บทที่ 5 - คุณไม่เห็นฉันหรอ? (2)
บทที่ 5 - คุณไม่เห็นฉันหรอ? (2)
ยูอิลฮานได้เงียบลงไป เขาตกอยู่ในสภาพที่ตกใจอย่างมาก
จากคำพูดของลิต้าคำว่า 'สถานะ' เขาสามารถจะเดาได้ว่าพลังของมนุษย์จะถูกใช้วัดโดยเลเวลเหมือนกับพวกหน้าต่างของเกมอะไรพวกนี้และมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
สถานะที่มหาศาลนั่นก็ไม่ใช่ปัญหา นี่มันเป็นผลลัพธ์ของการฝึกที่เขาได้ทุ่มเทมาตลอดมันมีแต่จะทำให้เขามีความสุขเท่านั้น
การแบ่งแต้มโบนัสสเตตัสต่างๆก็ไม่ใช่ปัญหาสักนิด มันไม่ใช่เกมที่จะสามารถเลือกที่จะเพิ่มสถานได้ตามที่ต้องการอยู่แล้วและเขาก็คิดไว้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางที่จะเพิ่มพลังเวทย์ได้ด้วยวิธีนี้
ใช่แล้ว เรื่องพวกนี้มันไม่ใช่ปัญหาเลย
ปัญหาจริงๆมันก็คือฉายากัสกิล สกิลปกปิดที่เขาจำไม่เห็นได้เลยว่าไปเรียนมันตอนไหนและฉายาที่ดูจะตั้งใจกลั่นแกล้งยูอิลฮาน
นี้มันอะไรกันที่ทักษะปกปิดใช้งานอัตโนมัติ? นี่มันหมายความว่าตัวฉันถูกปกปิดอยู่งั้นหรอ!? ชีวิตของฉันถูกปกปิดเอาไว้!? ฉันจะต้องโดดเดี่ยวไปตลอดเลยงั้นหรอ!?
ความโกรธเคืองที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิตของเขาได้พวยภุ่งขึ้นมา นี้มันเวลาที่เป้าหมายอีกอย่างหนึ่งนอกเหนือไปจากการกลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูงเพื่อพบกับลิต้าได้เพิ่มขึ้นมาแล้ว เป้าหมายนั่นก็คือเอาชนะบันทึกอคาชิคให้ได้
ถ้าหากว่าจะมีสิ่งหนึ่งที่เขาอยากจะถามนั่นก็คือสกิลตัดตัว ระบุไม่ได้นี่มันคืออะไรกัน? ยูอิลฮานที่ได้คิดเรื่องนี้จนกระทั่งกลับมาถึงบ้านแล้วเขาก็ได้คิดสมมติฐานขึ้นได้อย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
'ในตอนนี้ความสามารถทางกายภาพกับเทคนิคการปกปิดของฉันมันได้เผยออกมาทำให้มีการบันทึกขึ้นได้ แต่ยังไงก็ตามส่วนอื่นๆมันอาจจะเป็นเพราะว่ามันไม่เคยมีบันทึกถึงความสามารถที่ฉันเรียนในอดีตก็ได้ การฝึกฝนทั้งหมดของฉันมันได้เกิดขึ้นในตอนที่เวลาของโลกได้หยุดลง ยิ่งไปกว่านั้นนั่นก็เป็นก่อนที่บันทึกอคาชิคจะมาเชื่อมโยงกับโลกด้วย'
ภายได้สมมติฐานนี้ของยูอิลฮานก็คือมันเป็นไปได้มากๆว่าทุกๆสิ่งที่ยูอิลฮานได้ทำบนโลกในตอนที่เวลาถูกหยุดลงด้วยพลังของพระเจ้าไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้โดยบันทึกอคาชิค ยูอิลฮานไม่ได้มั่นใจนักแต่ว่าความเป็นจริงมันชี้ไปในทางเช่นนั้น
'เอาเถอะ ฉันรู้ว่ามันจะเปลื่ยนไปแน่ๆ'
ยูอิลฮานเชื่อว่ายิ่งเขาใช้ชีวิตต่อไปและฝึกฝนต่อไปงั้นข้อความก็จะปรากฏขึ้นมาเอง มันไม่ใช่ว่าเขาจะไม่สามารถเหวี่ยงหอกได้เพราะการที่สถานะสกิลของเขามันระบุไม่ได้ซักหน่อยนะ มันไม่ได้มีผลอะไรกับเขาเลย
เขาได้เปิดประตูบ้านขึ้นและเข้าไปข้างใน เขาได้วางแผนที่จะอาบน้ำก่อนที่จะลองขยับในท่วงท่าต่างๆดูว่าจะมีสกิลติดตัวอะไรโผล่ขึ้นมาหรือป่าว
แต่ว่าในตอนนั้นเองก็มีคนๆหนึ่งโผล่ขึ้นมา
"อ่า"
มีเพียงแค่น้ำเสียงโง่ๆออกมมาจากปากเท่านั้นเอง นี้เป็นช่วงเวลาที่เขาตระหนักได้ว่าเขาโง่เขลาแค่ไหน
เขาได้ลืมสิ่งสำคัญที่สุดไปได้ยังไงกัน? เขาจำครอบครัวคนที่เขารักมากที่สุดไม่ได้ได้ยังไงกัน?
