Chapter 2: ระบบความหวังสุดท้าย
Chapter 2: ระบบความหวังสุดท้าย
“เงื่อนไขสมบูรณ์ ระบบความหวังสุดท้ายได้ปลดล็อค”
“ระบบความหวังสุดท้ายกำลังทำงาน : โปรดรอ”
ตอนนั้นก็ได้มีช่องโหลดโผล่ขึ้นมาในหัวของ เยล สองนาทีกว่าที่มันจะเสร็จสิ้น
“ระบบความหวังสุดท้ายเปิดทำงานสำเร็จ เยลโรนแมด ลงทะเบียนเป็นผู้ใช้งานระบบ คุณสามารถเริ่มการทำงานของระบบได้”
เยล ตื่นเต้นขึ้นมา แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร ระบบก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณต้องการที่จะเริ่มบทฝึกสอนของระบบหรือไม่ ?”
เยล ยังคงไม่รู้ฟังก์ชันของระบบนี้ ดังนั้นแล้วเขาจึงพูดมันออกมาดังๆ
“ต้องการ !”
แต่ระบบนั้นไม่ได้ตอบโต้อะไรจึงทำให้เขาต้องพูดออกมาอีกครั้ง
“ข้าต้องการที่จะเริ่มการฝึกสอน !”
ระบบนั้นยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เยล หยุดพูดแล้วเห็นว่าตอนนี้มันก็มืดแล้วและไม่มีใครอยู่ในห้องสมุด เขานั้นโชคดีเพราะถ้ามีคนอยู่ที่นี่ เขาคงโดนและที่สำคัญกว่านั้นการมีอยู่ของระบบนี้จะถูกเปิดเผยออกมา
เขามั่นใจว่าระบบนี้ล้ำค่าอย่างมากและเพียงพอที่จะปลุกความโลภในตัวคนอื่นได้ บางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ความรู้มากมายในการปลดล็อคมันออกมาคงไม่มีทางเป็นของธรรมดาแน่ ถ้าการมีอยู่ของระบบนี้นั้นถูกเปิดเผยออกมาแล้วเขาคงพบกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก
เขาสาบานกับตัวเองในใจว่าเขาจะไม่ทำผิดพลาดแบบนี้อีก ระบบนี้ควรจะเป็นความลับสุดยอดของเขา เยล นั้นจำเป็นต้องหาทางซ่อนมันจากคนอื่นไม่งั้นแล้วเขาเองนี่แหละที่จะเป็นฝ่ายเดือดร้อน
“ผู้ใช้ไม่ต้องกังวล : ไม่มีใครสามารถรู้การอยู่ของระบบได้ถ้าคุณไม่เปิดเผยมัน”
เยล แปลกใจ ระบบนั้นตอบโต้ไปตามความคิดของเขา จากนั้นเขาก็ได้พยายามพูดในใจดูด้วยคำพูดที่เขาตะโกนก่อนหน้านี้
“การฝึกกำลังเริ่มต้น....”
เยล ถอนหายใจออกมาที่เห็นว่ามันได้ผล ตอนนี้เขาเข้าใจว่าเขาจำเป็นต้องคิดในการที่จะใช้ระบบ ก่อนหน้านี้เขาตื่นเต้นเกินไปและไม่คิดอะไรมากจนตะโกนออกมา เยล หยุดคิดและสนใจกับการฝึกสอนที่ระบบจัดให้มา
“ระบบความหวังสุดท้ายนั้นมีสองฟังก์ชันหลัก ระบบค้นหาฐานข้อมูลและเมนูเควส การค้นหาข้อมูลจะให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลต่างๆที่ถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลได้ ระบบนั้นได้ทำการสแกนร่างกายและวิญญาณของคุณแล้ว ข้อมูลทุกอย่างนั้นถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล ความรู้ทุกอย่างที่ใช้ในการปลดล็อคระบบเองพร้อมใช้งานตอนไหนก็ได้”
เยล ดีใจที่ได้ยินแบบนั้น แม้ว่าเขาจะมีความจำที่ดีเพียงใดแต่เขาก็ไม่อาจที่จะจดจำทุกสิ่งที่เขาอ่านรึเห็นมาในอดีตได้ เขาจำได้แค่รายละเอียดหลักๆเท่านั้นแต่เขาไม่สามารถจดจำเรื่องเล็กๆน้อยๆได้ ด้วยการมีอยู่ของฟังก์ชันนี้แล้วเขาสามารถได้รับข้อมูลทุกอย่างที่เขาต้องการตอนไหนก็ได้ !
