EG บทที่ 154 ฉันอยากได้ทุกอย่าง (อ่านฟรี)
แม้ว่าเฝิงหยู่จะมีเงินหลายสิบล้านหยวนแล้ว แต่ประเทศจีนก็มีขนาดใหญ่มาก เขามีเงินมากแต่เขาก็ไม่
สามารถใช้เงินซื้อหุ้นทั้งหมดได้ แค่ 1% ก็ไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่ถึงยุต 1990 แต่มีบริษัทร่วมทุนหลายหมื่นบริษัทแล้ว และมีหลายบริษัทดังกล่าวที่ออกหุ้นเอง ทั้งนี้ มีหลายสิบบริษัทที่ออกหุ้นไปทั่วประเทศ
หลี่ซื่อเฉียงขมวดคิ้ว เราจะได้เก็บเงินที่หามาได้ แต่คุณจะจ่ายเงินที่ขาดทุนให้งั้นหรอ? ใครเขาทำแบบนี้กัน? แม้ว่าคุณจะมั่นใจมากขนาดไหน แต่คุณก็ไม่ควรทำแบบนี้
เฝิงหยู่หยิบสัญญาออกมาและพูดต่อว่า “อะไรก็ตามที่พวกคุณเพิ่งพูดไปเมื่อสักครู่จะมีผลบังคับใช้หลังจากที่ลงนามในสัญญาฉบับนี้!”
อู่จื้อกางและพนักงานต่างอ่านสัญญา ระยะเวลาของสัญญาคือ 20 ปี ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลานานเกือบครึ่งชีวิตในการทำงานของพวกเขาเลยทีเดียว นอกจากนี้ ในสัญญายังบอกว่าถ้าพวกเขาหยุดงานโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือลาออก พวกเขาจะต้องชดเชยเงินเป็นจำนวน 3 เท่าของรายได้รายปีในปีก่อนหน้านี้ นี่มันช่างไร้ความปรานีจริงๆ !
คนพวกนี้ทำงานให้เฝิงหยู่มเป็นเวลาปีกว่าๆ และรายได้รายปีโดยเฉลี่ยของพวกเขาในปีที่แล้วก็ประมาณ 10,000 หยวน เงินชดเชย 3 เท่าก็ต้องเท่ากับ 30,000 หยวน !
“ผมจะพาทุกคนรวยไปด้วยกัน และผมจะสอนวิธีการหาเงิน วิธีการเจรจาธุรกิจให้พวกคุณทุกคน ถ้านี่คือโรงงาน ทุกคนต้องเรียกผมว่า ซือฟู้ (อาจารย์)! ผมจะพาทุกคนรวยไปด้วยกันและรับรองว่ารายได้ทั้งหมดของคุณจะเพิ่มขึ้นทุกปี และเงินเดือนของคุณจะมากกว่าพวกพนักงานในบริษัทเครื่องจักรหรือบริษัทอื่นๆ ในประเทศจีน แต่หลังจากที่ผมฝึกอบรมพวกคุณแล้ว ผมไม่สามารถยอมให้พวกคุณลาออกและไปทำงานให้กับคนอื่นและนำสิ่งที่ผมได้สอนไปแล้วให้กับพวกคุณกลับมาแข่งขันกับตัวผม พวกคุณมีสิทธิ์เลือกที่จะเซ็นสัญญาฉบับนี้ ถ้าคุณเซ็น ผมจะดูแลพวกคุณเอง แต่ถ้าคุณตัดสินใจที่จะไม่เซ็น ก็ไม่เป็นไร คุณสามารถเดินออกไปจากห้องตอนนี้ได้เลยครับ”
เฝิงหยู่ไม่กล้าที่จะพูดอ้างว่าอู่จื้อกางและพวกคือกลุ่มคนที่มีความสามารถมากที่สุด วิธีการคิดและการปฏิบัติของพวกเขาดีกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ พวกเขายังเรียนรู้เทคนิคการขายที่บริษัทการค้าไท่หัวด้วย ด้วยเหตุนี้ เฝิงหยู่จึงอยากผูกมัดพวกเขาด้วยการให้ลงนามในสัญญา
