ตอนที่แล้วบทที่ 177 การค้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 179 ป้ายหินสุสาน  

บทที่ 178 คล้อยตามความว่างเปล่า  


 

“แค่เลือดหยดเดียว ราคาเล็กน้อยเช่นนี้ เจ้าก็ไม่เต็มใจจ่ายแล้ว?” ผูเยาขมวดคิ้วนิ่วหน้า ตัดพ้ออย่างขุ่นข้อง

“ราคาเล็กน้อย?” จั่วม่อสุ้มเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เอาเลือดจากร่างกายข้ายังจะเล็กน้อยอีกหรือ?”

จากนั้นกล่าวอย่างเฉียบขาด “เรื่องนี้ไม่สามารถเจรจากันได้ จิงสือหรือยุทธภัณฑ์เวท จะมาเทียบเท่าชีวิตน้อยๆ ของข้าได้อย่างไร?”

ผูเยาสะบัดหน้า ยกมือเท้าคาง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเสนอว่า “เช่นนี้เป็นอย่างไร ข้าไม่ต้องการแก่นโลหิตของเจ้าก็ได้ แต่เจ้าต้องให้ปราณพิภพที่เจ้าสูบขึ้นมาจากพื้นโลกแก่ข้าทุกวัน”

“ปราณพิภพ?” จั่วม่ออึ้งไปครู่หนึ่ง แต่มันตอบสนองได้เร็วมาก ในใจหวนนึกถึงการต่อสู้กับจระเข้หนามครามเมื่อสักครู่ และนึกถึงความรู้สึกอันพิสดารที่ร่างกายของมันเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับโลก

มีปัญหา!

เจ้าผูเยาจอมเจ้าเล่ห์ ที่แท้นี่จึงเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของมัน!

“อันใดคือปราณพิภพ?” จั่วม่อถาม ในใจพอมีคำตอบอยู่แล้ว

ผูเยาเป็นอสูรที่มีอายุหลายพันปี แม้ว่าจั่วม่อพยายามปกปิด แต่ไหนเลยจะรอดพ้นสายตาและสติปัญญาของมันไปได้ ผูเยาสามารถค้นพบร่องรอยจากการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในดวงตาจั่วม่อ ทันใดนั้นยิ้มกริ่มแบบไม่ปิดบัง “เผ่าปิศาจมักมีความคิดอยู่เสมอ ว่าแผ่นดินโลกเป็นมารดาของสรรพสิ่ง พลังของโลกยิ่งใหญ่ไพศาลกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด เมื่อพวกมันบำเพ็ญเพียร พวกมันจะให้ความสนใจเป็นพิเศษในการสื่อสารสัมพันธ์กับแผ่นดินโลก เจ้าเพิ่งสำเร็จด่านแรกของวิชาบำเพ็ญเพียรเสริมสร้างสังขาร ด่านนี้เรียกว่าร่างภูผา เมื่อบรรลุด่านร่างภูผา เวลานี้เจ้าสามารถสื่อสารสัมพันธ์กับแผ่นดินโลก ตราบเท่าที่เท้าของเจ้ายังยืนอยู่บนพื้นดิน เจ้าจะมีเรี่ยวแรงพลังไร้ที่สิ้นสุด”

จั่วม่อฟังอย่างระมัดระวัง

“แน่นอนว่าเผ่าปิศาจปัญญาอ่อนเหล่านี้ ไม่ได้เข้าใจอันใดลึกซึ้ง มรรคานี้เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ง่ายที่จะเริ่มต้นฝึกปรือ เผ่าปิศาจสืบเชื้อสายมาจากสัตว์ป่า หากเทียบกับซิวเจ่อ พวกมันมีธรรมชาติที่สามารถเชื่อมต่อกับแผ่นดินโลกได้ดีกว่า เป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกมันที่จะเริ่มต้นมรรคานี้ แต่สำหรับเจ้า นับว่าเหนือความคาดหมายของข้าไปมาก นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ด้านบำเพ็ญเพียรเสริมสร้างสังขารด้วย”

