บทที่ 179 ป้ายหินสุสาน
บนป้ายหินสุสานประทับไว้พียงหนึ่งประโยคอันรวบรัด ‘ตอบตกลงกับมัน’
จั่วม่อเดิมทีตั้งใจจะไม่รับข้อเสนอของผูเยา มหาหัตถ์พันใบกับหัตถ์พันใบน้อยอาจดึงดูดใจมัน แต่มันยังคงตัดสินใจปฏิเสธข้อตกลง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อตกลงที่มันได้กำไรมากมายอยู่ฝ่ายเดียว
เกี่ยวกับร่างภูผา ผูเยาไม่ได้ให้รายละเอียดอย่างถี่ถ้วน แต่จั่วม่อทราบชัดว่าเหตุผลที่มันฝึกปรือร่างภูผาได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดเป็นฝีมือของป้ายหินสุสาน วัชรสูตรน้อยไม่ใช่เคล็ดวิชาที่โดดเด่นอันใด เหตุที่สามารถมีผลลัพธ์อันล้ำเลิศถึงเพียงนี้ ล้วนเป็นความดีความชอบของห้าประโยคที่ถูกแก้ไขจากในม้วนหยก
แม้ว่าผูเยาไม่ยอมกล่าวถึงมากนัก ทั้งยังใช้น้ำเสียงดูหมิ่นเหยียดหยามร่างภูผา แต่จั่วม่อย่อมสามารถรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของร่างภูผาได้อย่างง่ายดาย
มันหวนคำนึงถึงช่วงเวลาที่ฝ่าทะลวงด่านร่างภูผา ลิ้มรสความรู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่งที่ท่วมท้นอยู่ในร่างกาย
เป็นครั้งแรกที่มันเข้าใจอย่างชัดเจน ถึงรสชาติของการครอบครองพลังอันแกร่งกร้าวที่เพียงพอจะเย้ยฟ้าสยบดิน
สำหรับจั่วม่อ ชื่อเสียงของผูเยาเลวร้ายยิ่ง จั่วม่อไม่เชื่อถือมันสักนิด ไม่ว่ามหาหัตถ์พันใบกับหัตถ์พันใบน้อยจะดึงดูดใจมันสักเท่าใด แต่สำหรับมันนั้นย่อมเข้าใจกระจ่าง สิ่งที่ผูเยามอบให้มักจะดูหวานล้ำเลิศรส แต่เมื่อรับประทานลงไป กลับไม่เคยนุ่มนวลหวานลิ้นแม้แต่ครั้งเดียว
วัชรสูตรน้อยทั้งไม่ลี้ลับและไม่ลึกซึ้ง เหมาะเจาะพอดีกับความกระหายอยากของจั่วม่อ ข้อเท็จจริงที่ว่ามันฝึกปรือจนสำเร็จด่านร่างภูผาโดยไม่รู้ตัว ยังพิสูจน์ชัดว่ามันมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ แทนที่จะเสี่ยงเดิมพันกับผูเยาที่ไม่น่าเชื่อถือ มิสู้ยืนหยัดอยู่กับสิ่งดีๆ ที่มันมีอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องคิดถึงการก้าวหน้าไปสู่ด่านพลังที่ลึกล้ำกว่านี้ ขอเพียงสามารถบรรลุถึงระดับชั้นที่มันเคยเหยียบย่างเข้าไปเมื่อตอนฝ่าด่านก็เพียงพอแล้ว มันเชื่อว่าด้วยพลังนี้ แม้แต่ในช่วงเวลาอันยุ่งเหยิงยากลำบากเช่นนี้ มันก็ยังมีความสามารถพอที่จะเอาชีวิตรอดได้
ขบคิดไตร่ตรองอยู่หลายวัน สุดท้ายก็ตัดสินใจเรียบร้อย จั่วม่อแล่นเข้ามายังทะเลแห่งจิตสำนึก ตระเตรียมปฏิเสธผูเยาเต็มที่ แต่แล้วกลับต้องมาตะลึงลานกับประโยคสั้นๆ ที่ลอยขึ้นมาบนป้ายหินสุสานอย่างลี้ลับ
จั่วม่อในใจอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกแปลกพิกล นี่ราวกับว่าป้ายหินสุสานใต้บั้นท้ายของผูเยา ที่แท้เป็นสิ่งมีชีวิต หรือไม่ก็สิ่งนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ ความคิดนี้เหลวไหลเกินไป ไร้สาระเสียจนแม้แต่จั่วม่อยังรู้สึกน่าหัวร่อ หลายวันมานี้เป็นมันขบคิดวุ่นวายเกินไป จนเห็นภาพลวงตาหรือสายตาเลอะเลือนไปเองหรือไม่?
