บทที่ 170 หนานหมิงจื่อ
จั่วม่อไม่ได้แตกตื่นลนลาน มันเพียงหรี่ตามองไปยังลำแสงกระบี่ที่บินตรงเข้ามาหาพวกมัน
มีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้มันยังเยือกเย็นอยู่ได้ ด้วยสถานะปัจจุบันของสำนักกระบี่สุญตาในอาณาจักรนภาจันทร์ ไม่มีผู้ใดโง่เขลาพอที่จะกล้าเป็นปฏิปักษ์กับพวกมัน แตกต่างจากสำนักใหญ่อื่นๆ ที่มีพฤติกรรมหนักแน่นมั่นคง สำนักกระบี่สุญตามีพลานุภาพโจมตีร้ายกาจบ้าคลั่ง สะท้านทั่วอาณาจักรนภาจันทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชื่อเสียงของกระบี่มังกรน้ำแข็งซินหยาน ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเทียมได้
จั่วม่อนำธงผืนเล็กออกมาจากแหวน ชูขึ้นสูง ธงผืนเล็กๆ เริ่มขยายใหญ่ ด้ามธงยืดพรวดสูงกว่าสามจั้ง ความหนาเท่าไข่ห่าน ดำสนิทตลอดด้าม คล้ายหลอมสร้างจากเหล็กกล้า บนผืนธงสีดำจารึกตัวอักษรสีแดง ‘สุญตา’ คำนี้ดูเหมือนจะแผ่ซ่านพลังอำนาจอันไร้ขอบเขตออกมา ฝีแปรงที่เขียนอักษรคล้ายเจตจำนงกระบี่อันแรงกล้า แฝงพลังสภาวะที่ราวกับจะโบยบินออกจากธงได้ทุกเมื่อ
เมื่อเหล่าศิษย์น้องเห็นธงดำผืนนี้ พวกมันล้วนสีหน้าแตกตื่นยินดี ทอดถอนชมเชยในความรักใคร่เอ็นดูที่ท่านเจ้าสำนักมีต่อศิษย์พี่จั่วม่อ แต่ละสำนักมีสัญลักษณ์พิเศษเฉพาะของตนเพื่อใช้ยืนยันตัวตนของพวกมัน ธงดำผืนนี้ย่อมเป็นสัญลักษณ์ของสำนักกระบี่สุญตา นอกเหนือจากบทบาทในเชิงสัญลักษณ์แล้ว มันยังคงเป็นยุทธภัณฑ์เวท ทั้งยังเป็นสินค้าที่ยอดคนด่านจินตันหลายคนร่วมกันหลอมสร้างขึ้น มีอำนาจวิเศษมากมาย ทรงพลานุภาพน่าอัศจรรย์
ธงสุญตาผืนนี้ เป็นสิ่งที่สือฟ่งหรงรบเร้าแกมบังคับ ขอมาจากเจ้าสำนักเผยเหยียนหรานเป็นการเฉพาะ เพื่อให้จั่วม่อมีไว้ป้องกันตัว
เมื่อแสงกระบี่บรรลุถึง พวกมันเห็นซิวเจ่ออายุราวสี่สิบปีผู้หนึ่ง ใบหน้าขาวสะอาดไร้หนวดเครา สวมชุดนักพรตสีเขียว ผู้มายืนอยู่บนกระบี่บิน มันเหลือบมองแวบแรกก็พบเห็นธงสุญตา อดสีหน้าแปรเปลี่ยนไปวูบหนึ่งไม่ได้ นามของสำนักกระบี่สุญตาเวลานี้โด่งดังเกินไป
มันผู้นี้มีนามว่าหนานหมิงจื่อ พอมาถึงก็โผพุ่งลงจากกระบี่ จากนั้นกระบี่บินลอยเข้าไปในฝักกระบี่ที่คาดไว้บนแผ่นหลัง
“นักพรตต่ำต้อยหนานหมิงจื่อ คารวะสหายจากสำนักกระบี่สุญตา ทุกท่านสบาย!”
“สหายสบาย” จั่วม่อประสานมือคำนับตอบ
ความระแวดระวังในใจจั่วม่อไม่ได้ลดน้อยลงเลย หนานหมิงจื่อผู้นี้อยู่ในด่านหนิงม่ายขั้นกลาง สูงล้ำกว่าเหล่าศิษย์ทั้งหมดที่นี่ หมู่เกาะแมกไม้รกร้างอยู่บนชายแดนของแม่น้ำอาณาจักร หากหนานหมิงจื่อบังเกิดจิตคิดร้าย สังหารพวกมันทั้งหมดแย่งชิงสมบัติ จากนั้นหลบหนีผ่านแม่น้ำอาณาจักรเข้าสู่อาณาจักรขุนเขาน้อย ต่อให้สำนักคิดแก้แค้น ก็มิใช่ว่าจะเสาะหามันได้ง่ายดาย
หนานหมิงจื่อเพ่งมองธงสุญตา ในดวงตาทอประกายละโมบ ยุทธภัณฑ์เวทที่ปรมาจารย์ด่านจินตันหลายคนร่วมกันหลอมสร้าง ย่อมเป็นของชั้นยอดชิ้นหนึ่ง! อย่างไรก็ตาม มันรีบสะกดกลั้นความโลภลงไปในใจ สัญลักษณ์ของสำนักแม้เป็นสุดยอดยุทธภัณฑ์เวท แต่ก็เป็นเผือกเผาร้อนลวกมืออีกด้วย
ครั้นเมื่อสังเกตเห็นระดับพลังบำเพ็ญเพียรของคนเหล่านี้ มันก็คลายใจลงมากในทันที
หนานหมิงจื่อเพ่งมองจั่วม่อ ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงยามนี้ คนผู้นี้เป็นผู้ต้อนรับมัน สันนิษฐานว่าเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ แต่แล้วจู่ๆ สายตามันก็ชะงักกึก “สหายเต๋าคุ้นหน้าคุ้นตายิ่ง โปรดบ่งบอกนามอันสูงส่ง!”
“ข้าจั่วม่อ” จั่วม่อตอบเรียบๆ มันสังเกตเห็นร่องรอยความละโมบที่สาดวาบเข้ามาในดวงตาของอีกฝ่าย สายตาเช่นนี้ มันคุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไรแล้ว
“จั่วม่อ?” หนานหมิงจื่อขมวดคิ้ว ก้มหน้าครุ่นคิด ใบหน้านี้ นามนี้ มันคล้ายคุ้นหูคุ้นตาทั้งคู่ แล้วพลันเงยหน้าขึ้นมองอย่างกะทันหัน “จั่วม่อเจ้าของรูปแบบค่ายกลยันต์เวท?”
“เพียงฝีมือเล็กๆ น้อยๆ ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงแล้ว” จั่วม่อยิ้มอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก
หนานหมิงจื่อหัวใจเย็นวาบ นับจากงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ก็เป็นเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น นามของจั่วม่อยังคงไม่ถูกลืมเลือน มันต้องกลับมาเริ่มประเมินใหม่อีกรอบ เจ้าคนหน้าตายตรงหน้ามันนี้เคยสยบชนชั้นหนิงม่ายมาแล้ว
แล้วยังรูปแบบค่ายกลยันต์เวทอันน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงนั่น...
หนานหมิงจื่อกวาดตามองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณ
เห็นคูคลองอันแปลกประหลาด เส้นต่อเส้นตัดไขว้เป็นทาง กองหินที่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งขุดขึ้นมา...
หัวใจมันเต้นระส่ำขึ้นมาทันที เป็นไปไม่ได้...รูปแบบค่ายกลยันต์เวท...
ใบหน้าไร้ความรู้สึกของจั่วม่อ ทันใดนั้นคล้ายเปลี่ยนเป็นลึกล้ำดุจห้วงสมุทร สายตาเย็นเยียบไร้ความอบอุ่น เช่นเดียวกับนายพรานจ้องมองเหยื่อของมันที่กำลังจะเข้าสู่กับดัก หนานหมิงจื่อพลันนึกยินดีจากใจที่ไม่ได้หุนหันพลันแล่น เจ้าผีดิบตรงหน้ามันผู้นี้ สามารถฆ่าคนได้โดยไม่เห็นร่องรอย!
งานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ต้องหยุดชะงักลงกลางคัน มีคำเล่าลือมากมายหลายเรื่อง แต่ไม่ว่าจะลือกันไปอย่างไร ล้วนใช้หลุมใหญ่มหึมาอันน่าขนพองสยองเกล้าหลุมนั้นเป็นรากฐาน
หนานหมิงจื่ออายุอานามนับว่าไม่น้อย ระยะเวลาบำเพ็ญเพียรยาวนานหลายสิบปี ระดับพลังบำเพ็ญเพียรของมันเหนือล้ำกว่าผู้คนเช่นกู่หรงผิงเสียอีก แต่มันมาจากสำนักเล็กๆ ด้านกระบวนท่าเคล็ดลับสรรพวิชาความรู้ มันต้องยอมรับว่าไม่อาจยกขึ้นเทียบกับเหล่ายอดยุทธ์รุ่นเยาว์ที่เข้าร่วมการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่
หนานหมิงจื่อบนแผ่นหลังหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
“ฮ่าฮ่า นักพรตต่ำต้อยผู้นี้ตั้งใจจะข้ามผ่านแม่น้ำอาณาจักรในบริเวณนี้ ไม่ทราบสามารถให้ข้าหยิบยืมสถานที่พักผ่อนสักสองสามวันได้หรือไม่?” หนานหมิงจื่อรีบกล่าวออกตัว “หากมีที่ใดล่วงเกิน โปรดอภัยให้กับความวู่วามของข้าด้วย!”
ปากกล่าววาจา มือก็ยื่นออกมาอย่างรวดเร็ว ส่งมอบห้าชิ้นจิงสือระดับสามอย่างไม่รีรอ
จั่วม่อไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะรู้ความถึงเพียงนี้ มันรับจิงสือ สีหน้าแข็งทื่อเช่นเคย กล่าวว่า “สหายเกรงอกเกรงใจเกินไปแล้ว! เราเพิ่งจะรับมอบหมู่เกาะแมกไม้รกร้างจากสำนักกระบี่หัวใจทะเลสาบได้ไม่นาน ยังไม่ทันมีเวลาจะสร้างที่พำนักเพิ่มเติม สถานที่ทรุดโทรมไปบ้าง ไม่อาจต้อนรับได้เต็มที่ ขอสหายอย่าได้รังเกียจ”
สำนักกระบี่หัวใจทะเลสาบ...
หนานหมิงจื่อหน้าผากมีหยาดเหงื่อเม็ดโป้งไหลลงมา หากสำนักกระบี่สุญตาสามารถเรียกได้ว่าเศรษฐีใหม่ที่เพิ่งพุ่งทะยานขึ้น เช่นนั้นสำนักกระบี่หัวใจทะเลสาบก็เป็นคหบดีเก่าที่มีรากฐานอันลึกล้ำสุดหยั่ง!
เนื่องจากเรื่องนี้พัวพันถึงสองสำนักใหญ่ หนานหมิงจื่อยิ่งไม่กล้าผลีผลาม มันมีต้นกำเนิดจากสำนักเล็กๆ ทราบกระจ่างว่าพลังอำนาจของสำนักใหญ่เป็นเช่นไร หากมีเพียงสำนักกระบี่สุญตาสำนักเดียว มันอาจปลุกปลอบความกล้าทดลองเสี่ยงโชคดู แต่ในเมื่อเกี่ยวพันถึงสำนักกระบี่หัวใจทะเลสาบด้วย มันไม่ได้มีขวัญกล้าถึงปานนั้น
เหล่าศิษย์น้องจ้องมองจั่วม่อด้วยสายตานับถือเทิดทูน อีกฝ่ายเป็นถึงซิวเจ่อด่านหนิงม่ายเชียวนะ!
หนานหมิงจื่อผ่านการเหาะเหินเดินทางมาอย่างยาวนาน เหน็ดเหนื่อยยิ่ง รีบเสาะหาสถานที่นั่งเข้าฌานเพื่อฟื้นฟูความแข็งแรงของร่างกาย ฟื้นคืนพลังปราณ ศิษย์สำนักกระบี่สุญตาพบว่า ในช่วงสองสามวันให้หลัง ศิษย์พี่เดินท่องไปทั่วเกาะ บางครั้งก็จัดวางวัตถุดิบแปลกประหลาดหลายชนิดใส่ลงไปในพื้นดิน หรือไม่ก็ร่ายเวทวิชาบางอย่างที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจ
ทว่าค่ายกลที่ทุกผู้คนคาดหวัง ไม่ได้มีเค้าว่าจะเสร็จสมบูรณ์แต่อย่างใด
ศิษย์น้องที่ขลาดเขลาบางคนในใจร้อนรนมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าหนานหมิงจื่อจนถึงขณะนี้จะแสดงท่าทีสุภาพเป็นมิตร แต่พวกมันก็ยังกังวล อีกฝ่ายพลังฝีมือเข้มแข็งกว่าพวกมันมาก หลังจากฟื้นฟูจากการโหมเดินทางไกล พลังอำนาจของทั้งสองฝ่ายจะยิ่งห่างชั้นกันมากกว่าเดิม
ขบวนค่ายกลยักษ์ของศิษย์พี่จั่วยังคงก่อตั้งไม่แล้วเสร็จ
ล่วงเข้าวันที่สาม จั่วม่อผนึกมุทราร่ายเวทวิชาหลากชนิดใส่พื้นดินดังเช่นปกติ มันคล้ายไม่รีบไม่ร้อน ดูผ่อนคลายไม่อินังขังขอบใดๆ
ท่ามกลางท่วงท่าคล้ายเข้าฌาน หนานหมิงจื่อหรี่ตาแคบเท่าคมมีด ลอบมองไปยังจั่วม่ออย่างระมัดระวัง ช่วงสามวันที่ผ่านมา มันเฝ้าจับตามองจั่วม่ออยู่ตลอดเวลา มันไม่พบระลอกคลื่นพลังของค่ายกลภายในเกาะ มองไปยังคูคลองที่ตัดไขว้ไปมา เห็นมีทางเชื่อมติดต่อกับมหาสมุทรไร้ขอบเขต สายน้ำไหลผ่านเข้าออกอย่างเป็นธรรมชาติ จากเค้าลางต่างๆ ที่มันสังเกตเห็น ดูเหมือนว่าค่ายกลใหญ่ของจั่วม่อจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์
เป็นมันตั้งใจปกปิดหรือค่ายกลยังก่อตั้งไม่แล้วเสร็จจริงๆ?
หนานหมิงจื่อไม่แน่ใจ ดังนั้นตัดสินใจเฝ้ารออีกสักระยะ บนเกาะไม่มีใครอื่น มีเพียงกลุ่มจู้จีเหล่านี้เท่านั้น ง่ายมากที่จะกวาดล้างเจ้าหนูน้อยเหล่านี้ โดยทั่วไปชนชั้นจู้จีมักไม่ค่อยมีทรัพย์สินหรือความมั่งคั่ง แต่ธงดำในมือจั่วม่อเป็นที่ปรารถนาของมันมาก สองสามวันที่ผ่านมา จั่วม่อยังใช้วัตถุดิบมากมายไปกับการก่อตั้งค่ายกล กระทั่งหนานหมิงจื่อยังเจ็บปวดใจแทน
สามวันมานี้ ธงสุญตาผืนนั้นติดตรึงอยู่ในใจหนานหมิงจื่อไม่อาจลบเลือน ขณะที่ฟื้นฟูสู่สภาพสูงสุดของมัน หนานหมิงจื่อในใจเริ่มสั่นไหวเป็นระลอก นึกถึงว่ามันถูกชนชั้นจู้จีข่มขู่จนครั่นคร้ามมาตลอดสองสามวัน มันรู้สึกใบหน้าร้อนวาบ อับอายขายหน้าไม่น้อย นอกจากค่ายกล จั่วม่อไม่อาจเป็นภัยคุกคามต่อมันแม้แต่น้อย
ด้วยพลังฝีมือของมัน ชนชั้นจู้จีกลุ่มนี้ย่อมไม่มีปัญญาต้านรับโดยสิ้นเชิง หากค่ายกลยังก่อตั้งไม่แล้วเสร็จ มันก็เชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าสามารถสังหารจั่วม่อได้ในเวลาอันกระชั้นสั้น และเมื่อเรื่องราวไปถึงขั้นนั้นจริงๆ มันย่อมไม่คิดจะปล่อยให้ศิษย์สำนักกระบี่สุญตาคนใดรอดชีวิตไปได้อยู่แล้ว หลังจากนั้นมันจะหลบหนีไปยังอาณาจักรขุนเขาน้อย ไปจนถึงอาณาจักรวารีฟ้า ถึงตอนนั้นไม่ว่าสำนักกระบี่สุญตากับสำนักกระบี่หัวใจทะเลสาบจะร้ายกาจปานใด ยังจะติดตามหามันพบได้อีกหรือ?
หนานหมิงจื่อดวงตาวาบประกายอันมืดมนเย็นชา
ขณะที่หนานหมิงจื่อบังเกิดความคิดฆ่าฟัน จั่วม่อก็สัมผัสได้ทันที รีบเร่งรุดไปยังที่แห่งหนึ่ง หนานหมิงจื่อร้อยคิดพันคำนวณ ยังคิดไม่ถึงว่าพลังจิตสำนึกของจั่วม่อจะแข็งแกร่งจนล่วงรู้ทุกการกระทำของมันโดยกระจ่าง ล่วงรู้ว่าสามวันมานี้ส่วนใหญ่มันเพียงเสแสร้งนั่งเข้าฌาน จั่วม่อยังล่วงรู้ว่าหนานหมิงจื่อไม่มีเจตนาดีตั้งแต่แรก แต่เพื่อที่จะช่วงชิงโอกาส สองสามวันมานี้ จั่วม่อเองก็แสดงท่าทีสงบเยือกเย็นมาโดยตลอด
เป็นไปตามคาด ช่วงเวลาอันยากลำบากได้มาถึง! โลกกำลังจะเข้าสู่กลียุคอันยุ่งเหยิง!
จั่วม่อทอดถอนใจ ฝีเท้าของมันเร่งเร็วขึ้นอีก ในเมื่อโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความโกลาหล วิธีเดียวที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ มีเพียงพลังอำนาจที่แข็งแกร่งเพียงพอเท่านั้น
มันเร่งรุดไปตามเส้นทางอันคุ้นเคย กลับไปยังทะเลสาบหินหนืดใต้ดิน หลายวันมานี้ ค่ายกลเพลิงสี่หวนในทะเลสาบหินหนืดดำเนินกระบวนการกลั่นเกลาห่วงทองแดงอยู่ตลอดเวลา
จั่วม่อโบกมือ ห่วงทองแดงส่งเสียงกระหึ่ม บินเข้าสู่มือของมัน ห่วงทองแดงสีเหลืองปนแดงเวลานี้เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานดุจเปลวเพลิง ดูเหมือนจะแผ่ซ่านกลิ่นอายประหลาดลี้ลับ คล้ายแฝงมนต์มารชนิดหนึ่ง พลังปราณไฟในสถานที่นี้แข็งแกร่งยิ่ง เพียงผ่านการกลั่นเกลาสามวันสามคืน ห่วงทองแดงก็ยกระดับขึ้นหนึ่งขั้น กลายเป็นระดับสี่
จั่วม่อดวงตาทอแววพึงพอใจ
ออกมาจากทะเลสาบหินหนืด จั่วม่อไม่ซ่อนเร้นตัวตนของมันอีก เหินลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้า
คนอื่นๆ พบเห็นจั่วม่อในทันที
เหล่าศิษย์สำนักสุญตาล้วนมีสีหน้าตื่นเต้น เจตนาสังหารบนใบหน้าของหนานหมิงจื่อไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป ในที่สุดมันก็พร้อมจะลงมือ มันได้ข้อสรุปว่าค่ายกลใหญ่บนเกาะยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์!
บัดซบ! ที่แท้มันถูกใบหน้าผีดิบตายด้านนี้หลอกลวงไปรอบหนึ่ง! หนานหมิงจื่อดวงตาเผยแววละโมบและบ้าคลั่งออกมา เมื่อถือกำเนิดจากสำนักเล็กๆ แม้ว่าจะดิ้นรนจนมาถึงด่านหนิงม่าย แต่มันยังไม่เคยมียุทธภัณฑ์เวทที่เหมาะมือเลยสักชิ้น
ธงสุญตาผืนนั้นนับว่าคู่ควรเป็นอย่างยิ่ง!
มันแม้ไม่มีความรู้ด้านค่ายกล แต่มีประสบการณ์ช่ำชอง เห็นจั่วม่อทำท่าราวกับจะเริ่มขับเคลื่อนค่ายกลขบวนใหญ่ นี่ย่อมเป็นโอกาสอันดีงามที่สุด ตอนนี้ยังไม่ลงมือจะรอถึงเมื่อใด?
กระบี่บินของมันหลุดออกจากฝักอย่างเงียบเชียบ ทันใดนั้นเปลี่ยนเป็นลำแสงอันดุดัน พุ่งทะลวงเข้าหาจั่วม่อที่กลางอากาศ
หนานหมิงจื่อหมายสังหารในกระบี่เดียว กระบี่นี้จึงไม่ออมรั้งยั้งมือแม้แต่น้อย ลำแสงกระบี่ราวกับอสรพิษอันดุร้ายอำมหิต อ้าปากแยกเขี้ยว ตระเตรียมเอาชีวิตผู้คน เจตจำนงกระบี่โหดเหี้ยมชั่วร้าย รุนแรงจนรู้สึกได้แม้แต่ในระยะห่างไกล
เหล่าศิษย์น้องสีหน้าแปรเปลี่ยน ทุกผู้คนรีบนำกระบี่บินของพวกมันออกมา หมายลงมือโจมตีหนานหมิงจื่อบ้าง
หนานหมิงจื่อแสยะยิ้มเย็นชา ร่างสั่นพร่าคราหนึ่ง จากนั้นทั้งบนพื้นทั้งบนท้องฟ้าล้วนมีเงาร่างของมันปรากฏขึ้นพร้อมกัน
จั่วม่อคล้ายไม่รู้สึกถึงกระบี่บินที่พุ่งจู่โจมเข้ามา พลิกฝ่ามือคราหนึ่ง ห่วงทองแดงสีเพลิงค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไป
ติง!
ห่วงทองแดงสีแดงเพลิงหมุนควงช้าๆ ไต่สูงขึ้นไปเป็นลำดับ ขณะลอยขึ้นไป ก็เปล่งเสียงสั่นสะเทือนประดุจระฆังใบใหญ่ ดังสดใสกังวานไปทั่ว
ติง ติง ติง ติง!
ราวกับเสียงระฆังเหลือคณานับพลันกระหึ่มขึ้นพร้อมกัน ตอบรับเสียงเพรียกหาของห่วงทองแดงสีเพลิง หมู่เกาะแมกไม้รกร้างจู่ๆ ก็เต็มไปด้วยเสียงระฆังสะท้อนสะท้านไม่มีที่สิ้นสุด
ลำแสงกระบี่พุ่งผ่านไปได้ครึ่งทางกลางอากาศ จู่ๆ คล้ายเผชิญกับแรงต้านทานอันแกร่งกร้าว กระบี่ทั้งเล่มสั่นระริก ความเร็วลดวูบอย่างกะทันหัน หนานหมิงจื่อหน้าเผือดสี ขบกรามแน่น เร่งเร้าพลังปราณในร่างส่งไปยังกระบี่บิน กระบี่เปล่งแสงเจิดจ้าอย่างเฉียบพลัน รูปลักษณ์ดุจอสรพิษของมันยิ่งคล้ายเหมือนของจริงยิ่งกว่าเดิม
ฟ่อ ฟ่อ!
กระบี่กรีดเสียงแหลมเล็กแหวกฝ่าอากาศ เจตจำนงกระบี่ยิ่งดุดันอำมหิตมากขึ้น
เผชิญหน้าพลังสภาวะกระบี่อันร้ายกาจถึงเพียงนี้ จั่วม่อไม่แม้แต่จะกะพริบตา สมาธิจิตใจของมันจดจ่ออยู่กับห่วงทองแดงสีเพลิงที่หมุนควงขึ้นไปอย่างเชื่องช้า
ในเวลานี้เอง ห่วงทองแดงสีเพลิงลอยอยู่เหนือศีรษะจั่วม่อ คล้ายจอมราชันทอดตามองโลกหล้าที่สยบอยู่ใต้ฝ่าเท้า วัตถุดิบทั้งมวลที่จั่วม่อใส่ลงไปในพื้นดิน ราวกับถูกดึงดูดด้วยพลังแม่เหล็กล่องหน ลอยขึ้นมาช้าๆ ติดตามห่วงทองแดงสีเพลิงขึ้นสู่ท้องฟ้า
บนฟากฟ้าเหนือแนวหินปะการังแมกไม้รกร้าง วัตถุดิบมากมายลอยแออัดอยู่กลางอากาศ ปิดฟ้าบังตะวันจนมืดมิด!