“ปราณพิภพใช่เป็นพลังอำนาจที่ส่งผ่านมาจากแผ่นดินโลกหรือไม่?” จั่วม่อแทบไม่ต้องถาม

“อ้อ จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด” ผูเยาผงกศีรษะรับ

“เช่นนั้นหากข้ายกปราณพิภพให้แก่เจ้า นั่นหมายความว่าร่างภูผาของข้าจะไม่มีความก้าวหน้าอีกใช่หรือไม่?” จั่วม่อถามต่อ มันย่อมไม่โง่งม

“ถูกต้อง” ผูเยายังคงพยักหน้า ยอมรับอย่างเยือกเย็น

“ไม่ตกลง!” จั่วม่อสั่นศีรษะ

ผูเยาดูเหมือนจะงงงวย “ไฉนไม่? ร่างภูผาแม้อาจกล่าวได้ว่ามีพลังเทียบเท่าหมื่นคชสาร แต่ในความเป็นจริงนับว่าทื่อด้านโง่งมยิ่ง ไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่าค่ายกลกระบี่ที่เจ้าคิดไว้ด้วยซ้ำ ยิ่งเทียบกับมหาหัตถ์พันใบและหัตถ์พันใบน้อย ยิ่งห่างไกลกันสุดกู่ ไหนจะจิงสือมากมายที่ข้าสัญญาว่าจะไม่แตะต้องอีก เจ้าไฉนไม่ยอมตกลง?”

จั่วม่อยิ้มหยัน “มหาหัตถ์พันใบกับหัตถ์พันใบน้อย ข้าไม่ทราบว่ามีพลังมากเท่าใดด้วยซ้ำ แต่สำหรับพลังของร่างภูผาข้าได้สัมผัสด้วยตัวเองมาแล้ว นี่เป็นทางเลือกที่ง่ายดายมาก”

ผูเยาพอฟัง ถึงกับพูดไม่ออก มันหลงลืมไปว่าจั่วม่อผ่านการใช้งานจริงมาแล้ว แต่สำหรับอสูรฟ้าที่มีชีวิตอยู่มาหลายพันปีเช่นมัน ปัญหาเล็กน้อยแค่นี้นับเป็นอะไรได้? มันขบคิดหาวิธีแก้ไขได้ทันที “เรื่องนี้ง่ายดายมาก  มหาหัตถ์พันใบแบ่งออกเป็นเจ็ดบท เจ้าสามารถฝึกปรือได้บทเดียว ส่วนหัตถ์พันใบน้อยเจ้าสามารถฝึกปรือได้สามกระบวนท่า ข้าจะให้เจ้าชมดูมหาหัตถ์พันใบน้อยครึ่งบท และสอนเจ้าฝึกหัตถ์พันใบน้อยหนึ่งกระบวนท่า โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย”

“แน่นอนว่าไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งยังไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติม” ผูเยารีบสัญญา

“ตกลง เช่นนั้นลองส่งมาชมดู” จั่วม่อกล่าวอย่างไม่แยแสสนใจ ในใจมันลอบตัดสินใจแล้ว คราวนี้มันจะต้องเอารัดเอาเปรียบผูเยาให้จงได้ ในเมื่อไม่เสียค่าใช้จ่ายอันใด ก็เรียนรู้มหาหัตถ์พันใบครึ่งบทกับหัตถ์พันใบน้อยหนึ่งกระบวนท่าเสียก่อน จากนั้นมันจะบอกผูเยาว่ายังคงไม่ตกลง ฮ่า!

นึกถึงว่าผูเยาจะต้องขุ่นแค้นจนกระอักเลือด ในใจมันสุขสราญเบิกบานใจยิ่ง

ผูเยาไม่สิ้นเปลืองถ้อยคำ โยนมหาหัตถ์พันใบครึ่งบทมาให้ทันที

จั่วม่อย่อมไม่ปฏิเสธให้โง่ ในใจยังเพ้อฝันถึงฉากผูเยาขุ่นแค้นจนกระอักเลือด เริ่มต้นอ่านมหาหัตถ์พันใบน้อยครึ่งบท

ผ่านตาคำสั้นๆ ไปเพียงไม่กี่คำ ความไม่แยแสของจั่วม่อก็ปลิวหายวับ

มันจมลงในโลกแห่งเคล็ดวิชา

เทียบกับความลี้ลับคลุมเครือของเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดแล้ว มหาหัตถ์พันใบน้อยครึ่งบทก็เข้าใจได้ง่ายมาก เช่นเดียวกันกับอัจฉริยะผู้หนึ่งถามคำถาม แล้วตอบคำถามของตัวมันเอง