ก่อนที่คนอื่นๆ จะแสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา อู่จื้อกางก็ลงนามในสัญญาก่อนเป็นคนแรกโดยที่ไม่ลังเล คนอื่นๆ ก็ทำตามในทันที แม้แต่พนักงานการเงินที่เพิ่งเข้าทำงานใหม่ 2 คนก็ลงนามในสัญญาด้วยเช่นกัน สัญญามีอายุ 20 ปี ซึ่งเท่ากับงานที่มี “หลักประกันและมั่นคง” ในบริษัทรัฐวิสาหกิจเลย ผู้จัดการเฝิงยังให้สัญญาว่าพวกเขาจะได้รับการเกษียณและเงินบำนาญด้วย ซึ่เงหมือนกับพวกที่ทำงานในรัฐวิสาหกิจเลย
เฝิงหยู่กล้าที่จะให้สัญญาแบบนี้ก็เพราะในปี 1992 ประเทศจีนเริ่มมีประกันสังคม และในปี 1996 ก็กลายเป็นข้อบังคับสำหรับทุกบริษัทที่ต้องมีประกันสังคมให้กับพนักงาน เงินประกันสังคมเป็นเงินจำนวนไม่มาก ซึ่งเฝิงหยู่ไมได้สนใจเลย
เฝิงหยู่พยักหน้าอย่างพึงพอใจเมื่อเขาเห็นว่าทุกคนเซ็นสัญญากันหมด “ไม่ต้องห่วงเรื่องอายุของสัญญา 20 ปีนะครับ ผมสัญญาว่าหลังจาก 20 ปีแล้ว ทุกคนจะกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านและได้เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทด้วย ซึ่งก็เหมือนกับการได้เป็นเจ้านายคนหนึ่งในบริษัท! ตอนนี้ไหนทุกคนลองบอกผมสิครับว่าอยากออกเงินลงทุนเท่าไหร่กัน? ผมจะไม่พูดเยอะ ในอีก 2 ปี เงินที่คุณลงทุนในวันนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสี่เท่า!”
อู่จื้อกางและพวกทำตาโต เพิ่มขึ้นสี่เท่า? นั่นหมายความว่าเงิน 10,000 จะกลายเป็นเงิน 40,000 ภายใน 2 ปีงั้นหรอ? นี่มันเร็วกว่าการไปทำงานทุกวันเสียอีก
“ผมลงทุน 15,000 หยวน!”
“ของผม 20,000 หยวนครับ”
“ของผม 18,000 หยวนครับ”
……
ทุกคนตะโกนจำนวนเงินที่พวกเขาอยากลงทุนออกมา แม้แต่พนักงานเข้าใหม่ 2 คนก็ร่วมลงทันคนละ 5,000 หยวนเหมือนกัน แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่มีเงิน 5,000 หยวนในตอนนี้ แต่พวกเขาก็สามารถกู้ยืมจากเพื่อนและญาติมาก่อนได้ แค่ให้ดอกเบี้ยกับพวกเขา
พนักงานใหม่สองคนทำหน้าที่รับผิดชอบด้านการเงินของบริษัทการค้าไท่หัว และพวกเขารู้ว่าบริษัทนี้มีเงินเยอะขนาดไหน จำนวนเงินทั้งหมดที่รวบรวมได้จากพนักงานแทบจะไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยเมื่อเทียบกับเงินทุนในบัญชีของบริษัทการค้าไท่หัว นี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่คิดว่าเฝิงหยู่จะโกงพวกเขาด้วยเงินจำนวนเพียงเล็กน้อยแค่นี้!
“โอเคครับ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ทุกคนจะต้องจับคู่กัน และแบ่งกันไปธนาคารต่างๆ เพื่อซื้อหุ้น จำไว้ว่าซื้อทุกอย่างที่คุณสามารถซื้อได้! เงินของคุณจะถูกนำมาใช้ซื้อหุ้นจากบริษัทของเราในสัปดาห์ถัดไป ใบหุ้นจะถูกเก็บเอาไว้ด้วยกันในตู้เซฟ ต้าโจวและเสี่ยวหลิวไปแจ้งธนาคารไอซี๊บีซีให้เตรียมเงินสดเอาไว้ ผมต้องการเงินสุดจำนวนมากสุดเท่าที่พวกเขาจะเดรียมให้ได้!”
