวน
ฟางหยวนพยักหน้าและเผยสายตาที่เต็มไปด้วยความกตัญญู “ขอบคุณพี่ชายเว่ยสำหรับทุกอย่าง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้ใดจะคิดว่าเจ้าจะหล่อเหลาเช่นนี้” เว่ยหยางยกนิ้วให้ฟางหยวน
ในความเป็นจริงหน้าตาของฟางหยวนดูเรียบง่ายและธรรมดามาก ในแง่ของรูปลักษณ์เขาถูกพิจารณาว่าอยู่ในระดับกลางๆเท่านั้น แต่ดวงตาที่มืดมิดและลึกลับของเขาทำให้เขาปลดปล่อยกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาออกมา
สิ่งสำคัญที่สุดคือก่อนหน้าเขาอัปลักษณ์มาก เมื่อทุกอย่างถูกแก้ไข เขาจึงดูหล่อเหลาขึ้นมากในสายตาของผู้คน
แต่เว่ยหยางกลับเปลี่ยนเป็นหัวเราะขมขื่นอย่างรวดเร็ว “น้องชาย ตั้งแต่เจ้าเรียกข้าว่าพี่ชาย เช่นนั้นข้าก็ขอกล่าว เหตุใดเจ้าจึงปฏิเสธรางวัลของท่านผู้นำ? ข้ารู้ว่าเจ้ามีหลักการ แต่ตระกูลเฉิงของเรามีกฎเกณฑ์เช่นกัน ดังคำกล่าวของผู้คน เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม นอกจากนั้นท่านผู้นำก็ไม่มีความตั้งใจกดขี่พวกเจ้า มันเป็นเรื่องที่ดี”
“แต่หากเจ้ายังดื้อรั้นต่อไป สิ่งที่ดีอาจเปลี่ยนเป็นตรงข้าม คนฉลาดย่อมต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ต้องการให้คุณหนูเฉิงชิงซื่อรู้สึกลำบากใจถูกต้องหรือไม่?”
ฟางหยวนขมวดคิ้ว “ข้ายอมรับการรักษาเพราะข้าพิจารณาถึงจุดนี้”
รอยยิ้มของเว่ยหยางกลายเป็นขมขื่นมากขึ้น “เพียงรับการรักษาไม่ถือเป็นรางวัล หากตระกูลเฉิงไม่มอบรางวัลที่เหมาะสม มันจะทำให้คนนอกหัวเราะพวกเราและเป็นการทำลายชื่อเสียงของตระกูลเฉิง ในอนาคตหากนายน้อยคนใดของเราต้องเผชิญหน้ากับอันตราย แล้วผู้ใดจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือพวกเขา ดังนั้นเจ้าจำเป็นต้องรับรางวัลในครั้งนี้”
เว่ยหยางเห็นฟางหยวนขมวดคิ้ว ดังนั้นเขาจึงเร่งกล่าวต่อ “เห้อ...ข้าไม่รู้ว่าควรกล่าวอย่างไร มีบางสิ่งที่ผู้คนจะยอมตายเพื่อ ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังพยายามรับมือกับเรื่องนี้อย่างเต็มที่ น้องชายฟางเจิ้ง แขนไม่สามารถเอาชนะขา หากเจ้าไม่ต้องการมันจริงๆ ตอนนี้เพียงรับมันไป แล้วหลังจากนั้นเจ้าเพียงมอบมันให้กับคุณหนูเฉิงชิงซื่อ นี่ไม่ใช่ทางออกที่ดีงั้นหรือ?”
ฟางหยวนคิดเรื่องนี้ก่อนจะเปิดปากกล่าวอย่างเคร่งขรึม “อืม นี่เป็นความคิดที่ดี ประการแรก ข้าไม่ต้องทำลายหลักการของตน ประการที่สอง มันจะไม่ทำให้ท่านพบปัญหาที่ยากลำบาก พี่ชายเว่ย แล้วข้าควรขอรางวัลใด?”