"อิลฮาน"
แม่ของเขาได้อยู่เบื้องหน้าของเขา
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างจากกันไปนานจนถึงจุดที่เขารู้สึกไม่คุ้นเคยแม้แต่ในรตอนที่เขามองรูปก็ตาม แต่เขาก็รู้ตัวได้ทันทีหลังจากที่เห็นเธอแบบนี้ เขาได้รู้ถึงความจริงที่ว่าผู้หญิงวัยกลางคนที่กำลังร้องไห้ต่อหน้าคือแม่ของเขาเอง
นี้มันไม่ใช่สิ่งที่จดจำโดยสมองแต่เป็นหัวใจของเขา
"แม่"
ในตอนที่เขาได้พูดคำที่ไม่ได้พูดออกมาเป็นเวลานานแล้วอิลฮานก็เข้าไปกอดแม่ของเขา
เขาได้ร้องไห้ออกมาเหมือนกับเด็กเล็กๆที่เวลาหลายปีที่ผ่านมามันดูไม่มีค่าอะไรเลย แม่ของเขาก็ยังร้องไห้ไปพร้อมๆกับเขาด้วย พวกเขาได้ร้องไห้กันแบบนี้จนกระทั่งพ่อของเขาได้มาถึง
หลังจากร้องไห้ออกมาจนน้ำตาแห้งแล้วพวกเขาก็เริ่มหัว แม่ของเขาคิมเยซูก็ยังได้เริ่มไปทำอาหารแล้ว
ยูอิลฮานได้รับอาหารมาจากลิต้าเป็นเวลานานถึงพันปี (แม้ว่าเขาจะไม่รู้ก็ตาม) แต่เขาก็ไม่ได้เคยเห็นเธอทำอาหารเลยดังนั้นเขาจึงรู้สึกประทับใจมากที่ได้เห็นแม่เขายืนอยู่ภายในห้องครัว
เมื่อกลิ่นหอมของเขาที่แสดงว่าข้าวสุกแล้วส่งกลิ่นออกมา เสียงจังกวะมีดหั่นเนื้อและเสียงไฟที่กำลังทำน้ำซุบได้ดังขึ้นสร้างความคิดถึงให้กับเขา
"ขอบคุณสำหรับอาหารครับ"
มื้อเย็นนี้ที่ได้ใช้ส่วนผสมทั้งหมดที่มีในบ้านนี้ได้เงียบสงบเป็นอย่างมาก มันยังมีบางอย่างที่ดูเหมือนว่าแม่ของเขาจะได้เรียนรู้มาจากอีกโลกหนึ่งด้วย
แต่ยังไงก็ตามยูอิลฮานก็ไม่สามารถจะกินอาหารได้อย่างสงบนักเพราะพ่อของเขาได้เริ่มพูดถึงโลกอื่น
"อิลฮานลูกถูกส่งไปที่ไหนหรอ? แม่ได้ไปที่โลกที่ชื่อว่ายาอูมินพร้อมๆกับคนแถวบ้านนะ"
"ที่นั่นมันไม่มีชื่อเรียกครับ"
เขาไม่สามารถจะทำให้พ่อแม่ของเขาเป็นห่วงได้ด้วยการบอกว่าเขาถูกทิ้งไว้ที่โลกคนเดียว โชคดีมากที่ว่ากล้ามเนื้อของเขาได้ลดขนาดลงในตอนที่กลายพันธ์จนดูจากภายนอกไม่ออกดังนั้นเขาจึงไม่ต้องห่วงว่าจะถูกพบได้แค่จากการมองจากภายนอก
"เฮเซียเป็นโลกที่สมบูรณ์แบบจริงๆถ้าหากว่าเราไม่สนในเรื่องของข้าว นอกจากนี้ก็ยังมีไอเรื่องจัดการกับมานานี่มันยากจริงๆ แต่ถึงแม้ว่าพ่อจะใช้มันได้พ่อก็คงไม่มีทางงที่จะเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ได้อยู่ดีแหละ"