มุ่งหน้าตรงเข้าไปยังหัวข้อหลักที่ถูกต้องเที่ยงแท้ตั้งแต่เริ่มต้น เริ่มแรกก็อธิบายถึงวิธีการควบคุมปราณธรรมชาติ

เผ่าปิศาจใช้ร่างกายของพวกมันเป็นอาวุธ ฝึกปรือขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง อาศัยปราณธรรมชาติเปลี่ยนแปลงจากภายในร่างกาย เพียงยกมือวางเท้า สามารถผ่าขุนเขาถมทะเล ส่วนซิวเจ่อเน้นฝึกปรือปราณธรรมชาติให้เป็นพลังปราณ เก็บกักพลังปราณไว้ภายในร่างกายตน โคจรหมุนเวียนไปตามเส้นชีพจรปราณ ง่ายต่อการบังคับใช้ ส่วนพลังจิตสำนึกไร้รูปไร้ลักษณ์ สามารถแผ่พุ่งออกมานอกร่างกาย ควบคุมด้วยจิตใจ บังคับใช้ปราณธรรมชาติได้โดยตรง แต่ใช้งานยากยิ่ง เผ่าอสูรแม้ว่าจะถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมความสามารถควบคุมพลังจิตสำนึกตามธรรมชาติ แต่ยังมีระดับชั้นความช่ำชองชำนาญที่แตกต่างกัน ยอดฝีมือเผ่าอสูรชั้นสูงสุด สามารถควบคุมฟ้าดินได้ด้วยความคิดเดียว

หลังจากอารัมภบท ก็เป็นกองภูเขาคำถามตอบเกี่ยวกับพลังแห่งจิตสำนึก

จิตใจของจั่วม่อหลงใหลอย่างลึกล้ำ หลายคำถามเป็นปัญหาที่ค้างคาใจมันมาเป็นเวลานาน ยังไม่เคยหาแนวทางแก้ปัญหาได้

สายตาของมันกวาดไล่ลงไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกตัว

ผู้คิดค้นวิชาตอบไปทีละคำถาม ด้วยภาษาที่เรียบง่ายรวบรัด เข้าใจง่ายมาก จั่วม่อรู้สึกเหมือนม่านหมอกที่บังตาถูกยกขึ้นในบัดดล

ข้อสรุปสุดท้ายกล่าวได้ว่า พลังแห่งจิตสำนึกเป็นเช่นหมอกควัน สิ่งที่ขาดไปคือโครงกระดูก เป็นเหตุให้ยากที่จะควบคุมบังคับ ไม่เหมือนเผ่าปิศาจที่เน้นฝึกปรือสังขารของพวกมันเป็นหลัก ฝึกปรือกระดูกทุกชิ้น รวมถึงเลือดเนื้อและผิวหนัง ทุกอย่างนับเป็นเส้นทาง ควบคุมด้วยจิตใจ ง่ายต่อการควบคุม ทั้งยังไม่คล้ายซิวเจ่อที่มุ่งฝึกปรือพลังปราณ เส้นชีพจรปราณซับซ้อนครอบคลุมไปทุกซอกมุมทั่วร่าง ย่อมสามารถควบคุมบังคับได้ดั่งใจปรารถนา

สิ่งที่พลังจิตสำนึกขาดพร่องไปก็คือเส้นทางโคจรพลังเช่นนี้เอง พลังจิตสำนึกกระจายตัวตามธรรมชาติ มีเพียงเผ่าอสูรชั้นสูงบางเผ่าที่มีเมล็ดพันธุ์อสูร สามารถใช้เมล็ดพันธุ์อสูรเป็นแกนหลัก สร้างเส้นทางโคจรพลังเฉพาะตัวขึ้นมา นี่เป็นเหตุผลที่ไฉนอสูรชั้นสูงจึงทรงพลังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เผ่าอสูรก็ไม่เคยขาดแคลนยอดอัจฉริยะ แม้จะไม่ได้สืบสายเลือดชั้นสูง แต่พวกมันสามารถรังสรรค์วิถีทางใหม่ของตน