ขยี้ตามองอีกที ประโยคสั้นๆ บนป้ายหิน ใหญ่โตสะดุดตายิ่ง
ไม่ใช่เข้าใจผิดไปเองแล้ว!
“เจ้าตกลงใจว่าอย่างไร?” สุ้มเสียงเฉื่อยชาของผูเยาพลันดังขึ้นข้างหู
จั่วม่อสะดุ้งเฮือก เหลือบมองแวบหนึ่ง เห็นประโยคบนป้ายหินสุสานค่อยๆ จางลง ในชั่วพริบตา ถ้อยคำอันโดดเด่นสะดุดตาก็เลือนหายไปสิ้น
หลุมศพนี้ยังมีชีวิตจริงๆ หรือ?
จั่วม่อคิดอย่างเลอะเลือน ปากก็กล่าวบอกปัด “อา ข้าได้ขบคิดมาเป็นเวลานานแล้ว...”
รอประเดี๋ยว! หากหลุมศพนี้ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ เช่นนั้น...
ทันใดนั้น มันนึกขึ้นได้ว่าตอนที่พบพานผูเยาเป็นครั้งแรก มันอยู่ในสภาวะหมดสติ ขณะที่กำลังเลอะเลือนเลื่อนลอย มันได้ยินสุ้มเสียงเก่าแก่โบราณ อ้างว้างและเข้มงวด ทีแรกมันหลงคิดว่านั่นย่อมเป็นผูเยา แต่เมื่อหวนทบทวนในยามนี้ สุ้มเสียงนั้นเข้มงวดทรงอำนาจยิ่ง แตกต่างจากท่วงท่าวาจามีเสน่ห์ เปี่ยมมนต์ขลังของผูเยาอย่างสิ้นเชิง มันมองข้ามความย้อนแย้งนี้มาโดยตลอด เนื่องเพราะในทะเลแห่งจิตสำนึกนี้ นอกจากผูเยาแล้วก็ไม่เคยมีผู้ใดอีก
ครั้งก่อนเมื่อวัชรสูตรน้อยปรากฏขึ้นบนป้ายหินสุสาน มันยังคงไม่ได้รู้สึกสะกิดใจแต่อย่างใด
‘ตอบตกลงกับมัน’
ประโยคนี้ นอกเหนือจากสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญา ไม่ว่าจะเป็นยุทธภัณฑ์เวทที่เลิศล้ำปานใด ก็ไม่อาจกล่าววาจาที่เต็มไปด้วยลักษณาการเยี่ยงมนุษย์เช่นนี้
ยิ่งคิดมากเท่าใด มันก็ยิ่งรู้สึกว่าหลุมฝังศพยังคงมีชีวิตอยู่มากขึ้นเท่านั้น
จั่วม่อความคิดหมุนเร็วรี่ เป็นธรรมดาที่ไม่สามารถกล่าววาจาสืบต่อได้ รวมกับสายตาเหม่อลอย นี่ทำให้มันในวันนี้ดูทึ่มทื่อเป็นพิเศษ
ผูเยาขมวดคิ้ว “แล้วอย่างไรเล่า?”
