ตอนที่ 28 ผลจิตวิญญาณบริสุทธิ์
เมื่อเพลงดาบอสนีบาตฟาดฟันถูกปลดปล่อยออกมา ร่างของหลิงฮันได้พลิ้วไหวและดาบเคลื่อนไหวอย่างอิสระ
ทักษะที่ใช้คู่กับเพลงดาบอสนีบาตฟาดฟันคือย่างก้าวเมฆาสลาย
ทุกๆก้าวเคลื่อนไหวได้ไกลสี่ถึงห้าเมตร ขยับไปซ้าย ขวา หน้า หลัง การเคลื่อนไหวของเขาช่างแปลกประหลาดและรวดเร็วจนในสายตาคนที่มองมาเห็นเป็นภาพติดตาม
หลิวอู๋ตงที่มองไป อดไม่ได้ที่จะแอบพยักหน้า
หากนางจัดกัดพลังบ่มเพาะให้อยู่ที่หลอมกายาขั้นเจ็ด นางคงจะไม่สามารถทำแบบหลิงฮันได้และโดนโจมตีจากทุกด้านแน่ๆ เพราะอย่างไรระหว่างหลิงฮันกับศัตรูก็มีความต่างของระดับพลังบ่มเพาะอยู่ถึงสองขั้น แถมศัตรูยังเป็นสัตว์อสูรอีกด้วย
ปรกติแล้วในการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธกับสัตว์อสูร จอมยุทธจะใช้ความได้เปรียบของพลังบ่มเพาะที่มากกว่าในการได้รับชัยชนะ เพราะถ้าพลังของจอมยุทธกับสัตว์อสูรอยู่ในระดับเดียวกัน จอมยุทธจะมีโอกาสสูงมากที่จะแพ้ เพราะไม่ใช่จอมยุทธทุกคนที่เป็นอัจฉริยะในการต่อสู้
การเคลื่อนของดาบหลิงฮันได้ลื่นไหลมากขึ้นไปอีก ทุกๆก้าวของเขาเป็นธรรมชาติและนุ่มนวลเหมือนกับว่าเขากำลังสนุกอยู่กับการต่อสู้
ในชีวิตที่แล้วเขาได้ทุ่มเทกับวิถีแห่งการปรุงยามากเกินไป ในด้านวรยุทธแล้วเขาเคยสนใจแค่เพียงระดับพลังบ่มเพาะเท่านั้น ทั้งชีวิตที่ผ่านมาของเขาข้าใจในวรยุทธเพียงผิวเผินเท่านั้น แต่ในชีวิตนี้ เขาจะก้าวเดินไปยังวิถีแห่งวรยุทธ เขาเองก็เพิ่งจะค้นพบว่าวิถีวรยุทธเองก็น่าสนใจเช่นกัน
หมาป่าโลหิตสีชาดได้กลายเป็นคู่ซ้อมให้กับเขา สามารถทำให้เขาฝึกฝนแก่นแท้ของทักษะเคลื่อนไหว และช่วยขัดเกลาให้เขาเข้าใจเพลงดาบอสนีบาตฟาดฟันมากขึ้น
สิบนาทีต่อมา ร่างกายของหมาป่าโลหิตสีชาดได้เต็มไปด้วยรอยบาดและรอยฟกช้ำส่งผลให้มันรู้สึกกลัวขึ้นมา มนุษย์ที่ดูท่าทางอ่อนแอคนนี้แท้จริงช่างแข็งแกร่ง! และสิ่งมันกลัวอีกอย่างคือนอกจากทั้งสองคนจะไม่กลายเป็นอาหารเข้าปากของมัน แต่ตัวมันเองต่างหากที่จะต้องกลายเป็นอาหารให้กับมนุษย์สองคนนี้
“เจ้าหนีไม่รอดหรอก!” หลิงฮันหัวเราะดัง ดาบเคลื่อนไหวดั่งที่ใจเขาต้องการ
แสงของปราณดาบทั้งสองเล่มได้ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน
ปราณดาบสองเล่ม! ในที่สุดเขาก็ก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว!
