บทที่ 172 ตื่น
เถาวัลย์ฟันเขี้ยวจัดอยู่ในธาตุไม้ กระบวนการหลอมสร้างเป็นกระบี่บินไม่อาจรวดเร็วได้ ทั้งยังจะเชื่องช้ายิ่ง สำหรับวัตถุดิบเช่นนี้วิธีหลอมสร้างด้วยไฟไม่สามารถใช้งานได้ จั่วม่อจำเป็นต้องขบคิดให้ดีว่าสมควรใช้วิธีการใดให้บรรลุเป้าหมาย หากมันทำให้เถาวัลย์ฟันเขี้ยวระดับสี่เสียหายอย่างสูญเปล่า เกรงว่าคงไม่มีโอสถชนิดใดรักษามันจากความเศร้าเสียดายครั้งนี้ได้
ห่วงทองแดงสีเพลิงบินกลับไปยังกองไฟเหนือทะเลสาบหินหนืด จั่วม่อต้องการขัดเกลาห่วงทองแดงให้ดีขึ้นอีกสักเล็กน้อย ดังนั้นทิ้งมันไว้ในกองไฟแล้วก็ไม่ได้ให้ความสนใจอีก ไม่ได้คาดหวังว่าวิธีนี้กลับเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในขบวนค่ายกล ทั้งหมดนี้เกิดจากการผสานรวมกันของห่วงทองแดงกับไฟพิภพ
ห่วงทองแดงเป็นศูนย์กลางของค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ เมื่อผ่านการกลั่นเกลาด้วยไฟ พลังปราณไฟย่อมไหลเวียนลงไปในห่วงทองแดงอย่างต่อเนื่อง จากนั้นไหลผ่านจากห่วงทองแดงเข้าไปในทุกซอกทุกมุมของค่ายกล ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงขบวนค่ายกล เมื่อพลังปราณไฟแทรกซึมเข้าสู่ค่ายกล บรรยากาศเย็นเยือกของค่ายกลดั้งเดิม ถูกแทนที่ด้วยสภาวะอันดุร้ายร้อนแรงของไฟ
การเปลี่ยนแปลงในขบวนค่ายกลนี้เกินความคาดหมายของจั่วม่อ
มันพลันรู้สึกคาดหวังอยู่บ้าง หากพลังปราณไฟแทรกซึมเข้าไปในค่ายกลทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ขบวนนี้จะกลายเป็นเยี่ยงไร?
หนานหมิงจื่อแม้ไม่ได้ร่ำรวย แต่จะอย่างไรยังคงเป็นซิวเจ่อด่านหนิงม่าย ความมั่งคั่งนี้สำหรับคนอย่างจั่วม่อแล้วก็ยังนับว่าได้รับเป็นกอบเป็นกำ สิ่งของจำนวนมากกับยุทธภัณฑ์เวทที่เหลือจั่วม่อโยนให้เจดีย์น้อยเขมือบจนหมดสิ้น สิ่งเหล่านี้จะถูกย่อยสลาย กลายเป็นแก่นสารปราณห้าธาตุบริสุทธิ์ และถูกเจดีย์น้อยดูดซับไป
หลังจากสวาปามแก่นสารปราณห้าธาตุเข้าไป เจดีย์ห้าสีดูอ้วนกลมมากขึ้น กระโดดโลดเต้นไปรอบๆ อย่างร่าเริง
แหวนมิติของหนานหมิงจื่อเวลานี้กลายเป็นกลวงเปล่าเหมือนเปลือกที่ถูกละทิ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในถูกจั่วม่อกวาดล้างจนเหี้ยนเตียน จั่วม่อนำแหวนใส่เพิ่มลงไปในนิ้วของมัน แหวนมิติของหนานหมิงจื่อมีพื้นที่เล็กมาก ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของแหวนของจั่วม่อ แต่ก็ยังคงมีค่ามาก นี่เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีผู้ใดรังเกียจที่จะมีแหวนมิติหลายๆ วง
เพิ่งสะสางข้าวของของหนานหมิงจื่อเสร็จสิ้น จั่วม่อพลันชะงักงันวูบหนึ่ง เห็นแมลงทองทมิฬปรากฏขึ้นบนมือของมัน
เจ้าดำน้อยแปรเปลี่ยนไปไม่น้อย บนเปลือกแข็งสีดำด้านหลังมีลวดลายสีแดงเพลิงเพิ่มขึ้นมา
หนวดสองเส้นบนศีรษะมันเริ่มกระดิก จั่วม่อเบิกบานใจยิ่ง เจ้าตัวตะกละน้อยนี้ในที่สุดก็ตื่นได้เสียที!
สักครู่ให้หลัง เจ้าดำน้อยค่อยๆ ไต่ไปบนมือจั่วม่อ แต่ส่ายคดเคี้ยวไปมาราวกับกำลังเมาค้าง คล้ายไม่มีปัญญาเดินตรงๆ หลังจากที่มันตื่นขึ้น เส้นใยความสัมพันธ์ที่ไม่มีตัวตนระหว่างเจ้าดำน้อยกับจั่วม่อก็กลับคืนมาอีกครั้ง
นอกเหนือจากรูปโฉมภายนอก เจ้าดำน้อยก็คล้ายไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงอีก แต่ความสนุกสนานเบิกบานใจที่เจ้าดำน้อยส่งผ่านเข้ามาในใจมัน ทำให้จั่วม่ออารมณ์ดีขึ้น
“เจ้าจอมตะกละน้อย สักวันเจ้าจะรับประทานจนตัวเองตาย” จั่วม่ออดพึมพำไม่ได้
พอนึกเรื่องนี้ขึ้นมา มันค่อยตระหนักว่ามันไม่ได้มีแค่เจ้าตะกละน้อยที่อยู่ในมือนี้เพียงตัวเดียว นกโง่ชมชอบรับประทานโอสถปราณ มิหนำซ้ำยังเลือกมากอีกด้วย เจ้าดำน้อยชมชอบรับประทานสิ่งที่มีปราณธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ รสนิยมของเจดีย์น้อยก็มีแต่จะสูงขึ้นทุกวัน ต้องการรับประทานสินค้าคุณภาพสูงขึ้น สูงขึ้นเรื่อยๆ
ได้ยินคำรำพึงของจั่วม่อ เจ้าดำน้อยโบกหนวดเรียวยาวสองเส้นบนหัวเร็วรี่ ราวกับจะโต้แย้งความเห็นของจั่วม่อ การเปลี่ยนแปลงอื่นขณะนี้ยังไม่เห็นชัดตา แต่เจ้าดำน้อยดูเหมือนเฉลียวฉลาดแสนรู้กว่าเดิมมาก
“ฮ่าฮ่า เจ้าเมื่ออิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องทำงานของเจ้า” จั่วม่อก้มตัววางเจ้าดำน้อยลงนพื้น
เจ้าดำน้อยโบกหนวดไปมา จากนั้นเปลี่ยนเป็นลำแสงสีดำแกมทอง บินพุ่งออกไป
จั่วม่อรีบตามติด
หนึ่งคนหนึ่งแมลงยุ่งวุ่นวายกับการค้นหาอยู่สองสามวัน แต่จั่วม่อดูเหมือนจะใช้โชคของมันไปหมดแล้ว
พวกมันพบเส้นชีพจรปราณปฐพีไม่กี่เส้นบนเกาะแมกไม้รกร้าง ทั้งหมดเป็นเส้นชีพจรปราณปฐพีขนาดเล็ก หากอาศัยเส้นชีพจรปราณปฐพีเหล่านี้บุกเบิกทุ่งปราณ ระดับคุณภาพของทุ่งปราณจะไม่เกินระดับสามอย่างแน่นอน จั่วม่อในที่สุดค่อยเข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าไฉนสำนักกระบี่หัวใจทะเลสาบไม่คิดพัฒนาเกาะแมกไม้รกร้าง พวกมันย่อมตรวจสอบถ้วนทั่วทั้งเกาะและตัดสินว่าไม่มีคุณค่าที่จะพัฒนา
อย่างที่คาดไว้ ช่างเป็นเกาะอันแร้นแค้นอย่างแท้จริง!
เทียบกับความผิดหวังของจั่วม่อ ศิษย์สำนักกระบี่สุญตาที่เป็นชาวนาปราณกลับตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ตั้งแต่เมื่อใดกัน ที่พวกมันจะกล้าวาดหวังว่าได้ครอบครองทุ่งปราณระดับสามของตนเอง?
ด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างใหญ่หลวง พวกมันมีกำลังใจล้นเหลือ ไม่เพียงแต่ศิษย์ที่เป็นชาวนาปราณเท่านั้น แม้แต่ศิษย์คนอื่นก็ร่วมมือร่วมใจกันทำงานเป็นอย่างดี ทุ่งปราณที่ได้รับการบุกเบิกไถพรวนก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน เพื่อเลี้ยงสัตว์ปราณ พวกมันก็ต้องการหญ้าปราณ ศิษย์ที่หลอมกลั่นโอสถย่อมต้องการสมุนไพรปราณ สำหรับข้าวปราณ ยิ่งเป็นหนึ่งในความต้องการที่สำคัญที่สุดของทุกคน
มีเส้นชีพจรปราณปฐพีไม่มากนัก ย่อมบุกเบิกทุ่งปราณได้น้อยตามไปด้วย แต่บนเกาะนี้มีศิษย์อยู่ไม่กี่คน ไม่ต้องกังวลเรื่องทุ่งปราณไม่เพียงพอ แน่นอนว่านี่ยังมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่จั่วม่อเต็มใจสละสิทธิ์ในส่วนของมัน เมื่อมีศิษย์พี่เป็นแบบอย่าง เหล่าศิษย์น้องก็รักใคร่กลมเกลียวกันเป็นอย่างดี
หลังจากบุกเบิกไถพรวนแล้วเสร็จ พวกมันมีทุ่งปราณมากกว่าหกร้อยหมู่ ศิษย์ที่เป็นชาวนาปราณมีอยู่สามคน แต่ละคนแบ่งสันปันส่วนไปคนละสองร้อยหมู่ นี่นับว่าไม่มาก แต่เมื่อทั้งหมดล้วนเป็นทุ่งปราณระดับสาม ก็มากเกินพอที่จะทำให้ชาวนาปราณด่านจู้จีพออกพอใจได้อย่างง่ายดาย ศิษย์ที่เป็นชาวนาปราณสามคนนี้ยังไม่ได้รับป้ายหยกชุนหยา ดังนั้นพวกมันยังไม่นับว่าเป็นเกษตรกรปราณที่แท้จริง
จากนั้นเหล่าศิษย์อื่นๆ ก็เริ่มงานของพวกมัน ศิษย์ที่มีฝีมือทางเลี้ยงสัตว์เริ่มสร้างคอกปศุสัตว์ของพวกมัน เกาะแมกไม้รกร้างเป็นสถานที่อันยุ่งวุ่นวายไม่เบา
จั่วม่อเหม่อมองมหาสมุทรไร้ขอบเขตอย่างซึมเซา
“ที่นี่มันอะไรกัน?” เสียงอันคุ้นหูพลันปรากฏขึ้นข้างกาย
จั่วม่อตัวแข็งทื่อ หันขวับ เห็นผูเยาบิดกายอย่างเกียจคร้าน อ้าปากหาวหวอด “ข้าเผลอหลับไปงีบหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะนานไปหน่อย!”
“เผลอหลับไปงีบหนึ่ง?” จั่วม่อผู้กำลังจะปิติยินดี พอฟังก็ไม่รู้จะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี
มันในที่สุดค่อยจดจำได้ ว่าเจ้าผู้นี้คืออสูรฟ้า เป็นปิศาจเฒ่าที่สามารถมีชีวิตอยู่มาได้ตลอดหลายพันปีโดยไม่ด่วนแก่ตายไปเสียก่อน เวลาครึ่งปีสำหรับมัน สามารถเรียกว่าเผลอหลับไปงีบเดียวจริงๆ
“ไฉนเจ้ามายังสถานที่ผีสางเช่นนี้เล่า?” ผูเยาเขม้นมองรอบด้าน พลางถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ตรวจสอบไปก็เท่านั้น ที่นี่เงียบสงบมาก ไม่มีอะไรเลย” จั่วม่อกล่าวอย่างไม่เห็นสำคัญ มันสามารถรู้สึกถึงจิตสำนึกของผูเยาที่กวาดสำรวจไปทั่วทั้งเกาะแมกไม้รกร้างในทันที
“ฮ่าฮ่า สถานที่ที่ดี สถานที่อันประเสริฐ!” ผูเยากลับหัวร่อถูกอกถูกใจ
“สถานที่ปิศาจนี่มีอันใดดี?” จั่วม่อมองผูเยาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน “เจ้านอนหลับไปนานเสียจนกลายเป็นโง่งมไปแล้ว”
“ต่อให้ข้าบอกเจ้า เจ้าก็ไม่มีปัญญาเข้าใจ” ผูเยาชายตามองจั่วม่ออย่างเหยียดหยาม จากนั้นแบมือออกมา “จิงสือ!”
จั่วม่อพยายามระงับอารมณ์ไม่ให้โถมเข้าไปเสี่ยงชีวิตกับผูเยา มันหยิบจิงสือระดับสามออกมาสิบชิ้น โยนไปยังเหรินเยาบัดซบตรงหน้า
“เพียงเท่านี้เอง?” ผูเยาขมวดคิ้วอย่างขุ่นข้อง มือที่ยื่นออกมาแปรเปลี่ยนเป็นทำท่าคว้าจับกลางอากาศ
กริ๊ง กริ๊ง
เสียงกระทบอันคุ้นหูเป็นที่สุดดังขึ้น ในมือของผูเยาปรากฏจิงสือมากมายจนล้นมือ!
เบิกตามองฝีมือดุจเล่นกลของผูเยา จั่วม่ออ้าปากค้าง สักครู่ให้หลัง ค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนอง รีบตรวจสอบในแหวน
“เจ้าเหรินเยาบัดซบ เสี่ยวเหยียจะเชือดเจ้าทิ้ง!”
เสียงคร่ำครวญอย่างโศกเศร้าปิ่มว่าจะขาดใจของจั่วม่อสะท้อนสะท้านไปทั้งเกาะแมกไม้รกร้าง!
เวลานี้จะเรียกว่าจั่วม่อตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะแมกไม้รกร้างก็ว่าได้ มันจำเป็นต้องเฝ้าเกาะแร้นแค้นนี้ไปอีกนาน ก่อนจะเดินทางมา มันได้รับทรัพยากรมากมายจากสำนัก อีกทางหนึ่งก็หมายความว่ามันจะไม่ได้รับทรัพยากรจากสำนักอีกเป็นเวลานาน
จะจัดการกับทรัพยากรที่มีจำกัดนี้อย่างไร จะใช้ทำอะไรให้มันแข็งแกร่งขึ้น เรื่องเหล่านี้กลายเป็นปัญหาที่มันต้องครุ่นคิด
จั่วม่อนำคำถามนี้ปรึกษาหารือกับผูเยา
ทว่าผูเยากลับตอบอย่างไม่แยแส “ไม่ใช่กงการอะไรของข้า!”
คบค้ากับเจ้าผู้นี้มานาน จั่วม่อทราบดีว่าเหรินเยานี้บัดซบเพียงใด จึงไม่มีโทสะ เพียงกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “เสี่ยวเหยียผู้นี้มีจิงสือมากน้อยเท่าใด เจ้าย่อมทราบกระจ่างแก่ใจ เมื่อใช้จนหมด พวกเราทั้งหมดก็รอรับความตายด้วยกัน! เสี่ยวเหยียอาจอดตาย เจ้าอาจตายเพราะความยากจน จะอย่างไรล้วนตายเสมอกัน!”
ผูเยาตะลึงลาน จากนั้นสักครู่ ค่อยกล่าวอย่างไม่เต็มใจอยู่บ้าง “ช่างไม่รู้ความจริงๆ ขึ้นภูเขากินภูเขา ลงทะเลกินทะเล* ไม่เคยได้ยินถ้อยคำเหล่านี้หรือ?”
(*อุปมาว่านำสิ่งที่มีรอบตัวมาใช้ให้เป็นประโยชน์)
จั่วม่อได้ยินเช่นนั้น เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที “กินอย่างไรเล่า?”
ผูเยาไม่กล่าววาจา จู่ๆ ก็จมลงไปในห้วงภวังค์ครุ่นคิด
จั่วม่อรู้สึกแปลกพิกลอยู่บ้าง แต่ไม่ได้รบกวนผูเยา
สักครู่ให้หลัง ผูเยาค่อยเอ่ยปาก “ข้าจะถ่ายทอดศาสตร์แขนงหนึ่งให้แก่เจ้า แต่เจ้าต้องช่วยข้าสร้างบ่อน้ำยมโลก”
“บ่อน้ำยมโลก?” จั่วม่องงงวย
“ถูกต้อง” ผูเยาตอบคำ แต่ไม่อธิบายรายละเอียด เพียงจ้องมองจั่วม่อนิ่ง
“บ่อน้ำยมโลกใช้ทำอะไร?” จั่วม่อซักไซ้ เจ้าเหรินเยาดูผิวเผินคล้ายไม่เป็นอันตราย แต่จะอย่างไรเป็นเผ่าอสูรของแท้ไม่แปลกปลอม แม้ว่าจนถึงตอนนี้จั่วม่อจะยังไม่เคยเห็นผูเยากระทำเรื่องชั่วช้าก็ตาม
“ใช้เพื่อตัวข้าเอง” ผูเยาตอบอย่างรวบรัด
“สร้างยากหรือไม่? ใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง?” จั่วม่อแบมือสองข้าง “บนเกาะโง่เง่านี่ไม่มีอะไรเลย เจ้าก็ทราบกระจ่างแก่ใจว่าข้ามีสิ่งใดอยู่ในมือบ้าง” หนนี้มันรอบคอบยิ่ง ไม่ต้องการรับปากแต่ไม่มีปัญญากระทำ จากนั้นต้องติดหนี้ก้อนโตอีก
เป็นหนี้ผูเยาไม่ใช่หนี้ที่ดี สำหรับเรื่องนี้มันมีประสบการณ์ลึกล้ำยิ่ง
“นี่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน แค่ทะเลสาบน้ำดำนั่นก็เพียงพอ” ผูเยาหัวร่อคิกคัก
ถึงตอนนี้จั่วม่อค่อยตระหนักว่าประโยค ‘สถานที่อันประเสริฐ’ ของเจ้าผู้นี้หมายความว่าอะไร ที่แท้เจ้าเหรินเยานี้เล็งทะเลสาบน้ำดำไว้แต่แรก
ต่อให้จั่วม่อโง่งมกว่านี้ บัดนี้ก็ยังล่วงรู้คุณค่าและความหายากของทะเลสาบน้ำดำ สามารถเข้าตาคนอย่างผูเยาผู้มีสายตาสูงส่งอยู่เหนือศีรษะ ทะเลสาบน้ำดำนั่นเกรงว่าไม่ใช่ธรรมดาสามัญเสียแล้ว
“เช่นนั้นทะเลสาบใหญ่ที่มีน้ำสีดำนั่น ข้ายกให้เจ้าก็แล้วกัน...”
จั่วม่อกล่าวหน้าตาย
ผูเยาย่อมไม่หลงกลปัญญาอ่อนเช่นนี้ มันหรี่ตามองจั่วม่อ “ผู้คนไม่สมควรโลภมากเกินไป”
จั่วม่อทันใดนั้นรู้สึกหน้าร้อนวาบอยู่บ้าง แต่เวลานี้ใบหน้ามันหนาเท่ากำแพงเมืองแล้ว ย่อมไม่อาจพ่ายแพ้ด้วยประโยคเดียวเช่นนี้ มันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กล่าวว่า “อย่างน้อยที่สุดเจ้าต้องบอกข้าว่าจะถ่ายทอดสิ่งใดให้แก่ข้า อย่าได้คิดส่งมอบสินค้าเส็งเคร็งดังเช่นหอมจรุงไม่ลืมเลือนมารดามันออกมาเป็นอันขาด”
“เส็งเคร็ง? เจ้าจะรู้คุณค่าของมันได้อย่างไรในเมื่อสายเจ้ายังอคติเช่นนี้! สักวันอย่ามาซาบซึ้งในหอมจรุงไม่ลืมเลือนของข้าก็แล้วกัน!” ผูเยาแค่นเสียง แล้วโยนลูกกลมแสงมายังจั่วม่อลูกหนึ่ง
จั่วม่อรีบรับลูกกลมแสง
“บ่อน้ำฟูมฟักอสูร?” จั่วม่อขมวดคิ้วฉับ น้ำเสียงหวาดหวั่นอยู่บ้างและไม่พอใจ “เจ้ากลัวว่าข้าไม่ตายเร็วพอหรือไร?”
ศาสตร์วิชาที่ผูเยาส่งมาเป็นวิธีการฟูมฟักขัดเกลาอสูรปิศาจ ในโลกของอสูรปิศาจ พวกมันแบ่งชั้นวรรณะสูงต่ำชัดเจน อสูรปิศาจชั้นสูงบางพวกสามารถใช้กลวิธีลับเพื่อสร้างอสูรปิศาจที่ทั้งแปลกประหลาดทั้งทรงพลังขึ้นมา ทั้งยังสามารถควบคุมพวกมันได้
จั่วม่อกวาดตาอ่านไปพลาง หลั่งเหงื่อเย็นเยียบไปพลาง อสูรปิศาจพวกนี้ไร้ศีลธรรมจริงๆ แม้แต่พวกเดียวกันยังไม่มีปราณี วิธีการฟูมฟักขัดเกลาอสูรปิศาจเช่นนี้ มันไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แต่ทุกวิธีล้วนโหดเหี้ยมน่าสยดสยอง มันไม่สามารถจินตนาการได้ อสูรปิศาจที่ถูกฟูมฟักมาด้วยวิธีการเช่นนี้ จะดุร้ายทรงพลังถึงเพียงไหน!
มันไม่ปรารถนาเรียนรู้สิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อย
วิธีการฟูมฟักอสูรเหล่านี้โหดเหี้ยมเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นหากมันพกพาอสูรปิศาจเดินท่อมๆ ไปทั่ว ไม่ถูกเหล่าซิวเจ่อรุมล้อม ‘กำจัดปิศาจพิฆาตอสูร’ ในทันทีก็แปลกไปแล้ว
ในช่วงเวลาอันละเอียดอ่อนเช่นนี้ ความหวาดกลัวที่เหล่าซิวเจ่อมีต่ออสูรปิศาจ บรรลุถึงระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายร้อยปี
“เจ้านี่ช่างงี่เง่าเกินบรรยายจริงๆ” ผูเยาเยาะหยัน “ต่อให้เจ้าอยากฟูมฟักอสูร ก็ไม่มีอสูรให้เจ้าเลี้ยง”
จั่วม่ออึ้งไปวูบหนึ่ง นั่นก็ใช่แล้ว อสูรตนเดียวที่อยู่ที่นี่คือเจ้าผู ฟูมฟักขัดเกลามันน่ะหรือ? ความคิดที่เหลวไหลไร้เหตุผลนี้...
ในที่สุดก็เข้าใจ จั่วม่อเดือดดาลขึ้นมาทันที “เช่นนั้นเจ้าให้ข้ามาทำไม? คิดหลอกลวงข้าอีกแล้วใช่หรือไม่?”
ผูเยามองดูจั่วม่อเหมือนมองคนปัญญาอ่อน
“เจ้าไม่อาจฟูมฟักอสูร หรือไม่รู้จักฟูมฟักสัตว์ปราณ?”