พ่อของยูอิลฮาน ยูยงฮานได้บ่นขึ้นในขณะที่ช้อนตักข้าวขึ้นกินเป็นคำแรกในรอบสิบปัของเขา คิมเยซูก็ยังเห็นด้วยเช่นกัน
"ฉันก็คิดเหมือนคุณเลยค่ะ พวกเขาพาเด็กแรกเกิด คนแก่ และยังแม้แต่คนท้องไปทำให้พวกเขาต่างก็เคราะห์ร้ายกัน นี้มันน่าสงสารจริงๆที่ได้เห็นพวกเขาต้องทรมานกันมาเป็น 10 ปี มันจะดีกว่าถ้าหากว่าพวกเขาเอาไปแต่คนหนุ่มสาวที่ยังแข็งแรง"
"พวกเขาบอกว่ามันเป็นเพราะว่ามันจะขัดกับสมดุล แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามันเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดแต่ว่าพวกเขาก็ทำมันไม่ได้"
"ห๊ะ ลูกว่าอะไรนะ?"
ทางด้านยูอิลฮานที่เผลอพูดความจริงที่เขาได้ยินจากลิต้าออกมาทำให้สายตาของพ่อและแม่ของเขามองตรงมาที่เขาทันทีทำให้ยูอิลฮานรู้ตัวแล้วว่าเขาเผลอหลุดพูดไป
มันไม่ค่อยได้มีโอกาสให้เขาได้มีโอกาสได้โกหกมานักเลยในชีวิตนี้เพราะการที่เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวทำให้เขาแทบไม่ต้องโกหกใคร แต่ว่าในตอนนี้เขามีเรื่องจำนวนมากที่จะต้องซ่อนเอาไว้แล้ว ในตอนนี้เขาจำเป็นจะต้องแก้นิสัยติดตัวเรื่องการพูดในสิ่งที่คิดออกมา
"ปะ เปล่าครับ ผมก็แค่คิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะแบบนั้น"
"สมดุล? ได้ผลหรอ? เรื่องบ้าอะไรล่ะนั่น เมื่อพ่อคิดว่าพวกนั้นพาผู้คนจากบ้านไปตกตระกำลำบากกันเพราะแบบนี้พ่อได้แต่ขบฟันจริงๆ"
"แล้วตอนนี้ที่เราได้กลับมาแล้วคุณคงจะไม่ทำมันแล้วนะ ในทุกๆครั้งที่ฉันได้ยินคุณขบฟัน ฉันก็ได้แต่ขบฟันเพราะความรำคาญเลยค่ะ"
ในขณะที่เขากำลังคิดว่าจะเสนอการทำรากฟันเทียมให้พ่อกับแม่อยู่ เขาก็ได้กินข้าวเสร็จแล้ว แต่ว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาเขาก็รู้ตัวว่าสายตาของพ่อกับแม่กำลังมองมาที่เขา
"แล้วลูกเป็นยังไงบ้างล่ะ? ถ้าลูกใช้มานาได้ลูกก็ฆ่ามอนสเตอร์ได้ใช่ไหม? ตอนที่พ่อได้คุยกับคนอื่นๆ พวกเขาได้บอกว่าคนที่ฆ่ามอนสเตอร์ได้ก็จะได้รับเงินด้วยนะ"
"เรื่องนี้มันแน่นอนอยู่แล้วนิค่ะ มันมีไม่กี่คนหรอกนะที่จะมีพรสวรรค์แบบนั้นนะ ไม่ว่าจะเป็นมอนสเตอร์หรืออะไรที่น่ารังเกียจแบบนั้นพวกมันต่างก็อันตราย ดังนั้นหากมีคนที่ฆ่ามันได้ไม่ใช่ว่าเหมือนกับเป็นการป้องกันดูแลประเทศเลยหรอกหรอ?"