แต่สิ่งที่ทำให้เขาสนใจคือการสแกนร่างกายและวิญญาณ เยล สงสัยว่ามันคือข้อมูลแบบไหนที่ระบบได้ไปในตอนที่ระบบได้หยุดความคิดของเขาไป
“เพราะผู้ใช้สนใจมัน ข้อมูลที่ได้จากร่างกายและวิญญาณได้สร้างขึ้นอีกสองฟังก์ชัน เมนูสเตตัสและเมนูพรสวรรค์โดยกำเนิด”
ในตอนที่ระบบได้พูดขึ้นมา เยล ก็ช็อค เขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้และระบบได้สร้างฟังก์ชันใหม่สองอันขึ้นมา ตอนแรกแล้วระบบมีเพียงแค่สองฟังก์ชันแต่ตอนนี้มันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
เขาไม่มั่นใจเกี่ยวกับสเตตัสสแต่พรสวรรค์โดยกำเนิดนั้นเป็นของที่ใครๆต่างก็ต้องการ มีเพียงแค่คนที่มีพรสวรรค์แต่กำเนิดเท่านั้นที่ทำให้คนสนใจได้ พรสวรรค์นั้นเป็นของที่คนเราเกิดมาพร้อมกับมันและไม่อาจได้รับมันมาได้มากกว่านี้อีก แม้ว่าจะเป็นไปได้ที่จะพัฒนาพรสวรรค์ที่มีแต่ก็คงยากขึ้นเรื่อยๆที่จะทำให้มันพัฒนาได้ในตอนที่โตแล้ว
ประเพณีที่จะทำการทดสอบเด็กๆนั้นจะอยู่ตอนพวกเขาอายุได้สิบปี ในตอนที่เสียการปกป้องจากโลกไปและสามารถเข้ารับการฝึกฝน,ทดสอบมันก่อนที่จะบอกผลลัพธ์ออกมา พรสวรรค์แต่กำเนิดนั้นยากที่จะตีค่าได้
เยล สงสัยว่าเมนูพรสวรรค์นี้น่ะสามารถแสดงพรสวรรค์ของเขาได้ตอนไหนก็ได้ พรสวรรค์อาจจะมีทั้งในร่างกายและวิญญาณ ระบบนี้ควรที่จะมีข้อมูลที่จำเป็นเนื่องจากมันได้สแกร่งกายของเขาไปแล้ว เขาอ่านเจอมาว่ามีบางคนที่สัมผัสได้ว่าตัวเองนั้นมีพรสวรรค์ การรู้ของตัวเองนั้นง่ายยิ่งกว่าการไปการตรวจสอบของคนอื่นแต่มีเพียงแค่อัจฉริยะที่แท้จริงเท่านั้นที่โชคดีที่สามารถทำแบบนั้นได้
ถ้า เยล รู้เรื่องพรสวรรค์ของตัวเองตอนนี้ โอกาสที่เขาจะพัฒนาตัวเองได้ก็คงจะสูงกว่าคนอื่นอย่างมากเพราะเขาอายุแค่เพียงหกปี อีกสี่ปีนี้นั้นคือเวลาที่สำคัญอย่างมาก
เขายังคงหลงไปกับความคิดนั้นตอนที่ระบบได้ทำงานต่อ
“เมนูสเตตัสสามารถโชว์ข้อมูลผู้ใช้เป็นตัวเลขเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ”
จากนั้นสเตตัสก็ได้โผล่ขึ้นมาในหัวของเขา
"Name: เยลโรนแมด| Age: 6 (กฎการปกป้องจากโลก) | ระดับร่างกาย: 0 |ระดับจิตใจ: 0"
"Vitality: 3 | Strength: 1 | Agility: 1 | Intelligence: 10 | Wisdom: 10 | Dexterity: 7"
ระบบได้บอกว่าเลขหนึ่งคือค่าน้อยสุด เยล แสดงสีหน้าแปลกๆออกมาพร้อมกับพึมพำ
“นี่มัน...ข้ารู้ว่าข้าน่ะไม่ได้ออกกำลังกายมากเท่าไหร่แต่การมีค่าแรงและความว่องไวแค่เพียงหนึ่งนี้มัน....”