“ฉวก!” เกิดเลือดสาดกระเซ็นขึ้นบนคอของมหาป่าโลหิตสีชาด ร่างใหญ่ของมันล้มลงมาพร้อมกับเสียงดังสนั่น ตาของมันเปิดกว้างอยู่ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่ามนุษย์ในระดับหลอมกายาขั้นเจ็ดจะสามารถสังหารมันได้จริงๆ!
สัตว์อสูรมีสติปัญญาที่สูงมาก สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งบางตัวอาจจะมีสติปัญญาเทียบเท่ากับมนุษย์ได้เลย
หลิงฮันหยักหน้า พลังของปราณดาบสองเล่มแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ปราณดาบหนึ่งเล่มทำให้เขาสามารถสู้กับหมาป่าโลหิตสีชาดได้อย่างสูสี แต่ด้วยปราณดาบสองเล่มทำให้เขาสามารถสังหารมันลงได้ในทันที! อย่างที่คิดเลย ถึงแม้พลังบ่มเพาะจะเท่ากันแต่จอมยุทธแต่ละคนก็มีพลังที่แท้จริงต่างกันออกไป
หลิวอู๋ตงตกตะลึงจนพูดไม่ออกอีกครั้ง
เพียงเวลาไม่นาน หลิงฮันสามารถพัฒนาจากปราณดาบหนึ่งเล่มไปเป็นสองเล่มได้
หากลุงของนางรู้เรื่องนี้เข้าเขาคงจะไม่อับอายจนถึงขั้นกระโดดลงแม่น้ำให้จมน้ำตายเลยรึ? ลุงของนางที่ใช้เวลามากกว่าสามสิบปีในการสร้างปราณดาบเล่มที่สี่ เขาก็ถูกทั้งตระกูลเรียกว่าเป็นอัจฉริยะนักดาบแล้ว แต่เมื่อมาเทียบกับหลิงฮัน...
อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้รู้เลยว่าความสามารถในการทำความเข้าใจของเขานั้นน่ากลัวขนาดไหน ไม่เช่นนั้นในชีวิตที่แล้วเขาจะบรรลุระดับสวรรค์ได้ในขณะที่อายุเพียงสองร้อยปีได้อย่างไร?
“ได้อาหารค่ำแล้ว!” หลิงฮันพูดพร้อมร้อยยิ้ม
ทั้งสองเจอลำธารเล็กๆ พวกเขาทำความสะอาดร่างของหมาป่าโลหิตสีชาดที่ลำธาร แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางทำให้เลือดของสัตวอสูรเสียเปล่าแน่ จึงเทเลือดทั้งหมดเก็บไว้ในถุง หลิงฮันจะลงไปอาบแช่เลือดที่ได้มาในภายหลัง เพื่อทำการดูดซับพลังงานภายในเลือดที่จะช่วยขัดเกลาร่างกายของเขา
พวกเขาเริ่มจุดไฟและตัดขาหมาป่ามาย่าง หลังจากที่โรยเกลือลงไป ได้มีกลิ่นหอมลอยออกมาทันที
พอท้องฟ้ามืดสนิทพวกเขาจึงหยุดเดินทางและนั่งขัดสมาธิข้างๆลำธารเพื่อเริ่มทำการบ่มเพาะพลัง
หลิงฮันนำตัวเองลงไปแช่ในเลือดของสัตว์อสูร เขาเริ่มทำการโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เพื่อทำการสกัดพลังงานที่ได้มาจากเลือดสัตว์อสูรให้เข้าสู่ตัวเขา
หลังจากนั้นไม่เกินสิบนาที เลือดสัตว์อสูรที่เข้มข้นได้เจือจางลง พลังงานภายในเลือดได้ถูกใช้จนหมดสิ้นแล้ว
‘ว่าแล้วเชียว... การขัดเกลาร่างกายช่างยากจริงๆ!’ หลิงฮันคิดในใจ