"คุณกำลังพูดอะไรนะ เงินพวกนั่นประเทศจะให้เรางั้นหรอ!? มันไม่ใช่แบบนั้นนะ ซากศพของพวกมอนสเตอร์มันมีค่ามากจะตาย"
เมื่อได้เห็นพ่อแม่ของเขาคุยกันในเรื่องที่เหนือจินตนาการที่เกิดได้แต่ในนิยายกันเป็นปกติ นี้มันทำให้ยูอิลฮานรู้สึกเหมือนกับถูกตอกย้ำการที่เขาถูกทอดทิ้งเข้าไปอีก
แม้ว่ามนุษยชาติจะกลับมาแล้ว แต่เขาก็ยังโดดเดี่ยว...
เขาโกรธแต่ว่าความจริงแล้วมันก็ไม่ได้ต่างไปจากชีวิตก่อนหน้านี้เลยนี่มันทำให้เขาไม่ได้เศร้าอะไร
แต่เขาก็ไม่ควรให้พ่อแม่ของเขาต้องคิดไปเลยเถิดขนาดนั้น เขาได้คิดแบบนี้และหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง
''ผมใช้มานาไม่ได้''
และเขาก็ได้สารภาพความจริงออกไป
"ไม่เป็นไร มาตั้งใจศึกษามันดีกว่าลูกแม่"
"พ่อรู้น่า ลูกไม่มีทางเอาชนะเรื่องยีนได้อยู่แล้วน่า"
พ่อแม่ของเขาได้ยอมรับมันง่ายเกินไปจนทำให้เขาต้องหดหู่แทน ยังไงก็ตามมันก็ไม่ได้ไร้เหตุผลอะไร ตัวเขาเป็นลูกชายที่อยู่แต่บ้านเล่นเกมหรือไม่ก็อ่านหนังสือทั้งวันแถมยังเกลียดการออกกำลังกายอีกด้วย
สำหรับพ่อแม่ของเขาแล้วมันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงตัวลูกชายชของเขาที่จู่ๆก็ใช้มานาได้และวิ่งออกไปในขณะที่พูดว่าเขาจะล่ามอนสเตอร์ พวกเขาแค่ถาม 'เผื่อ' ก็แค่เท่านั้นเองและคำตอบที่พวกเขาได้ก็เป็นไป 'ตามคาด'
"ก็แค่ต้องรอฟังคำประกาศจากรัฐบาลนี่ เห็นได้ชัดเลยว่ามันจะออกมาตอนเก้าโมงเช้า"
"ถ้างั้นพวกเขาก็ไม่น่าเชื่อถือแล้ว ถ้าเกิดว่ามอนสเตอร์ปรากฏขึ้นในแถบละแวกบ้านพวกเราล่ะ?ไม่ใช่ว่าพวกเราควรจะย้ายไปในที่ๆมีผู้ใช้พลังที่แข็งแกร่งอยู่หรอ?"
"มันไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าคุณก็ไม่ควรจะออกไปทำงานสักพักนะคะ"
"ผมจะทำแบบนั้นได้ยังไง!? ทางบริษัทได้เรียกตัวผมมากกว่าสิบครั้งแล้วนะ ฉันจะต้องไปแม้ว่าจะต้องตายระหว่างทางก็ตาม"
"เฮ้ คุณอย่างพูดเรื่องรางร้ายแบบนั้นสิ!"