อันที่จิรงแล้ว เยล ไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเลย นอกซะจากว่าเขาจะเกิดมาด้วยร่างกายที่แข็งแรงแล้วตัวเลขพวกนี้ก็เหมาะกับอายุและรูปแบบการใช้ชีวิตของเขาแต่การที่มีค่าแรงน้อยแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ เยล ชอบนัก
ค่าความอึดของเขาก็ถือได้ว่าเฉลี่ยทั่วไปกับช่วงอายุ แต่การที่มีค่าความแม่นยำถึง 7 หน่วยนี้ถือว่าเยอะ สำหรับค่าความฉลาดและไหวพริบแล้ว พวกมันเยอะสุดเท่าที่เป็นไปได้ ด้วยเลเวลเพียงแค่ศูนย์จะไม่มีสเตตัสใดที่เกินสิบได้ นั่นคือขีดจำกัดของมัน การจะเกิดกว่านี้เลเวลน่าจะต้องเป็นสอง ในอีกความหมายคือต้องกลายมาเป็นนักปราชญ์ 2 ดาวก่อน
มีสองทางที่จะแข็งแกร่งได้ในโลกของ เยล ทางแรกคือฝึกพลังฉีและกลายเป็นนักรบ อีกทางคือฝึกจิตใจและกลายมาเป็นมากัส ยังมีรูปแบบอื่นๆอยู่อีกแต่ส่วนมากก็ได้หายไปตั้งแต่ยุคโบราณรึไม่ก็ถูกละทิ้งไปเพราะไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่าสองทางแรก
ระบบนั้นเพียงแค่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับสองทางเลือกนี้ เลเวลในสเตตัสก็ได้แสดงแยกออกกันไปและแต่ละอันก็มีข้อบ่งบอกที่ต่างกัน เลเวลของร่างกายหมายถึงการเพิ่มค่าความอึด,แรงและความว่องไว ในอีกด้านเลเวลของจิตใจนั้นหมายถึงการเพิ่มของความฉลาด,ไหวพริบและความแม่นยำ
ในระบบตอนแรกทั้งสองอย่างนั้นอยู่ที่เลเวล 0 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา คนทั่วไปตอนนี้ที่เริ่มฝึกฝนพลังฉีรึเวทย์มนต์นั้นจะถือว่าอยู่ในเลเวล 1 ซึ่งเดี่ยวเท่าได้กับนักสู้ 1 ดาวรึนักปราชย์ 1 ดาว นั่นไม่ได้ทำให้ข้อจำกัดของสเตตัสนั้นเปลี่ยนไปแต่มันบ่งบอกได้ว่าคนๆนั้นอย่างน้อยก็มีพรสวรรค์มากกว่าคนธรรมดา นี่เป็นก้าวแรกของการกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ
แน่นอนมันเป็นไปได้ที่จะฝึกทั้งสองอย่าง มีหลายคนที่ลองทำแบบนั้นแต่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องเลือกที่จะสนใจในด้านเดียวเพราะพวกเขาต้องเป็นนักรบระดับมือใหม่รึมากัสมือใหม่ก่อนที่จะอายุ 16 ปี หลังจากที่อายุ 16 แล้ว มันจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไปถึงระดับ 9 ดาวได้ ดังนั้นในท้ายที่สุดแล้วการสนใจแค่เพียงทางเลือกเดียวนั้นก็จะมีโอกาสดีกว่าที่จะได้เป็นอันดับหนึ่งในตัวเลือกนั้นได้
การฝึกพลังฉีรึเวทย์นั้นสามารถทำได้ตอนที่อายุ 10 ปีไปแล้วและเสียการปกป้องจากโลกไป ไม่มีใครทำได้สำเร็จในก่อนหน้านี้และแม้ว่าจะลองทำก็เหมือนกับการคุกคามตัวเอง
เพราะอายุ เยล จึงยังคงเป็นคนทั่วไปอยู่และจากสเตตัสแล้ว ชัดแล้วว่าเขาน่ะเหมาะที่จะเป็นมากัสและมันคงยากอย่างมากถ้าเขาต้องการที่จะเป็นนักรบ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เยล ยังคงเหลือเวลาอีกสี่ปีเพื่อทำการฝึกฝนก่อนที่เขาจะได้ทำการฝึกได้ ดังนั้นแล้วการเพิ่มค่าสเตตัสของเขานั้นคงเป็นเรื่องดีอย่างมากสำหรับการเตรียมตัว และเพราะความฉลาดและไหวพริบที่มีนั้นถึงขีดจำกัดแล้ว เขาควรที่จะไปสนใจค่าสเตตัสอย่างอื่นแทน
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญสำหรับ เยล มากกว่าค่าสเตตัสของเขาคือพรสวรรค์ของเขา คนเรานั้นสามารถที่จะฝึกพลังฉีได้ตราบใดที่ฝึกหนักพอแม้ว่าจะไม่มีพรสวรรค์ก็ตาม
แต่เวทย์นั้นมันเกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ภายใน ถ้าคนเราไม่มีพรสววรค์ด้านเวทย์เลย มันก็ไม่สำคัญว่าจะมีค่าความฉลาดและไหวพริบที่สูงเพียงใด ยังไงคนๆนั้นก็ไม่มี่ทางที่จะเป็นมากัสได้
ในที่สุดระบบก็ได้ทำการอธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับสเตตัสทั้งหมดให้ เยล ฟัง ตอนนั้นเองมันก็ได้เปลี่ยนไปที่เมนูพรสวรรค์ เยล นั้นกังวลอย่างมากในตอนที่มันโผล่ขึ้นมาในหัวของเขา