มหาหัตถ์พันใบย่อมเป็นหนึ่งในวิถีทางใหม่เหล่านี้เอง

ประดุจเถาวัลย์ถักสานเป็นตาข่าย หนึ่งข้อต่องอกหนึ่งใบ ใบไม้ประหนึ่งหัตถ์ นิ้วทั้งห้าควบคุมจิตสำนึก บรรลุถึงขั้นพันเปลี่ยนหมื่นแปร

จั่วม่อดื่มด่ำมึนเมา มันไม่เคยได้ยินได้ฟังวิธีการเช่นนี้มาก่อน แปลกใหม่สุดเปรียบปาน จั่วม่อไม่ใช่เผ่าอสูร ผูเยาแม้เคยฝังเมล็ดพันธุ์อสูรลงไป ช่วยเพิ่มพูนความสามารถในการควบคุมจิตสำนึกให้แก่มัน แต่ไม่อาจยกขึ้นเปรียบกับมหาหัตถ์พันใบ นี่เป็นระดับชั้นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

หากมันฝึกปรือมหาหัตถ์พันใบสำเร็จ ไม่ว่าค่ายกลใดหากอยู่ในมือมัน จะสามารถสำแดงพลานุภาพออกมาถึงขั้นสุดยอด!

นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ต่อการหลอมสร้างยุทธภัณฑ์และหลอมกลั่นโอสถ

ขณะที่จั่วม่อรีบอ่านอย่างคลั่งไคล้ ทันใดนั้นก็ชะงักกึก จบครึ่งบทแล้ว!

จั่วม่อรู้สึกคันหัวใจยากจะเกา เรื่องราวกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม อีกฝ่ายพลันหยุดลงอย่างกะทันหัน มันอึดอัดขัดข้องอย่างยากจะบ่งบอกบรรยาย บัดซบ! ไฉนจบบทตรงนี้!

จั่วม่อผู้เฝ้ารอชมดูผูเยาขุ่นแค้นจนกระอักเลือด เวลานี้รู้สึกอยู่ลึกๆ แล้ว ว่าอะไรคือความรู้สึกขุ่นแค้นจนกระอักเลือด!

ไม่ มันต้องควบคุมตัวเอง ครั้งนี้ปล่อยให้ผูเยาชนะไม่ได้!

จั่วม่อฝืนละสายตาจากมาอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ จากนั้นหลับตาพักครู่หนึ่ง ค่อยๆ ปรับอารมณ์ให้สงบลง พอลืมตาขึ้นมา จิตใจก็สงบราบคาบกระจ่างใส นี่คือลูกไม้ที่เจ้ามารร้ายมักใช้ออกเป็นประจำ หากมันยินยอมทำการค้าจริงๆ จากนั้นรับรองว่ายังมีกับดักมากมายรอคอยมันอยู่ข้างหน้า

เยือกเย็นไว้ เยือกเย็นไว้...

ในใจมันย้ำเตือนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก บอกตัวเองอย่างดุเดือดว่าจะไม่ยอมตกหลุมพรางของเจ้าผูเยาอีก การสะกดจิตตัวเองเช่นนี้คล้ายจะได้ผลไม่น้อย มันตัดสินใจขอทดลองฝึกปรือหัตถ์พันใบน้อยหนึ่งกระบวนท่าเสียก่อนค่อยว่ากัน

ผูเยาพอฟังก็พยักหน้าอย่างสดชื่น “ประเสริฐ เช่นนั้นข้าจะสอนกระบวนท่าแรกให้แก่เจ้า”

“หัตถ์พันใบน้อยมีทั้งสิ้นสามสิบหกกระบวนท่า กระบวนท่าแรกเป็นหนึ่งในสองกระบวนท่าที่เรียบง่ายที่สุด แต่เป็นรากฐานของทุกกระบวนท่า หลายกระบวนท่าถัดไปจะสัมพันธ์กับสองกระบวนท่านี้อยู่บ้าง เจ้าต้องฝึกปรือให้ช่ำชอง”

เห็นผูเยาทำท่าทางราวกับจะลงมือสอนด้วยตัวเองจริงๆ จั่วม่ออดแตกตื่นยินดีไม่ได้

ผูเยาพลังฝีมือสูงล้ำเทียมฟ้า แต่จั่วม่อไม่เคยเห็นผูเยาลงมือกับตาตัวเอง ตอนนี้เมื่อสามารถชมดูผูเยาสำแดงพลังของตน ในใจมันตื่นเต้นสนใจยิ่ง

