EG บทที่ 157 ขอลายเซ็นพ่อ (อ่านฟรี)
ธนาคารไอซีบีซีตกลงที่จะให้เฝิงหยู่กู้ยืมเงินจำนวน 50 ล้านหยวน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยก็คือเฝิงหยู่ต้องใช้ลายเซ็นของพ่อเขาด้วย ตอนนี้เขากำลังคิดหาวิธีให้พ่อเขาเซ็นเอกสารอย่างไรดี
เฝิงซิ่งไท่เป็นคนหัวโบราณมากกว่าหลี่ซื่อเฉียงเสียอีก และเขาก็พอใจกับสิ่งที่มีอยู่แล้วในตอนนี้ เขารู้สึกว่าเงินที่เขาหามาได้ตอนนี้มากพอแล้วสำหรับตัวเขา และใช้ชาตินี้ยังไงก็ไม่หมด แล้วเขาจะไปกู้ยืมเงินจำนวนมากมายขนาดนี้จากธนาคารมาอีกทำไมกัน?
“เจ้าลูกไม่รักดีคนนี้! กู้เงิน? ก็หมายถึงยืมเงินนะสิ แถมดอกเบี้ยก็สูงด้วย แกจะไปเอาเงินกู้จำนวนมากมายขนาดนี้มาทำไม?”
พอเฝิงหยู่พูดจบ เฝิงซิ่งไท่ก็ตบโต๊ะเสียงดังและยืนขึ้น ต้องตีเจ้าลูกไม่รักดีซะแล้ว จะต้องตีสามวันสามคืนให้ระบมไปทั้งตัวเลยคอยดู
“พ่อครับ พ่อ ฟังก่อนครับ พ่อก็รู้ว่าลูกของพ่อตอนนี้เป็นคนสำคัญขนาดไหน?” เฝิงหยู่ถามกลับด้วยท่าทางโอ้อวด
เฝิงซิ่งไท่มองเฝิงหยู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าและถามว่า “ส่วนไหนที่สำคัญมิทราบ? ครั้งนี้คิดจะทำอะไรอีก?”
“พ่อครับ พ่อก็รู้ว่าครั้งที่แล้วผมได้ไปเข้าค่ายฤดูร้อนนานาชาติที่มหาวิทยาลัยมอสโกกับเหวินตงจวินและนักเรียนคนอื่นๆ?” เฝิงหยู่ถามโดยเน้นคำว่า นานาชาติ และ มอสโก
“พอพูดถึงเรื่องค่ายนี้ ทำให้พ่อนึกอะไรบางอย่างออก ทำไมแกต้องออกไปจากค่ายทุกคืนด้วย?” เฝิงซิ่งไท่ถาม
“พ่อครับ นั่นมันประเด็นหลักเลยนะ ลูกของพ่อไปทำภารกิจบางอย่าง ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญด้วย ดูสิครับเครื่องจักรของบริษัทการค้าไท่หัวมาจากไหนกัน? ก็ซื้อมาจากสหภาพโซเวียตทั้งนั้น แล้วเราได้มาเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทเครื่องจักรได้อย่างไร? ก็เพราะเทคโนโลยีที่ผมไปซื้อมาจากสหภาพโซเวียตเหมือนกัน แม้แต่นายกเทศมนตรีของเมืองยังรู้เรื่องนี้เลย!”
“ว่าไงนะ? นายกเทศมนตรีจะมาหาเรื่องเราหรอ? บอกเขาไปว่าพ่อเป็นคนจัดการเรื่องนี้คนเดียว ไม่เกี่ยวอะไรกับแกเลย!” เฝิงซิ่งไท่ตกใจ ปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือการปกป้องลูกชายของเขาแม้ว่าเขาจะต้องติดคุกก็ตาม
“พ่อครับ ฟังผมพูดให้จบก่อนสิครับ” เฝิงหยู่อยากจะร้องไห้และหัวเราะไปพร้อมๆ กัน “นายกเทศมนตรีรู้ว่าผมสามารถเอาเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากสหภาพโซเวียตมาได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมได้รับมอบหมายให้ไปซื้อเครื่องจักรและเทคโนโลยีจากสหภาพโซเวียตมาให้เมืองปิง และเป็นเหตุผลที่ผมต้องออกไปจากค่ายทุกคืน”
“ถ้างั้นไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นใช่มั้ย? นี่เป็นคำสั่งของนายกเทศมนตรีใช่มั้ย?”
“ถูกต้องครับ ผมยังต้องเซ็นสัญญาเลย รวมถึงเครื่องจักรผลิตน้ำมันถั่วเหลืองด้วย เครื่องจักรทั้งหมดจะมาถึงในอีก 1-2 เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งล้วนมาจากสหภาพโซเวียตทั้งหมดและเป็นเครื่องจักรการผลิตขนาดใหญ่ พ่อคิกว่าราคาเท่าไรละ?