พ่อแม่ของเขาต่างก็คุยกันอย่างมีความสุข มันเป็นเวลานานที่พวกเขาต้องแยกจากกันแต่ดูเหมือนว่าพวกเขากลับดูใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น พูดตามตรงเขายังคิดเผื่อในกรณีที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้วด้วยซ้ำ ยูอิลฮานได้แต่ขอบคุณที่มันเป็นแบบนี้
เขาได้เลิกดูทีวีที่ห้องนั่งเล่นและปลีกตัวกลับขึ้นไปบนห้องตัวเองในขณะที่คิดว่าเขาอาจมีน้องตัวน้อยเพิ่มขึ้นในปีหน้าด้วย เขาได้วางแผนที่จะหาเนื้อหาของข้อมูลของสถานการณ์ปัจจุบันนี้ในอินเตอร์เน็ต
ยังไงก็ตามตัวเขาก็ต้องแข็งทื่อเหมือนกับในตอนที่เขาตกใจในตอนได้เจอแม่ครั้งแรก
"...ทำไมมันถึงมาอยู่นี่?"
นี้เป็นการเล่นตลกของพระเจ้าหรือว่าเป็นเพราะพลังแห่งความปรารถนาแปลกๆของลิต้ากันนะฦ
หอกเหล็กกล้าผลงานชิ้นเอกของเขาได้ถูกหุ้มผลผ้าแห้งๆวางอยู่กลางห้อง
เมื่อเขาเห็นแบบนี้ยูอิลฮานได้ล็อคประตูห้องของเขาทันที หากแม่ของเขามาเห็นเขาจะต้องตกใจแน่ที่ในห้องของลูกชายเธอมีอาวุธแบบนี้อยู่ภายในห้อง
"ทำไมมันถึงยังอยู่กันนะ?"
การเปลื่ยนแปลงทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นเพราะเขามันน่าจะถูกย้อนกลับคืนไปในตอนที่โลกได้กลับมาในจุดแรกตอนที่เขาถูกทิ้งเอาไว้สิ แม้ว่าหอกที่เขาทำขึ้นด้วยความพยายามทั้งกายและใจมันก็ไม่น่าจะเป็นข้อยกเว้น
แต่ทำไมกันล่ะ? มันไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย พระเจ้าได้ให้โบนัสกับเขาเพราะว่าท่านรู้สึกเสียใจกับโบนัสสเตตัสงั้นหรอ? หรือว่าสถานที่ๆลิต้าต้องการให้ดาบอยู่ทำให้เกิดบางอย่างขึ้น?
ไม่ว่ายังไงก็ตามมันก็เป็นเรื่องดี เขาได้กำลังคิดจะสร้างหอกขึ้นมาใช้อยู่เลยดังนั้นเขาจึงรู้สึกโชคดีที่พระเจ้ายอมยกเจ้าสิ่งนี้ให้กับเขา
ก่อนอื่นเลยยูอิลฮานนได้ตั้งใจจะหยิบมันไปซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้า แต่ว่าในตอนนั้นเองข้อความสีเขียวก็ได้เริ่มปรากฏขึ้นมาเหมือนกับในตอนที่เขาเห็นสถานะ
[หอกเหล็กกล้าของยูอิลฮาน]
[ระดับ - ยูนีค]
[พลังโจมตี - 800]
[ความทนทาน - 500/500]
[ปาฏิหาริย์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยมือของมนุษย์ที่ใช้เพียงเทคนิคในการสร้างหอกล้วนๆโดยปราศจากมานา มันทั้งแข็งทนทานและแหลมคมเทียบได้กับกระดูกของมอนสเตอร์ระดับกลาง]
"แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงเนี้ยว่าไอพลังโจมตี 800 นี้มันสูงไม่สูง?"