จั่วม่อตอบตามจิตใต้สำนึก “ข้ายังต้องคิดทบทวนดูก่อน” มันไม่สนใจผูเยา ทรุดนั่งลงบนพื้น จะอย่างไรถ้อยคำบนป้ายหินสุสานก็หายไปแล้ว
ผูเยาประหลาดใจอยู่บ้าง จั่วม่อในเมื่อเข้ามายังทะเลแห่งจิตสำนึก สมควรมีคำตอบมาแล้วจึงจะถูกต้อง ไฉนเพิ่งมาเปลี่ยนใจเอายามนี้? ผูเยาคบค้าสมาคมกับจั่วม่อมานาน บางครั้งจั่วม่ออาจรีรอลังเล แต่ยามใดที่เจ้าคนผู้นี้ตัดสินใจแล้ว จะไม่มีการหวาดหวั่นโลเลอีก แต่จะกลายเป็นดื้อรั้นเผ็ดร้อน ถึงขั้นที่กระทั่งผูเยาเองยังพูดไม่ออก
ไฉนตอนนี้จู่ๆ มันก็โลเลขึ้นมา?
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ผูเยาขบคิดจนหัวแทบแตกยังคิดไม่ถึง ว่าป้ายหินสุสานที่อยู่ใต้ก้นมัน จะชิงเล่นเล่ห์กลใต้จมูกมันนี่เอง
จั่วม่อเมื่อนั่งลง ก็เริ่มไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ป้ายหินสุสานสมควรยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ไม่ บางทีอาจกล่าวว่ามีบางสิ่งยังมีชีวิตอยู่ใต้ป้ายหินสุสาน
ยามนี้เมื่อมาคิดทบทวนดูอย่างรอบคอบ ตอนนั้นวัชรสูตรน้อยปรากฏขึ้นบนป้ายหินสุสาน ในช่วงเวลาที่ผูเยาเข้าสู่ห้วงฌาน แต่คราวนี้ ป้ายหินสุสานเล่นงานผูเยาต่อหน้าต่อตาเจ้าตัวเลยด้วยซ้ำ
ป้ายหินสุสานกับผูเยาใช่มีความแค้นต่อกันหรือไม่?
ผูเยามักจะนั่งอยู่บนป้ายหินสุสานตลอดเวลา ก่อนหน้านี้จั่วม่อรู้สึกว่าผูเยาเป็นผู้เฝ้าดูแลสุสาน ยามนี้เมื่อคิดขึ้นมา ผูเยากลับดูคล้ายเฝ้าระวังเสียมากกว่า ใช่มีศัตรูอันร้ายกาจถูกผนึกอยู่ใต้สุสานหรือไม่? เป็นผูเยาไม่อาจคลายใจ จึงต้องเฝ้าระวังด้วยตัวเองเช่นนั้นหรือ?
การคาดเดานี้สมเหตุสมผลไม่น้อย จั่วม่อรู้สึกว่า ระหว่างผูเยากับป้ายหินสุสาน แม้ไม่ใช่เกลียดชังคั่งแค้นชนิดไม่ยอมอยู่ร่วมฟ้า ความสัมพันธ์ของพวกมันก็สมควรไม่ดีนัก มิเช่นนั้นป้ายหินสุสานคงไม่ต่อต้านผูเยาถึงสองครั้งสองครา
ขบคิดมาถึงตรงนี้ จั่วม่อทันใดนั้นก็เข้าใจจุดประสงค์บางส่วนของผูเยา
ผูเยาต้องการปราณพิภพเพื่ออะไรบางอย่างที่มันไม่ยอมบอก มองจากตอนนี้อาจคะเนได้ว่า ผูเยาเสนอการค้ารายนี้ ดูเหมือนจะมีเจตนาชัดเจนต่อร่างภูผาที่จั่วม่อเพิ่งบรรลุถึง
แต่จั่วม่อก็ค้นพบจุดที่ย้อนแย้งในข้อสรุปนี้ทันที
หากผูเยากับป้ายหินสุสานมีความสัมพันธ์เลวร้ายจริง เช่นนั้นทีแรกผูเยาเพียงห้ามปรามไม่ให้มันฝึกปรือวัชรสูตรน้อยก็พอ แต่ผูเยาไม่เพียงไม่ห้าม ยังเคยกล่าวว่าให้มันตั้งใจฝึกปรือให้ดี และหากผูเยาเล็งเป้าไปยังร่างภูผาของจั่วม่อจริง ผูเยาก็ฝีมือและวิธีการจัดการกับมันมากเกินพอ