หากจอมยุทธในระดับรวมธาตุใช้พลังปราณต้นกำเนิดปกคลุมร่างกายเพื่อป้องกันการโจมตีของจอมยุทธในระดับหลอมกายา เป็นไปไม่ได้เลยที่จอมยุทธระดับหลอมกายาจะทำลายการป้องกันนั้นได้ อย่างไรก็ตามหากไม่มีปราณต้นกำเนิดในการป้องปกคลุมเอาไว้ พลังป้องกันของจอมยุทธระดับรวมธาตุก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าระดับหลอมกายามากนัก
ตัวอย่างเช่น หากจอมยุทธในระดับรวมธาตุถูกลอบโจมตีโดยจอมยุทธระดับหลอมกายาขณะหลับอยู่ โอกาสที่จะถูกสังหารมีมากทีเดียว
ในขณะเดียวกัน การขัดเกลาร่างกายให้แข็งแกร่งจะเป็นการทำให้พลังป้องกันเพิ่มขึ้นอย่างถาวร ต่อให้หลับหรือไม่ได้สติอยู่ก็ตาม เพียงแต่การขัดเกลาร่างกายให้แข็งแกร่งนั้นเป็นสิ่งที่ยากมากและจำเป็นต้องใช้สมบัติธรรมชาติที่ล้ำค่าจำนวนมหาศาล
ในชีวิตก่อนหลิงฮันเป็นประเภทแรก เขาไม่ได้พยายามที่จะขัดเกลาร่างกายมากนัก
แน่นอนว่าเหตุผลที่เลือดสัตว์อสูรถูกสกัดได้รวดเร็วแบบนั้นเป็นเพราะประสิทธิภาพอันสุดยอดของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์
ไม่เช่นนั้นหากเป็นทักษะบ่มเพาะอื่นแล้ว มันอาจจะต้องใช้เวลาถึงสี่หรือห้าวันในการสกัดให้สำเร็จ
หลิงฮันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าทั้งผิวหนังและกล้ามเนื้อของเขาแข็งแกร่งทนทานขึ้น ถ้าเกิดมีหินแหลมๆมาถูกผิวของเขา อย่างมากที่สุดผิวของเขาจะเกิดเพียงรอยสีขาวเท่านั้น
อีกไม่นาน ร่างกายของเขาจะสามารถบรรลุถึงขั้นต้นไม้มรณะ
หลังจากค่ำคืนไปผ่านพ้นไป ทั้งสองเริ่มออกเดินทางต่อเพื่อค้นหาสัตว์อสูรมาต่อสู้ด้วย
ตั้งแต่วันที่สองดูเหมือนว่าโชคของพวกเขาจะดีขึ้น พวกเขาเจอสัตว์อสูรตลอดทาง นี่ไม่ใช่เพียงมอบโอกาสให้หลิงฮันเก็บสะสมประสบการณ์การต่อสู้เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการมอบเลือดสัตว์อสูรจำนวนมากให้หลิงฮันอีกด้วย ซึ่งทำให้เขาก้าวหน้าในการบ่มเพาะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์อย่างต่อเนื่อง
ในวันที่สี่ พวกเขาเดินออกจากป่าและเห็นคนห้าคนนั่งอยู่ไม่ไกล ทั้งห้าคนดูเหมือนว่าจะผ่านศึกหนักมา ทุกคนอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อย่างมาก
ทั้งห้าคนนั้นต่างเป็นรุ่นเยาว์ทั้งหมด ทุกคนอายุไม่เกินยี่สิบปี สามคนในกลุ่มอยู่ในระดับหลอมกายาขั้นเก้า ส่วนอีกสองคนอยู่ในขั้นแปด ในเมืองหมอกเมฆาเล็กๆแบบนี้ จากพลังบ่มเพาะของแต่ละคนแล้ว ทั้งห้าคนนั้นคงจะถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะอย่างแน่นอน
หลิวอู๋ตงนำผ้าคลุมหน้าออกมาสวมปกปิดใบหน้าของนางทันที นางเกิดมางดงามเกินไปและความงามนั่นสามารถทำให้เกิดปัญหาได้อย่างง่ายดาย
“น้องชาย เจ้ามาจากเมืองไหนกัน?” หนึ่งในชายหนุ่มถามออกมา น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความมั่นใจ คาดเดาได้ว่ามันควรจะมาจากตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยซักตระกูลหนึ่ง
หลิงฮันยิ้ม “เมืองหมอกเมฆา”
“พวกเรามาจากเมืองกำแพงศิลา” ชายหนุ่มคนนั้นพูดต่อ และเริ่มแนะนำคนในกลุ่ม
“ข้าชื่อลิ่วตง ส่วนคนที่เหลือชื่อ เชินเพิงจวี หลีเฮา โจวฉาง และแม่นางจูเซวอวี่”
หลิงฮันพยักหน้าให้กับทั้งห้าคน “ข้าชื่อหลิงฮัน และนี่คือหลิวอู๋ตง”
“หลิงฮัน พวกเราเจอผลจิตวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ที่นั่นมีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งคอยเฝ้าอยู่พวกเราจึงไม่สามารถเอามันมาได้ เจ้าสนใจมาร่วมมือกับเรารึเปล่า?” ลิ่วตงยื่นข้อเสนอให้หลิงฮัน คำพูดของเขาได้เผยออกมาแล้วว่าทำไมถึงได้มีท่าทีเป็นมิตร
“โอ้?” ใจของหลิงฮันสั่นสะท้าน ผลจิตวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้เพียงเพิ่มระดับพลังบ่มเพาะให้จอมยุทธเพียงอย่างเดียว มันยังช่วยให้การเตรียมพร้อมในการทะลวงไปยังระดับรวมธาตุง่ายขึ้นอีกด้วย ทั้งห้าคนตรงหน้าเขาล้วนแต่ใกล้จะบรรลุหลอมกายาขั้นเก้าระดับสูงสุดแล้ว หากพวกมันกินผลจิตวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไป มันจะช่วยให้การทะลวงระดับของพวกมันง่ายขึ้นอย่างมาก
ผลจิตวิญญาณบริสุทธิ์แตกต่างจากเม็ดยา พวกมันเป็นสมบัติทางธรรมชาติ การกินเข้าไปจึงไม่เกิดผลข้างเคียงอันใด
“สัตว์อสูรนั่นอยู่ในระดับใด?” หลิงฮันถาม
“อสูรหมอกพิษ ระดับหลอมกายาขั้นเก้า” โจวฉางตอบ
หลิงฮันเข้าใจทันทีว่าทำไมทั้งห้าคนถึงจัดการมันไม่ได้ อสูรหมอกพิษจะปลดปล่อยหมอกที่เป็นพิษออกมาในขณะที่ต่อสู้อยู่ตลอดเวลา คนที่สู้กับมันต้องกลั้นหายใจขณะที่สู้อยู่ อย่างไรก็ตามในการต่อสู้ที่รุนแรง จอมยุทธจะสามารถกลั้นหายใจได้นานเท่าไหร่กันเชียว?
ดังนั้นหากไม่มีพลังโจมตีที่รุนแรงในการจบการต่อสู้ให้ไวสุด จะไม่มีทางจัดการอสูรหมอกพิษได้อย่างแน่นอน
“แต่ว่า เจ้าจะต้องรับการโจมตีจากกระบี่ของข้าเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้ามีความแข็งแกร่งมากพอเสียก่อน” หลีเฮาพูดออกมาพร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่ในมือของมัน ใบหน้าแสดงถึงความสงบนิ่งที่ตั้งใจจะแสดงความสามารถออกมาเต็มที่
**ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ**