ตอนที่ 56 ผู้ใดคือรักที่แท้
แปลโดย : Roping
– – – – – – – – – – – –
ด้วยความรู้สึกค้างคาใจ เขาจึงลงบันไดไปเพื่อตามหาเงาร่างสีแดงที่เห็นเมื่อครู่…..
อีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วและกวนซีหลินพบร้านอาหารที่ถูกใจและจองห้องส่วนตัว พวกเขาสั่งอาหารมากินกว่าสิบจานพร้อมด้วยสุราอีกสองจอก และปิดห้องให้สนิทก่อนที่จะเริ่มทาน
เฟิ่งจิ่วถอดผ้าคลุมหน้าออกแล้ววางไว้ที่ข้างๆ ก่อนจะรินสุราและกล่าวขึ้นว่า “พี่ชาย อยู่ที่นี่กันสักระยะกันเถอะ! ไปหาเช่าที่เงียบๆไม่ต้องใหญ่มากที่มีลานบ้านกัน จะสะดวกกว่าอยู่ที่โรงเตี๊ยมเยอะเลย”
“ได้สิ หลังกินเสร็จแล้วเราไปเดินดูกัน” แน่นอนว่ากวนซีหลินไม่มีข้อโต้แย้ง
“จิ่วน้อย อย่าเอาแต่ดื่มสุรา ทานซุปนี่ซักหน่อยก่อน” เขาตักซุปใส่ถ้วยและใช้ทัพพีตักเนื้อผัดไข่ให้ “ลองนี่ดูว่าอร่อยไหม”
“เจ้าทานไปเถอะ! ข้าตักเองได้”
ขณะที่พูด นางก็ตระหนักว่าเขาไม่ชินกับการใช้มือซ้าย และไม่สามารถแม้แต่จะจับตะเกียบให้แน่นได้ ดังนั้นนางจึงคีบเอาอาหารบางส่วนจากทุกจานไปใส่ให้ชามเขา และกล่าวว่า “หลังจากนี้สักพัก เมื่อข้าเลื่อนระดับพลังฝึกปรือได้ ข้าจะออกตามหาสมุนไพรทั้งหมดที่จำเป็นต้องใช้เพื่อรักษาแขนขวาของเจ้า”
คำพูดเหล่านั้นทำให้เขาตะลึงไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “มันยังสามารถรักษาได้ด้วยหรือ?”
“อืม เพียงแต่ของที่ข้าต้องใช้นั้นหาได้ไม่ง่ายนัก” นางดื่มซุปในถ้วยและคีบอาหารขึ้นมาทานจนเต็มปากขณะที่กล่าว “แต่ก็ไม่มีปัญหาแน่นอน ข้ามั่นใจเต็มที่ว่าจะสามารถรักษาแขนของเจ้าให้กลับมาเป็นเช่นเดิมได้”
ด้วยทักษะทางการแพทย์ของนาง ตราบเท่าที่สามารถหาสมุนไพรทั้งหมดที่จำเป็นได้ ก็ไม่มีความเจ็บป่วยใดๆ ที่นางไม่อาจรักษา
อย่าว่าแต่แค่เส้นเอ็นรอบหัวไหล่ขาด ต่อให้แขนขาดไปทั้งแขน นางก็สามารถต่อมันกลับเข้าไปได้
แม้ว่ากวนซีหลินจะมิได้โศกเศร้ากับการที่แขนของเขาพิการ ทว่าการได้ยินนางพูดว่ามันยังสามารถรักษาได้ก็ทำให้เขายินดียิ่ง “จิ่วน้อย หากแขนข้าหายดีได้จริง เช่นนั้นข้าก็จะพยายามให้หนักขึ้นอีกทั้งเรื่องการฝึกฝนพลังปราณและการปกป้องเจ้า”
“ดีแล้ว”
เฟิ่งจิ่วพยักหน้าและยิ้มตอบกลับ นางรู้ว่าเขานั้นแข็งแกร่งทีเดียว เขาถึงกับสามารถจัดการกับฝูงหมาป่าและเสือที่ดุร้ายได้ด้วยตนเอง ชัดเจนว่าตอนที่จนตรอกนั้นเขาสามารถระเบิดพลังออกมาได้มากถึงเพียงไหน
นางเชื่อว่าในอนาคตเขาจะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้เสียอีก !