อู่จื้อกางและพวกกลับไปทำงานของตัวเอง ในห้องประชุม มีเพียงหลี่ซี่อเฉียงและเหวินตงจวินที่เดินออกไปจากห้อง
“พี่เขย เงินทุนจากบริษัทโลจิสติกส์ของพี่สามารถเอามาร่วมลงทุนได้เท่าไหร่โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท? เอาเงินทุนที่เหลือของพี่มาซื้อหุ้นสิ!”
หลี่ซื่อเฉียงถามอย่างเป็นกังวล “มันไม่สำคัญหรอกว่าจะซื้อหุ้นไหน? แล้วถ้าเกิดขาดทุนขึ้นมาละ? เราน่าจะใช้เงินทุนแค่ครึ่งเดียวลองซื้อครั้งแรกก่อนไม่ดีกว่าหรอ?”
เมื่อเขาไม่มีเงิน หลี่ซื่อเฉียงจะกล้าหาญขึ้นมาทันที แต่เมื่อเขารวย เขาจะเริ่มระวัดระวังมากขึ้น เขาไม่อยากเสียเงินที่เขาตั้งใจหามาได้อย่างยากลำบาก
“พี่เขยครับ ไว้ใจผมเถอะ ไม่มีอะไรหรอก ข่าวก็แจ้งรายงานออกมาแล้วว่าอัตราการกู้ยืมและการฝากเงินลดลง นั่นหมายความว่ารัฐบาลกำลังกระตุ้นให้เราใช้จ่ายมากขึ้น เงินที่หาได้จากพันธบัตรรัฐบาลมันไม่ได้เยอะมากนัก และตอนนี้ก็เป็นยุคของหุ้น รัฐบาลกำลังสนับสนุนเรื่องนี้!”
หลี่ซื่อเฉียงนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งมหัศจรรย์ที่น้องชายคนนี้เคยสร้างเอาไว้และกัดฟันพูดว่า “โอเค บริษัทโลจิสติกส์ลงทุนได้แค่ 1.5 ล้านหยวน โรงงานมอเตอร์จะจัดการเรื่องการจ่ายเงินในสิ้นเดือนนี้ และการเอาเงินจำนวนนี้มาลงทุนจะไม่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท”
ในที่สุด หลี่ซื่อเฉียงตัดสินใจ เขาตัดสินใจใช้เงินทุนทั้งหมดที่เขามีอยู่ ตอนนี้บริษัทโลจิสติกส์ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายมากนัก ยกเว้นค่าดำเนินการ
เฝิงหยู่ขมวดคิ้ว แค่ 1.5 ล้านหยวนเองหรอ? แล้วแบบนี้พี่เขยจะสร้างโรงพยาบาลให้พี่สาวของเขาได้เมื่อไรกัน? หืมมม ต่อไปเขาต้องพาพี่เขยเขาไปที่ธนาคารด้วยละ
“ได้ครับ พี่ควรไปบอกพนักงานให้แจ้งธนาคารเพื่อเตรียมเงินไว้ก่อน”
ตอนนี้ยังไม่มีบริษัทหลักทรัพย์ในเมืองปิง และหุ้นก็มีลักษณะเหมือนพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งถูกจำหน่ายโดยธนาคาร ถ้าคุณต้องการซื้อหุ้น คุณต้องไปที่ธนาคารเพื่อซื้อที่หน้าเคาน์เตอร์เอง ถ้าคุณจะขายหุ้น คุณก็ต้องขายผ่านธนาคาร ไม่อนุญาตให้ทำการค้าขายหุ้นกันแบบส่วนตัว
แน่นอนว่ามีอีกวิธีหนึ่งในการขายหุ้น ซึ่งก็คือการขายผ่านบริษัทย่อยของธนาคาร ร้านค้าขายปลีก และบริษัทหลักทรัพย์
สถานที่สุดท้ายที่จะขายหุ้นก็คือบริษัทที่ออกหุ้นนั้นมา
การทำธุรกรรมที่ธนาคารเป็นเรื่องง่ายมาก แต่ถ้าเป็นบริษัทหลักทรัพย์หรือสถานที่อื่นๆ การทำธุรกรรมจะต้องใช้เงินสด ซึ่งคุ้มค่ามากกว่าในการซื้อและขายด้วยเงินสด ในสมัยนี้ การซื้อขายหุ้นยังไม่ได้ทำกันผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ ยังคงใช้ใบรับรองที่เป็นกระดาษอยู่ หุ้นอยู่ในรูปแบบของหน่วยเงิน 50 หยวน 100 หยวน และ 200 หยวน โดยที่ 1 หยวนเท่ากับ 100 หุ้น
ปัจจุบันการออกหุ้นยังอยู่ในช่วงนำร่อง และยังไม่มีกฎข้อบังคับมากนัก ซึ่งวุ่นวายมากและยังมีคนมาซื้อจำนวนไม่มาก นอกจากนี้ เคาน์เตอร์หลักทรัพย์ของธนาคารก็ยังไม่ได้ใช้หน้าจออิเล็กทรอนิกส์ที่ส่วนใหญ่นำมาใช้กันในปีต่อๆ มา พวกเขายังใช้หระดานดำกันอยู่ ราคาหุ้นและธุรกรรมก็ถูกเขียนด้วยชอล์ก หุ้นส่วนใหญ่ที่มีการซื้อขายจะเป็นเลขตัวเดียว
ทำไมมีแต่คนซื้อหุ้นและไม่มีคนขายบ้างเลยละ? ก็เพราะว่าคนที่ซื้อหุ้นมองว่าหุ้นเป็นเหมือนเงินฝากประจำ ส่วนใหญ่เป็นคนที่ซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลอยู่แล้ว พวกเขาถือหุ้นอยู่ในมือและมีน้อยคนนักที่จะขายหุ้น บางเดือนไม่มีใครขายหุ้นสักคนเดียว
..............
เช้าวันต่อมา พอธนาคารซีซีบีเปิดทำการ ก็มีหนุ่มวัยรุ่นสองคนยืนรออยู่ที่เคาน์เตอร์หลักทรัพย์แล้ว
“สวัสดีครับ มีอะไรให้ช่วยครับ? คุณจะมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือครับ?
พันธบัตรรัฐบาลยังคงเป็นที่นิยม และโดยปกติคนที่ไปที่เคาย์เตอร์หลักทรัพย์ก็เพื่อที่จะซื้อพันธบัตรรัฐบาล
เฝิงหยู่ถาม “คุณมีหุ้นกี่ประเภทและราคาทั้งหมดเท่าไรครับ?”
เจ้าหน้าที่ธนาครถึงกับประหลาดใจ หลังจากไม่กี่วินาที เขาก็มองบน ทั้งหมดเท่าไหร่งั้นหรอ? ว่าไงนะ? คุณจะมาซื้อทุกอย่างเลยหรือไง? ราคารวมทั้งหมดอย่างน้อยก็หลายล้าน คุณมีปัญญาซื้อหรือไง?
“หุ้นมีทั้งหมด 8 ประเภทครับ ราคาทั้งหมดประมาณ 2 ล้านหยวน คุณอยากซื้อหุ้นหรอครับ? คุณจะซื้อกี่ร้อยหุ้นครับ?
เฝิงหยู่หัวเราะ “แค่ 2 ล้านเองหรอครับ? ทำไมถูกจัง? ผมอยากได้ทุกอย่างครับ”
ทุกคนในธนาคาร รวมถึงพนักงานและลูกค้าทุกคนต่างหันมามองเฝิงหยู่ เด็กคนนี้เพิ่งพูดว่าอะไรนะ? เขาอยากได้ทั้งหมดงั้นหรอ?