“หมายความว่าไง? เงินกู้ที่แกไปยืมมาจะเอามาซื้อเครื่องจักรพวกนี้งั้นหรอ? ก็ไหนแกเพิ่งบอกว่านายกเทศมนตรีเป็นคนสั่งให้แกไปซื้อเครื่องจักรไม่ใช่หรอ? รัฐบาลเมืองก็ต้องเป็นคนจ่ายค่าเครื่องจักรพวกนี้เองสิ” เฝิงซิ่งไท่ไม่พอใจ แม้ว่าจะเป็นนายกเทศมนตรีก็ตาม แต่เขาก็ไม่ควรมาเอาเปรียบพวกเขา ไม่มีเหตุผลเอาซะเลยที่พวกเขาจะต้อไปกู้ยืมเงินมาเพื่อซื้อเครื่องจักรพวกนี้ให้รัฐบาล
เฝิงหยู่เหลือกตามองบนและถามพ่อเขาอย่างจริงจังว่า “พ่อครับ พ่อคิดว่าหลี่หมิงเต๋อจากโรงงานเครื่องจักรอยากสั่งสอนเราสักบทเรียนหนึ่งหรือเปล่า? พวกเราเป็นคนเดียวที่เอาเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาให้โรงงานเครื่องจักรได้ ผลกำไรจากการขายเครื่องจักรทางการเกษตรก็ถูกผลิตด้วยเทคโนโลยีที่เราจัดหามาให้ และพ่อก็เป็นผู้ช่วยผู้จัดการอยู่ที่นั่น แต่หลี่หมิงเต๋อเคยให้ความเคารพพ่อหรือเปล่า?”
เมื่อเฝิงหยู่พูดถึงเรื่องนี้ เฝิงซิ่งไท่ก็โมโหทันที เขาเป็นถึงเจ้าของโรงงานแปรูปอาหาร แถมยังมีลูกน้องหลายสิบคน ซึ่งถือได้ว่าเขาเป็นผู้นำ แต่ทุกครั้งที่เขาไปโรงงานเครื่องจักร สายตาของหลี่หมิงเต๋อและเลขาของเขามักจะมองดูถูกมาที่เขา ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่เฝิงหยู่ ป่านนี้เขาคงขายหุ้นโรงงานเครื่องจักรไปนานแล้ว
“หมายความว่าไง? แกจะสั่งสอนมันสักหน่อยหรอ?”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เขาดำเนินการจัดการโรงงานได้ดี แต่พ่อเคยคิดอยากจะเป็นหัวหน้าโรงงานเครื่องจักรและให้หลี่หมิงเต๋อคอยแจ้งรายงานพ่อบ้างหรือเปล่า?” เฝิงหยู่พยายามโน้มน้าวพ่อของเขา
“มันจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไรกัน? หลี่หมิงเต๋อถือว่าเป็นข้าราชการคนหนึ่ง”
“พ่อครับ นี่มันบริษัทร่วมหุ้น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะมีอำนาจตัดสินสุดท้ายในบริษัท! ผมมั่นใจว่าผมช่วยให้พ่อกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้ภายใน 3 ปี ต่อไปในอนาคต พ่อก็จะเป็นผู้จัดการทั่วไป และหลี่หมิงเต๋อก็จะต้องลาออกหรือไม่ก็ทำงานให้กับเรา!”
“อะไรนะ? ภายในสามปีจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และพ่อจะได้เป็นผู้จัดการทั่วไปงั้นหรอ? นี่แกฝันไปหรือเปล่า?”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องวิธีการเลยครับ ผมทำให้พ่อได้แน่นอน แต่ตอนนี้เราต้องหาเงินให้ได้เยอะๆ ก่อน ถ้ามีเงินอยู่ในมือเรา เราก็จะสามารถซื้อหุ้นของโรงงานเครื่องจักรได้ ผมมีวิธีซื้อหุ้น”
“แล้วนั่นมันเกี่ยวอะไรกับการกู้ยืมเงิน?”
ในที่สุด ก็กลับมาสู่คำถามนี้ เฝิงหยู่รับตอบทันที “ผมจะเอาเครื่องจักรและเทคโนโลยีของโซเวียตล็อตนี้มาขายต่อครับ ไม่ว่าผมจะขายให้เมืองหรือบริษัทอื่น เราก็ได้เงินอยู่ดี แต่ก่อนอื่น เราต้องมีเงินซื้อเครื่องจักรและเทคโนโลยีก่อนจริงมั้ยครับ? เงินกู้ก็นำมาใช้เพื่อเพิ่มเงินทุนสำหรับการซื้อ”
“ไม่ ไม่ ไม่ บริษัทในเมืองปิงมีเงินเยอะมาก เมื่อเดือนที่แล้ว พ่อถามแก และแกก็เป็นคนบอกเองว่ายังมีเงินเหลืออีกเยอะในบัญชีของบริษัท”
“ผมใช้ไปหมดแล้วครับ”
“อะไรนะ? นั่นมันเงินอย่างน้อย 20-30 ล้านเลยนะ แล้วแกใช้หมดแล้ว?” เฝิงซิ่งไท่ลุกขึ้นยืนเพื่อมองหาไม้ปัดฝุ่นจะเอามาตีเฝิงหยู่ เงินตั้ง 20-30 ล้านและแกเอาไปใช้หมดแล้วงั้นหรือ? ไอ้เจ้าลูกไม่รักดีคนนี้!