ที่ชั้นล่าง มู่หรงอี่ซยวนนั่งดื่มอยู่ที่โต๊ะคนเดียว นัยน์ตาอันสงบนิ่งคู่นั้นดูเหมือนว่ากำลังอยู่ในห้วงความคิด
เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาตามร่างนั้นมาจนถึงนี่ และไม่เข้าใจว่าเหตุใด ในใจจึงคิดว่าร่างในอาภรณ์สีแดงนั้นคือชิงเกอ แต่เงาหลังที่เห็นเมื่อครู่นั้นก็ช่างคล้ายคลึงกันยิ่ง
ทว่าหลังจากตามคนทั้งสองมา เขาก็เริ่มที่จะไม่มั่นใจ เนื่องจากบรรยากาศของคนทั้งสองนั้นไม่เหมือนกันแม้แต่นิด
ชิงเกอนั้นนุ่มนวลและสุภาพอ่อนน้อม ขณะที่หญิงสาวชุดแดงนั้นดูดุดันและยั่วยวน ชุดสีแดงที่นางใส่นั้นดึงดูดความสนใจอย่างยิ่ง แม้ว่าชิงเกอของเขาจะโดดเด่นเช่นกัน ทว่าในอารมณ์ที่แตกต่างจากคนผู้นี้ ยิ่งไปกว่านั้นชิงเกอที่เขารู้จักไม่เคยใส่ชุดสีแดง
เหตุใดเขาถึงได้ระแวงว่าชิงเกอที่กำลังเดินทางกลับบ้านนั้นเป็นตัวปลอมกัน? การกิริยาต่างๆ ทั้งท่าทีเง้างอน ทั้งรอยยิ้มเหล่านั้น ทั้งหมดนั้นเป็นเหมือนดั่งที่เขาคุ้นเคยแน่นอนว่าย่อมเป็นนางคนเดิม!
อย่างไรก็ตาม เสียงในใจเขายังคงกังขา ทำให้เขายังคงคาใจและเฝ้ารออยู่ที่ชั้นล่าง
เวลาผ่านไปอย่างยาวนาน ในที่สุดประตูห้องส่วนตัวที่ชั้นบนก็เปิดออก ร่างในชุดแดงนั้นปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ดึงดูดให้สายตาตื่นตะลึงและลุ่มหลงจากเหล่าลูกค้าที่ทานอาหารอยู่ชั้นล่างมองมาที่นางอย่างไม่อาจต้านทาน ผ้าคลุมหน้าพริ้วไหวเบาๆขณะที่นางกำลังเดินทำให้คนทั้งหมดปรารถนาอย่างแรงกล้าให้มีสายลมกระโชกพัดมาซะเดี๋ยวนี้ จะได้เป่าเจ้าผ้าคลุมหน้าเกะกะนั่นไปให้พ้นๆ เพื่อที่จะได้ยลโฉมใต้ผ้าคลุมนั้น
มู่หรงอี่ซยวนเงยหน้าขึ้นและเห็นหญิงสาวในชุดสีแดงสดก้าวลงมาอย่างช้าๆ ทุกย่างก้าวเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและความสง่างาม อาภรณ์สีแดงนั้นดูราวกับเป็นเปลวไฟที่เจิดจ้าดุจดวงตะวัน ทว่าตัวของนางกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นชายากจะเข้าใกล้ ทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้นางต่างถอยห่างออกไป บรรยากาศที่สูงส่งและทรงอำนาจแผ่ออกมาจากทั่วร่างของนางโดยธรรมชาติ
ด้วยรู้สึกได้ว่ามีนัยน์ตาคู่หนึ่งกำลังมองนางอย่างพิจารณา เฟิ่งจิ่วจึงหันไปทางมองโดยสัญชาตญาณ ไม่มีผู้ใดที่จะเข้าใจประกายในตาของทั้งสองที่ปรากฏขึ้นเมื่อดวงตาของทั้งคู่ได้สบกัน…...