EG บทที่ 148 ประเด็นหลักคือศิลปะ (อ่านฟรี)
กิจกรรมในวันแรกส่วนใหญ่คือการท่องเที่ยวและตั้งค่ายในป่า นักเรียนจากแต่ละประเทศต้องสื่อสารกันโดยใช้ภาษารัสเซีย แม้ว่าเฝิงหยู่จะมาถึงตอนช่วงบ่าย แต่ด้วยภาษารัสเซียที่คล่องปากเขารวมถึงความอยากรู้อยากเห็นของนักเรียนคนอื่นๆ เกี่ยวกับตัวเขา ทำให้เขากลายเป็นนักเรียนคนแรกจากโรงเรียนมัธยมปลายของเมืองปิงที่เข้ากับนักเรียนคนอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ช่วงบ่าย นักเรียนทุกคนนั่งบนพื้นหญ้าและเล่นเกมเพื่อสร้างความสัมพันธ์และความคุ้นเคยซึ่งกันและกัน ครูจากโรงเรียนมัธยมปลายของเมืองปิงกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด ทำไมค่ายฤดูร้อนนี้ไม่เหมือนกับที่พวกเขาคิดคาดการณ์เอาไว้เลย?
รองอาจารย์ใหญ่ซุนคิดว่าค่ายนี้จะต้องมีหัวข้อหลัก ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับวรรณกรรม คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี หรืออื่นๆ หรือนักเรียนทุกคนอาจจะคิดค้นประดิษฐ์อะไรสักอย่าง หนึ่งในนักเรียนที่เขาเลือกมาเข้าค่ายนี้มีความสามารถพิเศษในการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ขนาดเล็ก
ครูสามคนจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย พวกเขาจะได้ไปเยี่ยมชมห้องวิจัยและห้องปฏิบัติการได้เมื่อไหร่กัน? เพราะนั่นคือวัตถุประสงค์ที่พวกเขามาเข้าร่วมค่ายนี้ พวกเขาไม่ได้อยากจะมาเล่นเกมเด็กๆ พวกนี้กับนักเรียน
พวกเขาเข้าไปหารองอาจารย์ใหญ่ซุนและบอกให้เขาไปถามหน่อยว่าเมื่อไหร่กิจกรรมทัศนศึกษาและเข้าค่ายจะจบลง นี่มันช่างเสียเวลาสิ้นดี
รองอาจารย์ใหญ่ซุนก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี แม้ว่าเขาเป็นผู้นำ แต่ครูสามคนนี้ก็มีตำแหน่งสูงกว่าและมีอิทธิพลมากกว่าเขา เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนหุ่นเชิดที่มีเพียงแต่ชื่อว่าเป็นผู้นำเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วเหมือนพี่เลี้ยงมากกว่า
อีกด้านหนึ่ง พวกนักเรียนจากประเทศหนึ่งกำลังเต้นรำอย่างมีความสุขและทุกคนก็ปรบมือตามจังหวะ รองอาจารย์ใหญ่ซุนเดินไปหาผู้จัดงาน
ไม่นานเขาก็เดินกลับมาพร้อมด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล ครูทั้งสามคนรีบถามทันทีว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะได้ไปเยี่ยมชมห้องวิจัย
“ครูครับ เราได้ไปเยี่ยมชมห้องวิจัยแน่นอนครับ แต่คงจะไม่ใช่ในช่วงสองสามวันนี้ ระยะเวลาของค่ายนี้คือ 2 สัปดาห์ และมีการวางแผนไว้แล้วว่าการเยี่ยมชมครั้งแรกจะจัดขึ้นในอีกสามวันถัดไป ดังนั้นกิจกรรมหลักในช่วงสองสามวันนี้ก็คือความสนุกสนาน”
“อะไรนะ? จะสนุกอะไรหนักหนา นี่มันค่ายนานาชาติ แล้วจะมามัวสนุกสนานอะไรกัน? ประเด็นหลักของค่ายนี้คืออะไร? ไม่ใช่เทคโนโลยีหรอ?” ครูคนหนึ่งถามในขณะที่มองจ้องไปยังรองอาจารย์ใหญ่ซุน มหาวิทยาลัยมอสโกมีชื่อเสียงในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แล้วประเด็นหลักของค่ายนี้จะเป็นเรื่องอื่นไปได้อย่างไร?
รองอาจารย์ใหญ่ซุนตอบ “ประเด็นหลักของค่ายนี้คือศิลปะครับ”
ห้ะ
ครูทั้งสามคนถึงกับอึ้ง
เมื่อตอนที่รองอาจารย์ใหญ่ซุนรู้เรื่องนี้ เขาก็แทบรับไม่ได้เหมือนกัน ทำไมเรื่องนี้ถึงไม่ได้ระบุไว้ในจดหมายเชิญ? มหาวิทยาลัยมอสโกไม่ได้มีชื่อเสียงในด้านศิลปะสักหน่อย
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าค่ายนี้คือค่ายฤดูร้อนศิลปะ ก็ควรจะมีระบุไว้ในจดหมายเชิญ พวกเขาจะได้เลือกเด็กนักเรียนตามเกณฑ์ดังกล่าว เพราะเด็กนักเรียนที่มาเข้าร่วมค่ายนี้ไม่มีใครมีความสามารถในด้านศิลปะเลยสักคน
จบกัน แย่ละ ครั้งนี้เขาไม่ได้เครดิตและความสำเร็จแน่ๆ เมื่อพวกเขามาถึงที่นี่ เฝิงหยู่ก็หายตัวไป แถมตำรวตก็เข้ามาเกี่ยวข้องอีก โชคดีที่เฝิงหยู่กลับมาและปัญหาก็แก้ไขเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็เป็นที่สนใจของทีมอื่นๆ เขารู้สึกอยู่ตลอดว่าเขาเป็นคนนำพาความอับอายมาสู่ประเทศ
พอเรื่องที่เฝิงหยู่หายตัวไปค่อยๆ ซาลง เขาก็กลับมารับรู้ว่าประเด็นหลักของค่ายนี้คือศิลปะ พอมองไปที่เด็กนักเรียนจากประเทศต่างๆ พวกเขาก็กำลังร้องเพลง เต้นรำ หรือวาดภาพกันอยู่
เขามองไปที่นักเรียนจากโรงเรียนมัธยมปลายของเมืองปิง พวกเด็กๆ กำลังเดินไปรอบๆ พร้อมกับกล้องถ่ายรูปที่แขวนคล้องคอไว้ อย่าบอกนะว่าเด็กที่เหลือในทีมล้วนเป็นช่างภาพกันหมด ตอนนี้คงไม่มีเวลามานั่งล้างรูปหรอก
ผู้จัดงานยังบอกกับเขาว่าตอนนี้แต่ละทีมกำลังผลัดกันทำการแสดง และก็ใกล้จะถึงตาของโรงเรียนมัธยมปลายของเมืองปิงแล้ว เขาจะเลือกใครมาแสดง?
รองอาจารย์ใหญ่ซุนมองไปที่กลุ่มนักเรียนของตัวเองและเห็นเฝิงหยู่ โรงเรียนมัธยมปลายของเมืองปิงได้รับเชิญมาร่วมค่ายนี้ก็เพราะเขาเลย เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าค่ายนี้คือค่ายศิลปะ เขาไม่ได้เข้าร่วมการอบรมก่อนเข้าค่าย เขาอาจจะแอบเตรียมการแสดงที่บ้านและอยากจะเซอร์ไพรส์ทุกคนก็ได้
ใช่แล้ว ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ เฝิงหยู่ยังช่วยเหวินตงจวินหาข้อแก้ตัวในการลาไม่เข้าร่วมการอบรมเลย เฝิงหยู่จะต้องเป็นคนกำหนดว่าโรงเรียนมัธยมปลายของเมืองปิงกลายเป็นความน่าอับอายของค่ายนี้หรือไม่!
เฝิงหยู่ยังคงเพลิดเพลินกับการแสดงเต้นอยู่ และเขารู้สึกว่ามีคนมาแตะที่ไหล่เขา เขาหันไปและเห็นรองอาจารย์ใหญ่ซุนยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“อาจารย์ใหญ่ซุน ตามหาผมหรอครับ?”
รองอาจารย์ใหญ่ซุนยิ้มหวานใส่และพูดว่า “เฝิงหยู่ ทำไมในจดหมายเชิญถึงไม่ได้ระบุไว้ละว่านี่เป็นค่ายศิลปะ? แต่ช่างมันเถอะ พวกเราที่เหลือก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่นายน่าจะรู้เรื่องนี้มานานแล้วใช่มั้ย? เพราะแบบนี้นายกับเหวินตงจวินเลยไม่มาเข้าร่วมการอบรมก่อนเข้าค่าย และได้เตรียมการแสดงอยู่ที่บ้านใช่มั้ย?
สีหน้าของรองอาจารย์ใหญ่ซุนมีความอยากรู้มาก เฝิงหยู่ค่อยๆ ตอบว่า “อาจารย์ใหญ่ซุน อาจารย์จะเชื่อผมมั้ยว่าถ้าผมบอกว่าผมก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน”
รองอาจารย์ใหญ่ซุนจ้องหน้าเฝิงหยู่ “ว่าไงนะ? นายไม่รู้เรื่องนี้งั้นหรอ? ครอบครัวนายเป็นคนจัดค่ายฤดูร้อนนี้ให้นายไม่ใช่หรอ? นี่จึงเป็นเหตุผลที่โรงเรียนเราได้รับเชิญ อย่ามาปฏิเสธเลยดีกว่า และไปเตรียมการแสดงให้พร้อมได้แล้ว ผมไม่สนว่านายจะออกไปเต้น รองเพลง วาดภาพ หรือวาดพู่กัน แต่นายต้องออกไปแสดงอะไรสักอย่างและอย่าทำให้โรงเรียนเสียหน้า เมื่อทุกอย่างจบลง ผมจะมอบรางวัลนักเรียนดีเด่นจากโรงเรียนของเราให้นายเอง”
เฝิงหยู่ถึงกับอึ้ง เขาไม่รู้เรื่องประเด็นหลักของค่ายนี้จริงๆ เขาอยากจะบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อมาหาประสบการณ์เท่านั้น พี่จีนี่ไว้ใจไม่ได้เลยจริงๆ แม้ว่าจะมีจดหมายเชิญ แต่ก็ควรระบุประเด็นหลักและรายละเอียดของค่ายอย่างชัดเจน แล้วค่ายนี้เกี่ยวกับศิลปะอะไร? เพราะศิลปะของจีนและยุโรปตะวันออกไม่มีอะไรคล้ายกันเลยสักนิดเดียว
ทันใดนั้น เฝิงหยู่ห็เห็นนักเรียนคนหนึ่งถือกีตาร์มา เขามองไปรอบๆ ตัวเขาและบรรยากาศก็ทำให้เขานึกถึงเพลงหนึ่งขึ้นมา ซึ่งเป็นเพลงที่แปลมาจากเพลงพื้นเมืองของโซเวียต เพลงนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศยูเครน และเมื่อก่อนเป็นที่นิยมมากในอินเตอร์เนต เฝิงหยู่เคยเรียนวิธีการเล่นเพลงนี้ด้วยกีตาร์ด้วย
ผ่านไปสักพักก็ถึงตาของโรงเรียนมัธยมปลายของเมืองปิง ทุกคนมองหน้ากันและกำลังรอให้มีคนอาสาออกมาทำการแสดง
เฝิงหยู่ลุกขึ้นและเดินตรงไปที่นักเรียนจากประเทศยูเครน “สวัสดี วันนี้เรามาสายและลืมเอากีตาร์มา เราขอยืมของนายหน่อยได้มั้ย?
นักเรียนจากประเทศยูเครนยินดีส่งกีตาร์ให้เฝิงหยู่ เฝิงหยู่ลองเสียงกีตาร์และนั่งขัดสมาธิอยาตรงกลาง เขาไม่ได้เล่นกีตาร์มานานสักพักแล้วเลยรู้สึกเก้ๆ กังๆ เฝิงหยู่หวังว่าเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดระหว่างการแสดง
“ผมจะเล่นเพลงที่ผมแต่งเองนะครับ ชื่อว่า”ต้นเบิร์ช“ซึ่งเป็นเพลงที่ดัดแปลงมาจากเพลงท้องถิ่นของยูเครน และเป็นเพลงเกี่ยวกับหญิงสาวสวยคนหนึ่งที่กำลังรอการกลับมาของคนรักของเธอที่ไปรบในสงครามอยู่ที่ต้นเบิร์ช แต่แล้วคนรักของเธอก็เสียชีวิตอยู่ในสงคราม”
“หิมะขาวโบกปลิวไปทั่วหมู่บ้านที่เงียบสงบ
นกพิราบบินอยู่บนท้องฟ้าที่มืดมัว
ชื่อของคนสองคนถูกสลักอยู่บนต้นเบิร์ช
คู่รักร้องขอความรักอันเป็นนิรันดร์
วันหนึ่งเกิดสงครามในบ้านเมืองเรา
ชายหนุ่มรีบไปสนามรบพร้อมปืนในมือ
บอกคนรักของเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง
รอการกลับมาของเขาในป่าต้นเบิร์ช
ท้องฟ้ายังคงมืดมัว
นกพิราบยังคงบินอยู่
ใครจะจดจำชีวิตและความรักของคนที่นอนอยู่ในสุสานที่ไร้ชื่อ?
หิมะยังคงตกลงในหมู่บ้านที่เงียบสงบตลอดกาล
วัยรุ่นหายตัวไปในป่าต้นเบิร์ชนั้น
ข่าวแจ้งมาตอนบ่ายว่า
คนรักได้จากไปในสนามรบที่ห่างไกลแล้ว
เธอไปที่ป่าต้นเบิร์ชอย่างเงียบๆ
รอคอยคนรักของเธอที่นั่นด้วยสายตามีความหวัง….”
เมื่อเฝิงหยู่ร้องเพลงจบ ก็มีเสียงปรบมือดังขึ้น เพลงนี้ถูกดัดแปลงมาจากเพลงท้องถิ่น และเขาก็ร้องเป็นภาษารัสเซีย ผู้เข้าร่วมทุกคนที่ค่ายเข้าใจความหมายและรู้สึกประทับใจกับเนื้อเพลง มีนักเรียนคนหนึ่งถึงกับขอให้เฝิงหยู่เขียนเนื้อเพลงและโน้ตเพลงนี้ให้หน่อย ครูอีกคนก็บอกว่าเฝิงหยู่น่าจะไปอัดเพลงนี้ขาย
รองอาจารย์ใหญ่ซุนกำลังปรบมืออย่างพึงพอใจ สถานการณ์วิกฤตสุดท้ายก็สิ้นสุดลง เขามองเฝิงหยู่ราวกับบอกว่า “ผมรู้นะว่าคุณเตรียมการแสดงนี้มาก่อน”
ติดตามตอนล่าสุดได้ที่ เพจ Kingdom นิยายแปล