แต่ว่าเมื่อมองดูคำอธิบายนี้เขาก็คิดว่ามันจะเป็นสิ่งที่ช่วยเขาได้อย่างมากจนกว่าจะได้วัสดุใหม่มาสร้างหอกอันใหม่ขึ้นดังนั้นเขาจึงเก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้า เขาได้ภาวนาให้มีช่องเก็บของไว้ด้วยในเมื่อมันมีทั้งสถานะกับมานาแต่ว่าเขาก็ต้องผิดหวัง
"ถ้างั้นฉันควรเริ่มจากจุดไหนดี"
มนุษยชาติได้กลับมาแล้ววและหายนะครั้งยิ่งใหญ่ก็ได้เกิดขึ้นแล้วตามที่เขารอมา ผู้คนที่กระจัดกระจายออกไปยังโลกอื่นๆนับไม่ถ้วนแต่ว่าตอนนี้พวกเขาได้กลับมาแล้ว พวกเขาในตอนนี้จะต้องร่วมมือกันปรับตัวกับการเปลื่ยนไปของความเป็นจริง คนจำนวนนับไม่ถ้วนจะแบ่งปันข้อมูลกันผ่านวิธีต่างๆนับไม่ถ้วน
ในบรรดาวิธีต่างๆนี้ยูอิลฮานได้เลือกอินเตอร์เน็ต นี้มันเป็นเพราะว่ามันคือสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดและเขาก็ย้งคุ้นเคยกับมันมากที่สุด
'ข้อความใหม่ๆนี่'
ยูอิลฮานได้นั่งลงไปหน้าแล็ปท็อปของเขาพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย หน้าเว็บที่ไม่ได้อัพเดตมานานแล้วได้ถูกเปลื่ยนแปลงใหม่ไปหมด ยูอิลฮานได้ยิ้มออกมาเมื่อเขาได้เห็นแบบนี้
เขาในตอนนี้รู้สึกดีใจเมื่อได้มีแรงกระตุ้นใหม่เล็กๆนี้ โคลัมบัสจะรู้สึกแบบนี้ในตอนที่เจอทวีปใหม่ไหมนะ? ตัวยูอิลฮานในตอนนี้ได้กลายเป็นกัปตันเรือที่แล่นไปในทะเล ทะเลที่เรียกกันว่าข้อมูล
เมื่อผ่านไปประมาณ 4 ชั่วโมงยูอิลฮานก็ได้ปิดแล็ปท็อปของเขาลงไป นี้เป็นเพราะว่าเขาได้ข้อมูลที่ต้องการมาเพียงพอแล้ว
เนื่องจากทุกๆคนต่างก็พูดคุยกันต่างออกไปทำให้เขาต้องลำบากในการแยกหาความจริงออกมาแต่ยูอิลฮานก็มีความสามารถในเชิงวิเคราะห์อยู่แล้วจากการที่ได้อ่านหนังสือมานับศตวรรษ
ในตอนนี้เขาได้ใช้ประกาศอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลเป็นพื้นฐานและตรวจสอบดูข้อมูลจากบทความต่างๆซึ่งมันเกินจริงไปอย่างมาก
'มีคนโกหกเยอะเกินไป'
ฉันได้ล่ามังกรในโลกอื่น ฉันได้ทำให้เจ้าหญิงกลายมาเป็นทาศกาม ฉันได้แก้ไขคำถามโบนัสที่อยู่หลังบัลลังก์ของจักวรรดิ์ทำให้ฉันได้รับไอเทมถาวรมา เรื่องเหลวไหลเหล่านี้มีทั่วไปหมด
คำอธิบายเรื่องเลเวลและมอนสเตอร์ก็ยังเกินจริงไปเช่นกันดังนั้นการเชื่อพวกนี้ให้เขาไปเชื่อว่าโคโบลไปฆ่าเผ่าปีศาจมันยังจะดีกว่า
'ถ้างั้นฉันก็ควรจะเลือกเป้าหมายที่สำคัญที่สุดก่อนสินะ?'