ผูเยาไม่ใช่คนใจกว้าง เจ้าผู้นี้มีบุญคุณอาจไม่ทดแทน แต่มีแค้นจะต้องชำระอย่างแน่นอน ไม่ว่าผู้ใดมีความแค้นกับมัน จะต้องเผชิญกับวิบากกรรมจากเล่ห์เพทุบายของมัน ผูเยาจะไม่ยอมให้อภัยศัตรูของมัน ทั้งยังไม่ให้โอกาสพักฟื้นคืนสภาพ
ส่วนตัวจั่วม่อเอง มันไม่คิดว่าตัวมันจะอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง ทั้งไม่คิดว่าจะส่งผลกระทบอันใดต่อพวกมัน
ยิ่งครุ่นคิดลึกลงไปเท่าใด จั่วม่อก็ยิ่งสับสนงุนงงมากขึ้นเท่านั้น
มึนๆ งงๆ อยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นโยนความคิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผูเยากับป้ายหินสุสานทิ้งไป สิ่งที่มันจำเป็นต้องพิจารณาจริงๆ คือทางเลือกใดจะทำกำไรได้มากที่สุดต่างหาก ในใจจั่วม่อ สัญญาของผูเยาไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย เทียบกันแล้ว มันยินดีเชื่อถือป้ายหินสุสานมากกว่า วัชรสูตรน้อยฉบับป้ายหินสุสานให้ประโยชน์ที่จริงแท้แน่นอนและจับต้องได้แก่มัน
ไม่มีคำอธิบายที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ครอบครองพลังอำนาจที่เที่ยงแท้ ย่อมสามารถสั่นคลอนจิตใจจั่วม่อได้มากกว่า
หากคิดว่าผูเยากับป้ายหินสุสานเป็นบุคคลสองคน ประสบการณ์ที่ผ่านมาระหว่างมันกับผูเยาเรียกได้ว่าเลวร้ายยิ่ง แต่ประสบการณ์กับป้ายหินสุสานกลับดีงามมาก
จั่วม่อทั้งฉงนใจ ทั้งสลดหดหู่ เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าจะขัดขวางความคืบหน้าของวิชาเสริมสร้างสังขาร ไฉนป้ายหินสุสานกลับเห็นดีเห็นงามไปด้วย? หรือว่า...
ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งวาบขึ้นในใจ ป้ายหินสุสานใช่เตรียมวิธีแก้ไขไว้ให้มันแล้วหรือไม่?
จั่วม่อพลันเบิกบานใจ นี่เป็นไปได้อย่างยิ่ง! มิเช่นนั้นป้ายหินสุสานจะไม่ยินยอมให้มันตกลงการค้ากับผูเยาอย่างแน่นอน หากป้ายหินสุสานไม่กังวลสนใจในความก้าวหน้าในวิถีบำเพ็ญเพียรของมัน คงไม่ถ่ายทอดวัชรสูตรน้อยให้ตั้งแต่แรก
จั่วม่อเชื่อว่าพฤติกรรมใดๆ ล้วนมีจุดมุ่งหมาย
การที่ป้ายหินสุสานสอนวัชรสูตรน้อยให้แก่มัน ก็ย่อมมีจุดมุ่งหมายบางประการ เพียงแต่ในขณะนี้มันยังไม่ทราบเท่านั้นเอง แต่จะอย่างไร เนื่องจากมีจุดมุ่งหมาย ย่อมไม่ปล่อยให้ความพยายามที่แล้วมาต้องสูญเปล่าไปอย่างง่ายดาย มิเช่นนั้น ก็ไม่มีความจำเป็นต้องถ่ายทอดวัชรสูตรน้อยให้แก่มันแต่อย่างใด
หากจะบอกว่าป้ายหินสุสานถ่ายทอดวิชาให้แก่มันเพราะความชื่นชอบเอ็นดู กระทั่งจั่วม่อเองยังไม่เชื่อ
แม้สุดท้ายไม่สามารถคาดเดาจุดมุ่งหมายของพวกมันทั้งสอง แต่จั่วม่อสามารถตัดสินได้ ว่าสิ่งใดมีประโยชน์ต่อมันมากกว่า
จั่วม่อตัดสินใจเชื่อฟังป้ายหินสุสาน
เมื่อตกลงใจแล้ว มันก็เริ่มคิดว่าป้ายหินสุสานจะแก้ปัญหานี้ให้แก่มันด้วยวิธีใด นึกถึงวัชรสูตรน้อยกับถ้อยคำที่ลอยอยู่บนป้ายหินเมื่อสักครู่ จั่วม่อตั้งใจว่า ต่อไปจะเข้ามาเยี่ยมเยือนทะเลแห่งจิตสำนึกบ่อยครั้งขึ้นอีกสักนิด
หลังจากขบคิดจนครบถ้วนกระบวนความ จั่วม่อลุกขึ้น เดินตรงไปหาผูเยา กล่าวอย่างไม่ยอมเสียเวลา
“อา ข้าคิดได้แล้ว ตกลงทำการค้า!”
“ทางเลือกของเจ้าฉลาดมาก” ริมฝีปากบางเฉียบเช่นคมมีดเย็นของผูเยายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
จั่วม่อมองปราดเดียวก็พบเห็นรอยเยาะเย้ยในรอยยิ้มนี้ได้ ทั้งยังรู้สึกว่ารอยยิ้มของผูเยานี้แฝงไว้ด้วยความสะใจแปลกๆ แทบจะเป็นหลักฐานยืนยันการคาดเดาบางส่วนของมัน
ในที่สุดมหาหัตถ์พันใบบทแรกกับหัตถ์พันใบน้อยสามกระบวนท่าแรกก็มาอยู่ในมือมัน จั่วม่อเริ่มศึกษาพวกมันอย่างหิวกระหาย
เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดลึกลับคลุมเครือ จนถึงวันนี้จั่วม่อยังแทบไม่มีความคืบหน้า แม้ว่าทั้งสองวิชาใหม่นี้มีจุดที่ยากจะทำความเข้าใจ แต่เทียบกับเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดแล้ว ยังง่ายดายกว่ามาก แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจมากที่สุดสำหรับจั่วม่อ คือการที่ผูเยายินดีสอนหัตถ์พันใบน้อยด้วยตัวเอง
มันฉวยโอกาสสอบถามผูเยา ขอความกระจ่างในปัญหาที่พบ คาดไม่ถึงว่าผูเยาจะเปลี่ยนจากท่าทีตระหนี่ถ้อยคำตามปกติอย่างกะทันหัน ยินยอมตอบคำถามทั้งหมดอย่างง่ายดาย แทบจะเรียกได้ว่าอดทนอย่างไม่ย่อท้อ ทำเอาจั่วม่ออัศจรรย์ใจไม่น้อย
โอกาสอันดีงามถึงเพียงนี้ หากไม่ใช้ให้เต็มที่ มันก็โง่งมยิ่งแล้ว จั่วม่อฉวยโอกาสสอบถามทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเคยงุนงง ไล่เรียงออกมาจนหมดสิ้น ผูเยาก็ชี้แนะให้อย่างไม่เกี่ยงงอน
หลังจากสะสางปัญหาคาใจเสร็จสิ้น จั่วม่อรู้สึกว่านี่คุ้มค่ามาแล้ว ต่อให้จะไม่ได้รับสองวิชานี้ก็ตาม!
ศาสตร์วิชาอสูรสองชุดที่เกี่ยวข้องกับพลังจิตสำนึกนี้ ลึกซึ้งและน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าม้วนหยกใดที่มันเคยผ่านตามา ล้วนไม่อาจยกขึ้นเปรียบเทียบได้ เช่นเดียวกันกับความแตกต่างระหว่างก้อนเมฆกับพื้นดิน
ทว่าการค้ากับผูเยา ไม่เคยปล่อยให้มันมีความสุขง่ายๆ มักมาพร้อมกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับร่างกายเลือดเนื้อเสมอ
ภายใต้การชี้แนะของผูเยา จั่วม่อเรียนรู้วิธีดูดซับปราณพิภพจากพื้นดินอย่างรวดเร็ว ปราณพิภพของวิชาเสริมสร้างสังขาร กับปราณพิภพในเคล็ดปราณพิภพของวิชาห้าธาตุที่จั่วม่อฝึกปรือ แม้ใช้นามเดียวกัน แต่อันที่จริงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ปราณพิภพของเคล็ดปราณพิภพคือปราณธรรมชาติเบาบางที่ถูกหล่อเลี้ยงจากดิน แต่ปราณพิภพที่จั่วม่อดูดซับเข้ามาในเวลานี้ เป็นพลังที่หนักหน่วงและเข้มข้นยิ่ง ความคล้ายคลึงเดียวระหว่างพวกมันทั้งคู่ คือทั้งหล่อเลี้ยงและหนักแน่น แต่สิ่งที่เคล็ดปราณพิภพหล่อเลี้ยงคือพืชปราณ ทว่าปราณพิภพของวิชาเสริมสร้างสังขารหล่อเลี้ยงร่างกายเลือดเนื้อของมัน
จั่วม่อค้นพบอย่างระมัดระวัง ว่าเหตุผลที่มันสามารถดูดซับปราณพิภพ ประการแรกเป็นเพราะวิชาเสริมสร้างสังขารของมันบรรลุถึงด่านร่างภูผา ส่วนอีกประการหนึ่งเป็นเพราะแผนผังปิศาจ
แผนผังปิศาจที่ผูเยาสลักไว้บนร่างของจั่วม่อ เป็นของวิเศษที่ทำให้ร่างกายของมันสื่อสารกับแผ่นดินโลกได้
ถึงตอนนี้มันเข้าใจอยู่บ้างว่าไฉนปิศาจจึงฝึกปรือสังขารของพวกมันเป็นหลัก เนื่องเพราะพวกมันถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับแผนผังปิศาจตามธรรมชาติ เป็นบุตรหลานแห่งแผ่นดินโลกอย่างแท้จริง
ในช่วงเวลาที่ดูดซับปราณพิภพ ช่างสุขสบายจนชวนให้เคลิบเคลิ้มมึนเมา ทีละเล็กทีละน้อย พลังงานที่ควบรวมหนาแน่นค่อยๆ แล่นผ่านสองเท้า เคลื่อนขึ้นสู่ร่างกายอย่างแช่มช้า หล่อเลี้ยงทุกส่วนในร่างกายของมัน มันสามารถรู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นในร่าง และสามารถสัมผัสถึงความเงียบสงบสุขสบาย อย่างที่ไม่เคยพบเจอจากที่ใด ชวนให้ลุ่มหลงงมงายถึงที่สุด
แต่ในชั่วพริบตานี้เอง ปราณพิภพที่เพิ่งเข้ามาในร่าง ก็ถูกผูเยาดึงออกไปในรวดเดียว แน่นอนว่าทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส!
เมื่อพลังแห่งสังขารในร่างกายถูกดึงออกไปจนเกลี้ยงฉาด จิตใจของจั่วม่อจะกลวงเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อสติกลับคืนสู่ร่าง มันจะรู้สึกอ่อนแอ สิ้นไร้เรี่ยวแรงกำลัง ราวกับเป็นโรคร้ายเรื้อรัง อาการวิงเวียนศีรษะและคลื่นเหียนอย่างรุนแรงทำลายความหิวกระหายของมันทั้งหมด ทั้งยังทำลายความสนใจในชีวิตทั้งหมดของมัน
ทุกครั้งที่ผูเยาสูบปราณพิภพออกไป จั่วม่อมีเพียงความคิดเดียว หมดสติและหลับไปเสียดีกว่า!
อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้หลับ มันต้องการจะฝึกฝีมือ!