“มหาหัตถ์พันใบกับหัตถ์พันใบน้อย ถูกสร้างขึ้นโดยอสูรฟ้าโบราณท่านหนึ่ง เดินไปในวิถีทางย้อนทวนฟ้าดิน” สุ้มเสียงของผูเยาเต็มไปด้วยความเคารพเทิดทูน “อสูรเมื่อถือกำเนิดขึ้นมา ส่วนมากความสำเร็จมักถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรก เมล็ดพันธุ์อสูรก่อตัวขึ้นตามธรรมชาติของสายเลือด และกลายเป็นแหล่งกำเนิดพลังของอสูรตนนั้น อสูรฟ้าท่านนี้ถือกำเนิดจากชนชั้นธรรมดาสามัญที่สุด ปีนป่ายขึ้นจากเสี่ยวเยา* (อสูรน้อย) กลายเป็นเทียนเยา (อสูรฟ้า) ในท้ายที่สุด เจ้าอาจไม่ทราบว่าเรื่องนี้น่าชื่นชมถึงเพียงไหน เพราะเจ้าไม่เข้าใจอสูรอย่างแท้จริง นับตั้งแต่โบราณกาล สิ่งที่อสูรกระทำคือคล้อยตามฟ้าดิน แต่เมื่อโลกอสูรให้กำเนิดอสูรฟ้ายอดอัจฉริยะท่านนี้ขึ้นมา ผู้คนก็ค้นพบว่าเป็นไปได้ที่จะย้อนทวนฟ้าดิน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การบำเพ็ญเพียรของอสูรก็แบ่งแยกออกเป็นสองวิถี หนึ่งคล้อยตามดินฟ้า อีกหนึ่งย้อนทวนฟ้าดิน เจ้าเองเมื่อได้เรียนรู้กระบวนท่าของผู้อาวุโสในวันนี้ ก็อย่าได้ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของยอดคนอสูรฟ้าท่านนี้”

ผูเยาสุ้มเสียงเคร่งขรึมจริงจังอย่างที่ไม่ค่อยได้พบเห็น จั่วม่อในใจแตกตื่นจนอ้าปากค้าง อดเต็มไปด้วยความคาดหวังไม่ได้ ฟังจากถ้อยคำของผูเยา ดูเหมือนว่ายอดวิชาทั้งสองชุดนี้จะมีประวัติความเป็นมาใหญ่โตไม่เบา!

“ดูให้ดี”

ผูเยาพอกล่าวจบ ก็ยกมือขวาขึ้น มือของมันเรียวยาวขาวเนียน รูปทรงสมบูรณ์แบบ เล็บสีแดงฉานงุ้มลงเล็กน้อย คมกริบดุจคมมีด

มันจี้ดรรชนีออกมา เล็บยาวสีแดงฉานขีดวาดเบาๆ กลางอากาศอันว่างเปล่า

ดรรชนีนี้นุ่มนวลเลื่อนลอย ดุจดั่งสายน้ำรินไหล น่าชื่มชมเพลิดเพลินอย่างบอกไม่ถูก

ทุกที่ที่ปลายเล็บคมดุจมีดกรีดผ่าน เห็นริ้วเส้นสีเลือดคดเคี้ยวตวัดไปมา ภายในชั่วพริบตา อักขระสีเลือดอันลี้ลับปรากฏขึ้นกลางอากาศ

จั่วม่อม่านตาหดแคบลงอย่างฉับพลัน!

ทันใดนั้นมันพบว่า นับตั้งแต่ผูเยาเริ่มกรีดดรรชนีขีดวาด จิตสำนึกของมันแทบหลุดออกไปจากการควบคุม ราวกับว่าปลายดรรชนีของผูเยาแฝงแรงดึงดูดอันแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง และชั่วขณะที่อักขระสีเลือดเขียนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ จิตสำนึกของมันพลันถูกดึงดูดอย่างรุนแรงโดยพลังอันแกร่งกร้าวขุมหนึ่ง จั่วม่อแตกตื่นจนขวัญหนีดีฝ่อ รีบควบคุมจิตใจทันที!