เว่ยหยางเร่งตอบ “โอ้ แน่นอนว่าต้องเป็นป้ายระบุตัวตน!”
ฟางหยวนลอบหัวเราะอยู่ในใจ นี่คือสิ่งที่เขาต้องการมาตั้งแต่แรก เขาต้องการได้ยินเรื่องนี้จากเฉิงเยี่ยนเฟย แต่ดูเหมือนเฉิงเยี่ยนเฟยจะต้องการรับเขาเข้าร่วมอย่างไม่โจ่งแจ้งมากนัก
ดังนั้นเขาจึงให้เว่ยหยางกล่าวแทน
“ป้ายระบุตัวตน?” ฟางหยวนแสดงออกด้วยท่าทีสับสน
“เจ้าพึ่งเข้ามาในเมืองเฉิง แม้เจ้าจะรู้ว่ามีป้ายระบุตัวตน แต่เจ้ายังไม่รู้ความสำคัญที่แท้จริงของมัน เชื่อพี่ชายเว่ยผู้นี้ ป้ายระบุตัวตนสำคัญมาก แม้บางคนจะมีเงินทองมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถซื้อป้ายระบุตัวตนของตระกูลเฉิง” เว่ยหยางแนะนำ
ฟางหยวนพยักหน้า “แม้ข้าจะไม่ต้องการรับมัน แต่เมื่อพี่ชายเว่ยกล่าว ข้าก็จะขอป้ายระบุตัวตนตามคำแนะนำของพี่ชายเว่ย”
เว่ยหยางรู้สึกมีความสุขเมื่อฟางหยวนคล้อยตามคำแนะนำของเขา
เขาวางมือลงบนไหล่ของฟางหยวน “น้องชาย เจ้าคิดถูกแล้ว”
หลังจากกลับเข้าไปในสวน ฟางหยวนจึงเปิดปากขอป้ายระบุตัวตนกับเฉิงเยี่ยนเฟย “ก่อนหน้าข้าหุนหันเกินไป แต่หลังจากได้รับคำแนะนำจากพี่ชายเว่ย ข้าตระหนักว่าป้ายระบุตัวตนเป็นสิ่งสำคัญมาก หากเป็นไปได้ข้าต้องการร้องขอป้ายระบุตัวตนสองชิ้นเป็นรางวัลสำหรับพวกเราสองคน”
ดวงตาของเฉิงเยี่ยนเฟยส่องประกายขึ้น แผนการของเขาประสบความสำเร็จในที่สุด
สำหรับป้ายระบุตัวตน เนื่องจากคนทั้งสองช่วยชีวิตบุตรสาวในสายเลือดของเขา ดังนั้นป้ายระบุตัวตนที่มอบให้พวกเขาย่อมไม่ควรต่ำต้อย
เฉิงเยี่ยนเฟยหัวเราะก่อนจะสะบัดมือ “เอาล่ะ เช่นนั้นข้าจะมอบป้ายหนามม่วงให้กับพวกเจ้าทั้งสองเพื่อเป็นการขอบคุณ”
นายน้อยทั้งหมดอ้าปากค้าง
กระทั่งเว่ยหยางยังกลายเป็นมึนงง
ตระกูลเฉิงมีป้ายเก้าชนิดเริ่มตั้งแต่ป้ายสีดำ ขาว แดง ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า น้ำเงิน และม่วง
ป้ายหินดำคือระดับต่ำสุด ขณะที่ป้ายหนามม่วงคือระดับสูงสุด มันหมายถึงตัวตนที่ทรงเกียรติที่สุดและมีอำนาจเทียบเท่ากับผู้อาวุโสของตระกูล
แม้แต่ฟางหยวนก็ไม่คาดคิดว่าจะได้รับป้ายหนามม่วง เขาคาดหวังเพียงป้ายสีเขียวหรือสีฟ้าเท่านั้น
เฉิงเยี่ยนเฟยนำป้ายที่ทำจากไม้ชนิดพิเศษขนาดเท่าฝ่ามือออกมา ด้านหน้ายังมีคำว่าตระกูลเฉิงปรากฎอยู่ สำหรับด้านหลัง มันเป็นแผนที่ขนาดเล็กของภูเขาเฉิงเหลียง
แต่นี่ยังไม่ใช่ป้ายหนามม่วงที่แท้จริง
เฉิงเยี่ยนเฟยเรียกวิญญาณออกมาอีกดวง “นี่คือวิญญาณป้ายระบุตัวตนชนิดพิเศษของตระกูลเฉิง มันต้องใช้เลือดของเจ้า”
วิญญาณป้ายระบุตัวตนบินไปดูดเลือดที่ต้นแขนของฟางหยวนก่อนจะบินกลับไปที่ป้ายไม้
“บึม”
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับเลือดของฟางหยวนที่หลอมรวมเข้าไปในป้ายไม้ จากนั้นป้ายไม้จึงเริ่มเรืองแสงสีม่วงที่งดงามออกมา
นี่คือป้ายหนามม่วงที่แท้จริง
แม้บางคนจะขโมยมันไปจากฟางหยวน พวกเขาก็ไม่สามารถใช้งานมันได้
นี่คือมาตรการรักษาความปลอดภัยของตระกูลเฉิงที่ทำให้คนนอกไม่สามารถแอบอ้าง
หากพวกเขาใช้วิญญาณบางดวงในการระบุตัวตน ผู้ใช้วิญญาณภายนอกอาจสามารถปรับแต่งพวกมัน
นี่คือจุดที่แสดงให้เห็นถึงความฉลาดของตระกูลเฉิง ป้ายหนามม่วงไม่ใช่วิญญาณ มันไม่สามารถถูกปรับแต่ง มันมีพลังอำนาจบางส่วนของวิญญาณสถิตอยู่เท่านั้น นอกจากนั้นพลังชนิดนี้ยังจะเสื่อมไปตามกาลเวลาเป็นเหตุให้ผู้ถือครองต้องแสดงตัวตนอีกครั้ง
หากฟางหยวนทำป้ายหนามม่วงหายหรือมันสูญเสียพลังอำนาจ เขาจะต้องกลับมายังตระกูลเฉิงและร้องขอให้ตระกูลสร้างป้ายใหม่ให้กับเขา
เมื่อฟางหยวนได้รับป้ายหนามม่วง สายตาของกลุ่มนายน้อยที่จ้องมองเขาจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ก่อนหน้านี้ฟางหยวนยังเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณปีศาจที่ทุกคนรู้สึกรังเกียจ แต่ตอนนี้สถานะของเขาพลิกกลับอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเหล่านายน้อยจึงต้องเปลี่ยนทัศนคติของตน
ต้องรู้ว่าโดยปกติแล้วป้ายหนามม่วงจะถูกมอบให้กับผู้อาวุโสของตระกูลบางคนเท่านั้น
“แล้วสหายของเจ้า?” เฉิงเยี่ยนเฟยนำป้ายไม้อีกชิ้นออกมา
“ยังอยู่กับท่านหมอซูชิว ข้าจะไปเรียกเธอมาเดี๋ยวนี้” เว่ยหยางลุกขึ้น แต่เป็นเพียงเวลานี้ที่ไป่หนิงปิงเดินกลับมายืนอยู่ต่อหน้าทุกคน
การแสดงออกของเธอเต็มไปด้วยความเย็นชา เนื่องจากหมอซูชิวบอกเธอว่าหากเธอต้องการกลับไปเป็นผู้ชาย เธอต้องหาวิญญาณที่คล้ายกับวิญญาณหยาง แต่นั่นกลับเป็นเรื่องยาก แต่มันยังมีวิธีอื่น มันก็คือเธอต้องครอบครองวิญญาณอมตะระดับหกบางดวง นั่นจึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงสุด
อย่างไรก็ตามการปรากฏตัวของเธอ แน่นอนว่ามันทำให้ทุกคนตกตะลึง