เขาได้เลือกจัดระเบียบข้อมูลเกี่ยวกับเลเวลก่อนเป็นสิ่งแรก
ตั้งแต่เลเวล 1 จนกระทั่งถึงเลเวล 5 คือพลเมืองธรรมดา มาตราฐานส่วนใหญ่ในการเลือกทหารในโลกอื่นๆคือ 7 และในตอนที่เลเวลมาถึง 10 ก็จะสามารถเลือกเป็นนักดาบ นักธนู หรือคลาสอื่นๆในอาชีพที่พวกเขาต้องการได้และยังได้กลายเป็นหัวหน้าของคน 10 คน
ในตอนที่กลายเป็นเลเวล 50 นี้ก็คือการเลื่อนขั้นของคลาส มันเป็นการเลื่อนขั้นครั้งที่ 2 ถ้าหากว่าคนๆหนึ่งไม่ได้ก้าวข้ามไปในอาชีพที่สองของคลาสก็จะไม่สามารถจะมีเลเวลเกิน 50 ได้ และถ้าหากเลื่อนขั้นไปถึงครั้งที่สองแล้วถ้างั้นแม้แต่ขุนนางก็ไม่มีสิทธิที่จะมาดูถูกเขา
การเลื่อนขั้นครั้งที่ 3 จะเป็นไปได้ในตอนที่เลเวลถึง 100 จากตอนนี้คนๆนั้นก็จะได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลระดับสูงระดับประเทศ การที่จะเลเวลอัพนับจากตอนนี้ไปจะกลายเป็นยากยิ่งนักและมีคนไม่มากนักที่จะพัฒนาต่อไปได้อีก
มันยังมีการเลื่อนขั้นครั้งที่ 4 อีกด้วย แต่ว่าอย่างน้อยที่สุดในอินเทอร์เน็ตนี้ก็ไม่เคยมีใครเห็นคนอยู่ในอาชีพที่ 4 เลย มันมีเพียงแต่การคาดเดาเกี่ยวกับมอนสเตอร์ระดับสูงอย่างเช่นมังกรที่อยู่ในคลาสขั้นสูงอย่าง 4, 5 หรือแม้แต่สูงยิ่งไปกว่านั้น นี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเลเวลทั้งหมด
ส่วนที่เหลือแล้วก็ไม่มีอะไรที่สำคัญมากนัก
อย่างแรกในวันพรุ่งนี้เขาก็ต้องไปมหาลัยตามปกติ นี้มันเป็นเพราะรัฐบาลร่วมกับกองทัพได้บอกว่าพวกเขาจะจัดมาตราการตอบโต้กับมอนสเตอณ์ขึ้นและเน้นไปกับการใช้ชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้ยังมีการประกาศเกี่ยวกับการสร้างกองกำลังพิเศษขึ้นจากผู้ใช้มานาขึ่้นหลังจากที่ได้สร้างสำนักงานต่อต้านมอนสเตอร์อีกด้วย แต่ว่าใครบ้างล่ะที่จะไปเชื่อประกาศที่ดูเพ้อฝันแบบนั้น
'ฉันควรจะป้องปกตัวเอง'
ที่เขาฝึกและทรมานมานานก็เพื่อแบบนี้ เขาไม่คิดที่จะไปโรงเรียนตามปกติและไหลไปตามสถานการณ์อย่างอดทนแน่นอน
ดังนั้นฉันจะต้องฝึกมานา
"ฟู่ว"
เมื่อเขาคิดได้ว่ามันไม่ได้มีความแตกต่างมากนักแม้ว่ามนุษยชาติจะกลับมาแล้วทำให้เขาถอนหายใจขึ้น ในเวลาเดียวกันเขาก็นึกไปถึงลิต้าที่สวยงามที่อยู่ข้างๆตัวเขาในตอนฝึกเสมอและอยากจะได้เจอเธออีกครั้ง
"ฉันอยากเจอลิต้าจัง"
[ถ้าเธอรู้เรื่องนี้ เธอก็คงจะยินดีมากๆแน่]
ในตอนนั้นเองจู่ๆก็มีเสียงได้ดังขึ้น เขาได้ตัวแข็งทื่อก่อนที่จะพลิกตัวกลับไป
บนหน้าต่างที่เปิดกว้างอยู่มีสิ่งมีชีวิตเล็กๆมีปีกยืนอยู่ตรงขอบหน้าต่าง ถ้าหากคนไม่ตั้งใจมองจริงๆก็คงจะมองไม่เห็นเพราะมันเล็กมากๆ นอกจากนี้ลักษณะภายนอกของสิ่งๆนี้ก็ยังคล้ายกับลิต้า
[ฉันถูกส่งมาที่นี่เพื่อช่วยคุณในการปรับตัวกับมานาและฉัน....]
"ผู้บุกรุกทรัพย์สินส่วนตัวงั้นสินะ?"
[นางฟ้าเอิลต้า]
ตอนนี้คือช่วงเวลาที่เขาได้พบกับผู้บุกรุกทรัพย์สินส่วนตัวคนที่สองที่น่าจะเป็น...นางฟ้า