แม้ว่ามันพยายามควบคุมจิตสำนึกของตน แต่ความสนใจส่วนใหญ่ยังคงติดตรึงกับการเฝ้าดูผูเยา

พลังจิตสำนึกของผูเยาไหลบ่าเข้าไปยังอักขระสีเลือด ยันต์อักขระพลันเต็มไปด้วยแสงแวววาว ราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมาในบัดดล

จั่วม่อรู้สึกราวกับว่าจู่ๆ ก็ถูกดึงเข้าสู่โลกอันแปลกพิสดารถึงขีดสุดแห่งหนึ่ง

ไร้สรรพสำเนียง ไร้การเปลี่ยนแปลง ประดุจกาลเวลาหยุดลงอย่างสมบูรณ์ จั่วม่อรู้สึกหัวใจหยุดเต้น เลือดหยุดไหลเวียน กล้ามเนื้อ เส้นผม ทั้งหมดหยุดเคลื่อนไหว!

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด โลกอันแปลกพิสดารนี้เลือนหายไป ราวกับเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง

จั่วม่อยามนี้ตะลึงลาน ในห้วงความสับสนมึนงง ได้ยินเสียงทุ้มลึกและแช่มช้าของผูเยากล่าวว่า

“กระบวนท่าแรกเรียกว่า ‘คล้อยตามความว่างเปล่า’ มันไม่ได้หยุดเวลา แต่เป็นเพียงการรักษากฎดั้งเดิมของสรรพสิ่งเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ปฏิเสธกฎใหม่ที่เข้ามาทั้งหมด ดังนั้นเจ้ารู้สึกเหมือนเวลาถูกหยุดลง แนวคิดทั้งสองต่างกันอย่างสิ้นเชิงในธรรมชาติ แทนที่จะหยุดเวลา นี่ก็เป็นเพียงการสร้างอาณาเขตที่ไม่ยอมให้สิ่งใดเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ยิ่งจิตสำนึกแข็งแกร่งเท่าใด ความสามารถในการควบคุมจิตสำนึกก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้นเท่านั้น อาณาเขตที่เจ้าสามารถควบคุมได้ก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ตาม หากการเปลี่ยนแปลงในอาณาเขตของเจ้าทรงพลังเกินไป เจ้าอาจไม่สามารถหยุดยั้งมันได้เช่นกัน อาณาเขตคล้อยตามความว่างเปล่าของเจ้าจะพังทลาย”

“อย่าได้พยายามใช้มันกับซิวเจ่ออื่นๆ เว้นเสียแต่ว่าระดับพลังบำเพ็ญเพียรของมันจะต่ำกว่าเจ้ามาก”

“เช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไรเล่า?” จั่วม่อพอฟังก็ถามออกไปตามสัญชาตญาณ

“โฮ่ะโฮ่ะ เจ้าสามารถเล็งเป้าหมายไปยังยุทธภัณฑ์เวท พลังปราณมักไหลเวียนไปยังยุทธภัณฑ์เวทตลอดเวลา ใช้อาณาเขตคล้อยตามความว่างเปล่าหยุดยั้งพลังปราณเหล่านั้น ผลกระทบในการแทรกแซงรบกวน นับว่ายอดเยี่ยมยิ่ง”

 

จั่วม่อได้รับผลกระทบมากเกินไป ตลอดหลายวันต่อมา มันดูใจลอยเหมือนสูญเสียจิตวิญญาณ ผูเยาก็ไม่ได้เร่งรัด มีทีท่ามั่นอกมั่นใจยิ่ง

วันที่ห้า ในที่สุดจั่วม่อก็ขบคิดอย่างชัดเจน ตัดสินใจเข้าสู่ทะเลแห่งจิตสำนึก

เหมือนเช่นปกติ ผูเยานั่งอยู่บนป้ายหินสุสาน แม้จะหันหลังให้จั่วม่อ ก็ยังคงล่วงรู้ว่าจั่วม่อเข้ามา มุมปากจุดรอยยิ้มภาคภูมิถือดีชนิดหนึ่ง

จั่วม่อดวงตากระจ่างชัดเจน ขณะที่เตรียมจะกล่าววาจา มุมสายตาพอดีกวาดมองป้ายหินสุสานใต้ร่างผูเยา ทันใดนั้นตะลึงลานอยู่กับที่

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด