บทที่ 1 เมืองอสูรปีศาจ
ในปี พ.ศ. 2578 นี้คือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ต้องสั่นสะเทือนทั้งโลกเกี่ยวกับการระเบิดที่เกิดขึ้นเหนือน่านฟ้าเหนือเมืองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในแคว้นซินเมืองเกลียว มันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะสถานที่สำคัญเพียงอย่างเดียวแต่ในหลายๆพื้นที่ก็เกิดเหตุการณ์คล้ายๆกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกนั้นทำให้ภูมิประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงส่งผลให้เกิดช่องว่างมิติที่ปรากฏขึ้นเหนือน่านฟ้า นี่เป็นเหตุผลอย่างที่ทำให้โลกปัจจุบันผสานเข้ากับโลกต่างมิติอื่นๆ
มันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศครั้งยิ่งใหญ่จนผู้คนขนานนามว่า เมืองอสูรปีศาจ
ตั้งแต่การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่จนถึงปัจจุบันเวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยไปจนถึง 16 ปีแล้ว และในตอนนี้ เด็กหนุ่ม ฟางซินเจี้ยน อายุได้ 16 ปี กำลังยืนอยู่บนสะพานหินเพื่อฝึกวิชายุทธทักษะดาบเบื้องต้น
เขาได้เรียนรู้ทักษะดาบเบื้องต้นจากสำนักวิชายุทธทั่วไป สิ่งนี้เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนต้องเรียนรู้เป็นทักษะดาบของเมืองอสูรปีศาจ
หนึ่งชั่วโมงต่อมาภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา เหงื่อกายที่ไหลรินลงมาตามร่างกายของฟางซินเจี้ยน ที่กำลังฝึกฝนท่วงท่าพื้นฐานต่างๆอย่างตั้งใจและไม่มีท่าที่ว่าจะหยุดลง
หลังจากการฝึกฝนอย่างหนัก ฟางซินเจี้ยนค่อยดึงดาบที่อยู่ในมือกลับมาแล้วทำสมาธิเพื่อตรวจสอบค่าสถานะในหัวของเขา
ชื่อ ฟางซินเจี้ยน
อายุ 16 ปี
อาชีพ นักรบฝึกหัด
ระดับ 9
พละกำลัง 9
ความว่องไว 9
การตอบสนอง 6
ความอึด 6
ความยืดหยุ่น 6
ทักษะดาบเบื้องต้น ระดับ 3 (15325/32500)
ทักษะดาบมือเดียว ระดับ 2 (23455/42200)
คลื่นดาบสังหาร ระดับ 2 (11325/23900)
หลายคนอาจจะสงสัยว่านี้คล้ายกับทักษะในเกม MMORPG ซึ่งพวกเขาทุกคนสามารถเพิ่มขีดความสามารถของตัวเองได้เหมือนเช่นเกมที่นิยมในอดีต ภายในอาณาเขตของโลกในเมืองอสูรปีศาจทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์ระเบิดในครั้งนั้นเมื่อ 16 ปีก่อนที่ นั้นทำให้โลกนี้เกิดความผิดเพี้ยนตามทฤษฎีและหลักความเป็นจริง นับตั้งแต่เมืองอสูรปีศาจและโลกอื่นๆรวมตัวกัน เมื่ออะไรก็ตามด้เข้ามาสู่เมืองอสูรปีศาจจะได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นข้อมูลค่าสถานะนั้นรวมถึงธรรมชาติด้วยเช่นแม่น้ำ ทะเล ป่าก็มีการแสดงของข้อมูลต่างๆนั้นรวมถึงมนุษย์ด้วย
ตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้เมื่อฟางซินเจี้ยนได้รับการฝึกฝนทักษะดาบเบื้องต้นเขาได้รับทักษะดาบเบื้องต้น,ทักษะดาบมือเดียวและคลื่นดาบสังหาร ตราบใดที่เขายังคงฝึกฝนทักษะต่างๆเหล่านี้อย่างต่อเนื่องทักษะและค่าสถานะต่างๆของเขาก็จะพัฒนารวมถึงยกระดับความสามารถของเขายิ่งขึ้น
ส่วนใหญ่ผู้ที่มีค่าสถานะสูงจะได้รับการฝึกฝนอย่างรวดเร็ว แค่หลังจากการฝึกไปหาประสบการณ์เพียงเล็กน้อยก็จะสามารถเข้าใจทักษะได้ดียิ่งขึ้น ไม่เพียงแค่นั้นถ้าค่าสถานะของคนที่ฝึกมีสูงมากจะยิ่งยกระดับให้สูงขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตามฟางซินเจี้ยนรู้ว่าค่าสถานะของตัวเองอยู่แค่ระดับไหน แม้ว่าประสบการณ์ในการฝึกฝนจะมากเพียงใดแต่การที่จะก้าวข้ามไปอีกระดับก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ถ้าหากเขาฝึกฝนทักษะที่สามจนพัฒนาไปอีกขั้นได้ละก็เขามั่นใจว่าสามารถยกระดับตัวเองจากระดับ 9 ไประดับ 10 ได้อย่างแน่นอน
เขาต่อยๆเก็บดาบที่ฝึกอย่างระมัดระวัง อาวุธที่เขาเอามาใข้ในการฝึกฝนนี้เขาได้เก็บเงินจาดเศษเงินที่เหลือๆอยู่ นั้นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงดูแลดาบเล่มนี้อย่างดี
ต่อมาฟางซินเจี้ยนได้นำดาบหนัก 50 กิโลมาแนบไว้ข้างๆ ดาบเล่มนี้เป็นดาบเหล็กหนักซึ่งฟางซินเจี้ยนคิดว่าถึงแม้งดาบจะมีน้ำหนักที่มากแต่มันเหมาะสมที่จะนำมาเพื่อฝึกฝน
ด้วยความแข็งแกร่งของฟางซินเจี้ยนในช่วงที่ยกตัวดาบขึ้นมานั้น มือทั้งสองข้างก็มีอาการสั่นอยู่บ้าง เมื่อเขาใช้ดาบเล่มนี้ในการฝึกฝนทักษะ
หลังจากการฝึกฝนทักษะดาบพื้นฐาน ฟางซินเจี้ยนก็ลดดาบลงเมื่อเขาไม่สามารถถือดาบเล่มนี้ต่อไปไหวตัวดาบถูกปล่อยตกจากมือ ฟางซินเจี้ยนหายใจเข้าออกด้วยความเหนื่อยล้าจากการฝีกฝนแขนทั้งสองข้างมีอาการปวดอย่างรุนแรงจากการใช้งานอย่างหนัก
"หากยังเป็นแบบนี้เราคงไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้แน่ แค่ดาบเล่มเดียวเรายังไม่ไหวเลยงี้เมื่อไหร่จะถึง ระดับสามัญ"
สิ่งที่เรียกว่าระดับสามัญ คือการก้าวข้ามขีดความสามารถของมนุษย์ทั่วไปซึ่งจะเพิ่มกำลังและความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ที่สามารถพัฒนาตัวเองจนถึงระดับ 10 ได้เมื่อพัฒนาตัวเองจนถึงระดับ 10 จะ๔ุกยอมรับว่าอยู่ในระดับสามัญ มีตำนานของโลกอื่นๆกล่าวไว่ว่าหายเข้าถึงระดับนี้ได้จะสามารถยกสิ่งของหนักๆ ได้เป็นร้อยกิโล
พละกำลัง ความว่องไว การตอบสนอง ความอึด ความอืดหยุ่น สิ่งเหล่านี้ถูกเรียกว่า ค่าสถานะ 5 ประการ
พละกำลังและความว่องไว ค่าสถานะสองอย่างนี้ถูกใช้ในการต่อสู้และการเคลื่อนไหว
ความว่องไว จะส่งผลให้กล้ามเนื้อของมนุษย์นั้นมีการหดตัวและขยายตัวของกล้ามเนื้อได้ไวยิ่งขึ้นทำให้การเคลื่อนไหวต่างๆมีความเร็วและตอบสนองได้ไว
การตอบสนองจะทำการส่งผลประมวลช้อมูลต่างๆเข้าสู่สมองเพื่อรับรู้ถึงท่วงท่าต่างๆ หากมีการใช้ความว่องร่วมกับการตอบสนองนั้นจะส่งผลดีต่อความสามารถในการต้อสู้
ความอึด ถูกใช้เพื่อล่อเลี้ยงเลือดเข้าสู่หัวใจทำให้สามารถทนต่อความเหนื่อยล้าที่ร่างกายได้รับดียิ่งขึ้น
ความยืดหยุ่น ข้อดีที่สำคัญที่สุดคือหากเมื่อเราตกอยู่ในสถาวะอันตรายต่างๆ ความยืดหยุ่นจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของบาลแผลได้และยังสามารถช่วยลดแรงที่กระทำต่อร่างกายหรือก็คือช่วยในการป้องกันร่างกายนั้นเอง
อย่างไรก็ตามค่าสถานะทั้ง 5 ประการ 'ไม่ได้เพิ่มขึ้นโดยตรงกับระดับที่แยกออกมา นั้นหมายความว่าหายอยู่ในระดับแล้วไม่ได้หมายความว่าจะได้ถูกยอมรับในระดับสามัญ เพราะจำเป็นต้องให้ทั้งค่าสถานะทั้ง 5 ประการนั้นอยู่ในระดับ 10 เช่นเดียวกัน
ซึ่งหากพัฒนาจนถึงระดับสามัญได้แล้วนั้นการที่จะไปต่อสู้กับคนที่ยังไม่ถึงระดับนี้นั้น แค่หมัดหรือเตะธรรมดาเพียงครั้งเดียวก็สามารถฆ่าคนเหล่านั้นได้เลยทีเดียว
ฟางซินเจี้ยนที่ตอนนี้ยังไม่สามารถกวัดแกว่งดาบเหล็กหนักไม่ได้อยู่นั้น ก็อาศัยทดสอบระดับความแข็งแกร่งของเขาด้วยการทำสมาธิและปรับความเข้าใจเกี่ยวกับต่าสถานะทั้ง 5 ประการ
หลังจากฝึกฝนในช่วงเช้าเสร็จสิ้น ฟางซินเจี้ยนก็ไปชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อจากการฝึกฝน หลังจากเสร็จแล้วก็เดินไปแต่งตัวด้วยเสื้อสีฟ้ากางเกงขายาสสีดำจบด้วยการสวมเสื้อคลุมสีดำ
เสื้อที่ฟางซินเจี้ยนใส่อยู่หากใครพบเห็นจะรู้ได้เลยว่าสีของมันจางมากเพราะเกิดจากการซักหลายครั้งซึ่งรับรู้ได้ว่าใส่บ่อย อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงใส่มันอยู่ นั้นแสดงให้เห็นถึงฐานะที่ยากจนของฟางซินเจี้ยน
ฟางซินเจี้ยนเดินออกจากลานฝึกฝน ดวงตาของเขามองไปที่อาคารรูปทรงคล้ายจีนโบราณ
ระหว่างทางเขาเห็นชายร่างยักษ์หลายคนสวมชุดเกราะและพกอาวุธเดินลาดตระเวณ นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงหลายคนสวมชุดสีขาวที่กำลังรดน้ำดอกไม้กวาดพื้นและทำงานต่างๆ ขณะที่พวกเขาเห็นฟางซินเจี้ยนใกล้เข้ามาพวกเขาทั้งหมดโค้งคำนับและเรียกเขาว่า "นายน้องฟาง"
พวกเขาเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของตละกูลที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต แน่นอนภาพลักษณ์เหล่านี้หากใครมาเห็นคงนึกว่าเป็นตละกูลที่ร่ำรวย
ในความเป็นจริงตละกูลฟางถือเป็นตละกูลที่ใหญ่เป็นหนึ่งในห้าตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน ถึงแม้ฐานะทางการเงินจะไม่ดี แจ่เมื่อมีผู้คนจำนวนมากก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวมาเป็นหนึ่งในตละกูลที่ยิ่งใหญ่
ตระกูลฟางเป็นตละกูลที่อยู่มาแล้ว 200 กว่าปี ในอดีตตละกูลฟางมีชื่อเสียงมากมายครอบครัวของเขาครอบครองพื่นที่เกษตรกว่า หมื่นไร่และมีข้ารับใช้มากมาย
อย่างไรก็ตามเมื่อประมาณหนึ่งร้อยปีมาแล้วความมั่งคั่งที่สะสมไว้ก่อนหน้านี้หมดลง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ตละกูลฟางกลัวว่าจะถูกแคว้นซินจัดการกับพวกตละกูลเก่าแก่ในอดีต นั้นทำให้ตละกูลฟางหลบหนีออกมาสร้างรากฐานและเริ่มต้นใหม่
เมื่อไม่นานมานี้ 20 ปีที่ผ่านมาแคว้นซินได้เปิดให้มีการทำธุรกิจใหม่พร้อมกับสถานะการณ์ในแคว้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเลยทำให้ตละกูลฟางได้มีโอกาศได้กลับไปทำะูรกิจในแคว้นซินอีกครั้ง
4 ปีหลังจากนั้นหรือเมื่อประมาณ 16 ปีก่อน ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่คนทั้งโลกจะไม่มีวันลืม เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เกิดเมืองที่ชื่อว่า เมืองอสูรปีศาจ นั้นทำให้ผู้คนละทิ้งสิ่งต่างจากโลกเดิมและออกไปผจญภัยในโลกอื่นหลังจากการออกไปสำรวจครั้งนั้นทำให้พวกเขาทราบถึงพลังอำนาจทำให้เกิดความอล่มานในแคว้น
หลังจากการกลับมากครั้งนั้นตละกูลฟางก็เป็นหนึ่งในพวกที่เข้าร่วมการสำรวจทำให้กลายมาเป็นหนึ่งในห้าตละกูลใหญ่
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ผู้นำตละกูลฟางได้เสียชีวิตในโลกอื่นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว จึงทำให้ตระกูลฟางเริ่มอ่อนเอลงและในที่สุดก็กลายเป็นตละกูลที่อ่อนแอที่สุดของห้าตระกูลใหญ่
ฟางซินเจี้ยนเดินตรงไปตามทางเดินซึ่งตรงไปยังห้องอาหาร ที่นั้นมีผู้หญิงวัยกลางคนแต่ความสวยงามของเธอก็ยังคงมีอยู่เช่นตอนเป็นสาว ผมยาวสีดำที่รูปร่างดูดีในชุดสีแดงในเครื่องแบบของฝั่งตะวันตก พร้อมกับรองเท้าส้นสูงที่ทำให้เธอดูดีขึ้นไปอีก
ดวงตาที่เป็นเงา คิ้วที่โค้งได้รูป ทำให้เธอดูดีแต่ก็แสดงออกถึงความสูงส่ง
ซึ่งหากสังเกตุดีๆจะเห็นว่ามีความเหนื่อยล้าของร่างกายที่ต้องทำงานอย่างหนักมาอย่างยาวนาน
ยายที่กำลังมุ่งความสนใจไปที่เอกสารในมือของเธอและเมื่อฟางซินเจี้ยนเข้าไปในห้องโถงใหญ่เธอก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่หลานชายของเธออย่างไม่แยแสและพูดว่า "นั่ง"
คนๆนี้คือคนที่เป็นคนดูแลผู้นำตละฟางในปัจจุบัน เธอเป็นยายของฝางฟางซินเจี้ยนอายุ 49 ปี ชื่อว่าหลี่ซูหว่า
ฟางซินเจี้ยนยิ้มพร้อมพยักหน้าและนั่งลงที่เก้าอี้
นอกเหนือจากยายแล้วยังมี ลุงที่เหมือนจะพูดอะไรกับเขาสักอย่างแต่ก็หยุดพูดเพราะภรรยาของเขาห้ามไว้ลุงคนคือผู้ที่เลี้ยงดูฟางซินเจี้ยนจนเติบโตจนถึงทุกวันนี้เพราะฟางซินเจี้ยนเป็นเด็กกำพร้า
ฟางซินเจี้ยนไม่เคยได้รับการยกย่องภายในตละกูล มีเพียงลุงของเขาเท่านั้นที่คอยดูแลเขา ท่านมักถามปัญหาต่างๆกับฟางซินเจี้ยนแต่ตอนนี้ลุงที่คอยดูแลเขากลับถูกป้าของเขาห้ามไม่ให้พูดคุยด้วย
นับตั้งแต่พวกเขาแต่งงานกันไม่มีข่าวเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของป้าเลยนั้นทำให้ป้าไม่ยอมให้ลุงมาคุยกับเขา ซึ่งยายของเขาก็ไม่ค่อยชอบป้าเท่าไหร่เพราะตั้งแต่ไม่สามารถมีหลานให้ได้ยายก็อยากให้ลุงเลิกกับป้าตั้งแต่ตอนนั้น
ทั้งสามนั่งอยู่ตรงกลางและไม่มีใครกล้าพูด พวกเขาไม่กล้าที่จะเปิดประเดนสนทเพราะรู้ดีว่ายายของเขาเป็นผู้ดูแลตละกูลในปัจจุบันนา ซึ่งทำให้ป้าๆไม่กล้าที่จะโต้เถียงกับยายของเขาสักคำ
หลังจากผ่านไป15นาทียายแก่ก็ขมวดคิ้วและหันไปมองทั้งสามคน ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนเธอสั่งคนรับใช้หญิงคนหนึ่งว่า "ซิงไปดูว่าทำไมนายน้องสามถึงได้ใช้เวลานาน รับไปพาตัวนายน้อยสามใน 5 นาที"