“ผมเอาไปซื้อหุ้น หุ้นก็เหมือนกับพันธบัตรรัฐบาล มีเงินปันผลในตอนสิ้นปี และดีกว่าฝากเงินไว้ในธนาคารอีก นอกจากนี้ เงินปันผลก็เยอะกว่าดอกเบี้ยของเงินกู้ เราสามารถทำเงินได้ พ่อแค่เซ็นเอกสารสองฉบับนี้ และเราจะได้เอาเงินไปซื้อเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากสหภาพโซเวียตกัน รับรองว่าทำเงินได้แน่นอน!” เฝิงหยู่โกหกต่อไป
“เราจะยังได้เงินหรอถ้าเราขายให้กับเมือง?”
“ได้สิครับ กำไรต้องไม่น้อยกว่า 20%!” เฝิงหยู่ไม่ได้บอกพ่อของเขาว่าผลกำไรอาจจะได้อย่างน้อย 30% และอาจได้รับส่วนลดด้วย
“ถ้างั้น แกไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากขนาดนี้ก็ได้ มันแค่ 40 ล้าน แล้วต้องจ่ายดอกเบี้ยแต่ละเดือนเท่าไรกัน?”
“ดอกเบี้ยจะไม่สูงเกินกำไรของเราแน่นอนครับ แถมเราจะยังได้ทั้งเครื่องจักรและหุ้น ทุกอย่างเป็นเงินหมด”
“แล้วเราต้องจ่ายหนี้คืนให้ธนาคารเมื่อไร?”
“สิ้นปีครับ เห็นมั้ย เขียนอยู่ในเอกสารนี้เลยครับ การชำระหนี้ ณ สิ้นปี” เฝิงหยู่ชี้ส่งๆ ไปที่สัญญา เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้พ่อของเขาอ่านสัญญาอย่างละเอียด
“นี่มันทำเงินได้จริงๆ นะ?”
“แน่นอนครับ เรามีรัฐบาลเมืองคอยหนุนหลังเราอยู่ ผมขายเครื่องจักรและเทคโนโลยีทั้งหมดนี้ไปแล้ว ถ้าพ่อไม่เซ็น เราก็จะไม่มีเงินไปซื้อเครื่องจักรจากสหภาพโซเวียต ถ้างั้นลูกชายพ่อก็จะทำผิดกฎหมายแล้วละ”
เฝิงหยู่คิดถึงขนาดที่จะให้พ่อเขาโอนหุ้นของบริษัทการค้าไท่หัวมาให้เขาด้วยซ้ำ การมาขอลายเซ็นพ่อแต่ละครั้งช่างยุ่งยากจริงๆ และสุดท้ายเขาก็ต้องมาสร้างเรื่องโกหก
อัจฉริยะก็ต้องเจอปัญหาบ้าง
เฝิงซิ่งไท่หยิบปากกามาเซ็นชื่อ เขาเซ็นชื่อตรงบริเวณที่เฝิงหยู่ชี้ในเอกสาร เมื่อเขาเซ็นเสร็จแล้ว เขาก็อยากจะอ่านสัญญา แต่เฝิงหยู่รีบหยิบไปและเก็บใส่ในกระเป๋าทันที
“พ่อครับ ผมต้องกลับไปเมืองปิงวันนี้เลย สัญญาต้องส่งให้กับธนาคารโดยเร็วที่สุด พวกโซเวียตจะปล่อยเครื่องจักรมาให้เราก็ต่อเมื่อพวกเขาได้รับเงิน รัฐบาลเมืองไล่ตามเรื่องนี้กับผมมาหลายครั้งแล้ว”
“กินข้าวเที่ยงก่อนแล้วค่อยไปก็ได้ แม่เจ้ากำลังทำสตูว์กระต่ายอยู่ที่บ้าน”
“ไม่เอาครับ เดี๋ยวผมจะรีบกลับมาภายใน 2 วันนะครับ”
เรื่องสัญญาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงแต่รอให้ธนาคารไอซีบีซีปล่อยเงินกู้ เฝิงหยู่รีบกลับไปที่เมืองปิง ถ้าไม่มีเงินกู้ เขาก็ไม่สามารถซื้อหุ้นเพิ่มเติมได้ เขารู้สึกว่าขาดทุนถ้าไม่ได้เงินนี้
เฝิงซิ่งไท่วางหูโทรศัพท์ เขารู้สึกโกรธมากจนต้องกระทืบเท้า เขาโทรไปหาลูกเขยของเขา และรู้ว่าเฝิงหยู่ต้องการเงินกู้จากธนาคารเพื่อที่จะวางแผนไปซื้อหุ้นเพิ่ม ไม่ได้จะเอาไปซื้อเครื่องจักร
เจ้าลูกชายคนนี้กล้าโกหกพ่ออย่างนั้นหรือ? คอยดูนะถ้ากลับมาจะตีให้ขาหักเลย!