ตอนที่ 22 ปัญหาจากภายในตระกูล
หลิวอู๋ตงเคยเชื่อว่านางจะสามารถทะลวงไปยังระดับก่อเกิดธาตุเมื่อตอนนางอายุสิบเก้าหรือยี่สิบปี
ซึ่งนี่ก็นับว่าเร็วแล้ว ทั่วทั้งประวัติศาสตร์ของแคว้นพิรุณ มีคนจำนวนน้อยมากจนถึงน้อยที่สุดที่สามารถเทียบเท่านางได้ แต่ตอนนี้นางมีโอกาสที่จะทะลวงไประดับก่อเกิดธาตุได้ในช่วงอายุสิบแปดปี!
ถึงแม้จะเป็นความแตกต่างเพียงแค่สองปี แต่ตอนนี้นางอายุเท่าไหร่แล้ว? การที่ผู้ฝึกตนในช่วงอายุเดียวกันกับนางสามารถย่นระยะเวลาในการทะลวงระดับต่อไปให้ไวขึ้นได้ถึงหนึ่งหรือสองเดือนก็ถือว่าน่าตะลึงมากแล้ว แต่นางกลับสามารถย่นระยะให้ไวขึ้นได้ถึงสองปี!
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหลิงฮัน
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนำความเร็วในการก้าวหน้าของตนไปเทียบกับของหลิงฮันแล้ว มันช่างไร้ค่าโดยสิ้นเชิง
จากหลอมกายาขั้นสองไปยังหลอมกายาขั้นสี่เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งคืน จากหลอมกายาขั้นสี่ไปยังขั้นห้าเขาใช้เวลาไปอีกหนึ่งคืน และจากขั้นที่ห้าไปขั้นที่หกเขาบอกว่าจะใช้เวลาสองคืน
เมื่อคนอื่นพูดถึงเวลาที่ใช้บ่มเพาะ พวกเขาจะบอกกันว่าใช้เวลาหนึ่งเดือนหรือกระทั่งใช้เวลาเป็นปี แต่สำหรับหลิงฮัน ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาใช้เวลาไม่กี่วัน เขาเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง
หลิงฮันหัวเราะ “ความเร็วในการบ่มเพาะระดับนี้ไม่ได้นับว่ารวดเร็วขนาดนั้น ยังมีสัตว์อสูรบางประเภทที่อยู่ในระดับรวมธาตุตั้งแต่เกิด หรืออาจจะอยู่ระดับก่อเกิดธาตุเลยก็มี สิ่งมีชีวิตเหล่านี้คือตัวตนที่ได้รับคำอวยพรจากสวรรค์”
“มีสัตว์อสูรแบบนั้นอยู่จริงรึ?” ดวงตาอันงดงามของหลิวอู๋ตงเปิดกว้าง มีสัตว์อสูรที่เพียงแค่เกิดมาก็แข็งแกร่งกว่าตัวนางในตอนนี้อยู่จริงๆรึ?
“แน่นอน!” หลิงฮันพยักหน้า และพูดต่อ “ข้าเคยเห็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่เขียนเอาไว้ว่ามีสัตว์อสูรที่สูญพันพันธุ์ไปแล้วบางประเภทมีพลังอยู่ในระดับสวรรค์ตั้งแต่เกิด พวกมันเกิดมาเพื่อเป็นราชา”
หลิวอู๋ตงไม่เชื่อและถามกลับไป “ในเมื่อพวกมันอยู่ในระดับสวรรค์ตั้งแต่เกิด ทำไมถึงได้สูญพันธุ์ล่ะ?”
“โลกเป็นก็มีกฎเกณฑ์ของมัน ใครจะสามารถต่อต้านกาลเวลาได้?” หลิงฮันส่ายหัว
ในชีวิตที่แล้วนั้นเป็นเพราะเขาไม่ต้องการจะตายและเน่าสลายไป จึงก้าวเดินไปยังเส้นทางที่อันตรายอย่างเด็ดเดี่ยว ค้นหาหนทางที่จะทะลวงไปยังระดับทลายมิติ
“ยังมีความลี้ลับอีกมากมายบนโลกนี้ที่สามารถลบตัวตนเช่นระดับสวรรค์ให้หายไปได้อย่างง่ายดาย”
ในชีวิตที่แล้วเมื่อเขายังเป็นตัวตนอันแข็งแกร่งในระดับสวรรค์ มีสถานที่อยู่มากมายที่แม้แต่เขาก็ยังไม่กล้าเสี่ยงเข้าไป ในที่สถานที่เหล่านั้นสามารถทำให้เขาล่วงจากหล่นจากฟากฟ้าได้ทุกๆก้าว
***
หลังจากบ่มเพาะอย่างหนักมาสองวัน หลิงฮันได้ใช้ความพยายามมากขึ้นไปอีกในการเก็บสั่งสมปราณต้นกำเนิดของระดับหลอมกายาขั้นห้าให้มั่นคงสมบูรณ์ และได้บรรลุไปยังหลอมกายาขั้นหกอย่างง่ายดาย
เนื่องจากที่เขาเคยเดินในเส้นทางที่เหมือนกันมาก่อนแล้วในชีวิตที่แล้ว การทำความเข้าใจในวิถีการบ่มเพาะจึงไม่ใช่ปัญหาที่เขาจะต้องนำมันมาคิดเลยแม้แต่น้อย
“อย่างไรก็ตาม จากหลอมกายาขั้นหกไปยังขั้นเจ็ดค่อนข้างจะเป็นการก้าวกระโดดเล็กน้อย สามวันจึงไม่พอเขาต้องการเวลาสี่วันหรืออาจจะห้าวัน” หลิงฮันถอนหายใจ เขาทำได้เพียงต้องพยายามบ่มเพาะอย่างหนักต่อไปอีกสี่ถึงห้าวัน
ข้างๆเขา หลิวอู๋ตงที่ได้ยินหลิงฮันบ่นอย่างไม่ออกใจออกมา รู้สึกราวกับจะกลายเป็นบ้าไปในทันที
‘เจ้าสัตว์ประหลาด!’
หนึ่งวันหลังจากนั้น หลิงฮันได้เลื่อนไปยังหลอมกายาขั้นหกระดับต้น
ในวันที่สองเลื่อนไปยังระดับกลาง วันที่สามเลื่อนไประดับปลาย และวันที่สี่เขาได้เลื่อนไปถึงหลอมกายาขั้นหกระดับสูงสุด
หลิงฮันไม่ปล่อยให้มันเลยไปถึงห้าวัน เขาเริ่มทำการทะลวงในทันที จากนั้นไม่เกินหนึ่งชั่วโมงต่อมาเขาได้ก้าวขึ้นไปยังหลอมกายาขั้นเจ็ด
อายุสิบหกมีพลังบ่มเพาะอยู่ที่หลอมกายาขั้นเจ็ด... ในแคว้นพิรุณผู้ฝึกตนแบบนี้ถือว่า “พอใช้ได้” ยิ่งกว่านั้นหากมีคนบอกว่าหลิงฮันเคยอยู่ในหลอมกายาขั้นสองและใช้เวลาแปดวันในการทะลวงมาถึงขั้นเจ็ด คงจะไม่มีใครเชื่อเป็นแน่
เพราะขนาดหลิวอู๋ตงที่คอยเฝ้าดูอยู่ตลอดยังอยู่ในอาการเหม่อลอย ขณะที่นางเดินการเคลื่อนของนางราวกับกำลังลอยอยู่บนอากาศ
นางอยู่ในสภาวะตกตะลึงอย่างถึงทีสุด
“ในที่สุดข้าก็ออกไปข้างนอกได้เสียที” หลิงฮันยืดตัวบิดขี้เกียจ ตอนนี้เขาอยู่ในร่างของเด็กหนุ่ม ความของเขาจึงกลายเป็นแบบนั้นเช่นกัน หลังที่ต้องอยู่ในห้องมากว่าเจ็ดวัน เขารู้สึกราวกับเป็นเสื้อร้ายที่ถูกกักขัง
“ไปหาท่านพ่อกัน ตอนนี้ตระกูลเชิงน่าจะเคลื่อนไหวแล้ว” เขาพึมพำเบาๆ
ค่อนข้างจะเป็นเรื่องบังเอิญเล็กน้อย ปกติหลิงตงซิงจะมีงานยุ่งมากจนหลายวันมานี้ไม่สามารถพบเจอตัวได้แต่วันนี้มันกลับนั่งอยู่ในห้องทำงาน คิ้วของมันขมวดจนเกิดรอยเหี่ยวย่นดูเหมือนอารมณ์ของมันแย่เป็นอย่างมาก
“ท่านพ่อ ข้าเดาว่าตระกูลเชิงคงเริ่มลงมือแล้วสินะ?” หลิงฮันถามออกไปตรงๆ
หลิงตงซิงไม่แหงนหน้าขึ้นมามองเขา มันทำเพียงพยักหน้าและเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาษต่อไป
“สถานการณ์ย่ำแย่ขนาดนั้นเชียว?” หลิงฮันถาม
หลิงตงซิงถอนหายใจก่อนที่จะวางปากกาลง “มันแย่เป็นอย่างมาก! ตระกูลหลิงของเรามีร้านค้า ที่ดิน และทรัพย์สินจำนวนมาก แต่มีเพียงสองอย่างเท่านั้นที่สามารถสร้างกำไรให้ตระกูลได้ อย่างแรกคือเหมืองแร่และอีกอย่างคือร้านค้าโอสถ”
หลิงฮันรู้อยู่แล้วว่าตระกูลหลิงครอบครองเหมือนแร่ทองแดง กรรมสิทธิ์ของเหมืองแร่นี้ตกมาอยู่ในมือของตระกูลหลิงเมื่อสามสิบปีก่อน ตระกูลหลิงได้สูญเสียนักรบที่แข็งแกร่งไปเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะได้รับเหมืองแร่นี้มา
ส่วนร้านค้าโอสถนั้นรับซื้อเม็ดยาระดับต่ำมาจากตำหนักโอสถสวรรค์และนำมาขายต่ออีกทีด้วยราคาที่สูงกว่าเดิม จุดอ่อนของร้านค้าโอสถคือมันต้องพึ่งพาตำหนักโอสถสวรรค์ เนื่องจากตำหนักโอสถสวรรค์ต้องการจะรักษาความสัมพันธ์กับกลุ่มที่มีอำนาจในพื้นที่ ตระกูลใหญ่ทั้งสองของเมืองจึงสามารถรับยามาขายได้
“ห้าวันก่อน เหมืองของเราถูกโจมตีโดนกลุ่มคนแปลกหน้าทำให้มีบางคนได้เสียชีวิตลงไป ตอนนี้ทุกคนอยู่ในความวิตกกังวล ต่อให้เราเพิ่มค่าจ้างไปก็มีคนไม่มากที่ต้องการจะทำงานที่เหมืองให้เรา”
หลิงตงซิงพูดต่อ “ยิ่งกว่านั้น นักปรุงยาหม่าจากตำหนักโอสถสวรรค์จู่ๆก็สร้างความลำบากให้กับพวกเรา เขาบอกว่าชุดเม็ดยาที่ส่งมาจากสำนักงานใหญ่ในคราวนี้เกิดความล่าช้าในการขนส่งเพราะเหตุผลบางอย่างจึงทำให้การจัดส่งให้พวกเราทำได้ช้า ตอนนี้เม็ดยาที่เราเก็บไว้ในคลังก็ใกล้จะขายหมดแล้ว ถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไปร้านค้าโอสถคงต้องปิดชั่วคราว”
เมื่อร้านค้าโอสถปิด ชื่อเสียงของร้านคงได้รับผลกระทบแน่นอน ต่อให้ในอนาคตเปิดขายอีกครั้ง เราก็คงต้องเสียลูกค้าบางคนไป
“ในสองวันที่ผ่าน รายได้ของเราก็แย่ลงมานิดนึงแล้ว พวกเราต้องหาทางทำอะไรสักอย่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” หลิงตงซิงถอนหายใจ
“มันเป็นการกระทำของตระกูลเชิง!” หลิงฮันพูดด้วยความมั่นใจออกมาทันที
หลิงตงซิงพยักหน้า การที่ธุรกิจที่สำคัญทั้งสองต้องพบเจอเรื่องลำบากพร้อมกัน ในโลกนี้คงจะไม่มีเรื่องบังเอิญแบบนั้นแน่นอน มันเคาะนิ้วลงบนโต๊ะหนึ่งทีและพูด “ต้องมีคนทรยศ”
แววตาของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “หลิงจงควั่น?”
“ถูกต้อง!” มันไม่คิดจะปกปิดอะไรกับบุตรของมัน
“เมื่อตอนที่มีเรื่องเกิดขึ้นกับเหมืองแร่ ข้าได้เพิ่มจำนวนคนในการตรวจตาในทันทีแต่ก็ยังไม่อาจค้นหาศัตรูเจอได้ ถ้าหากข้อมูลเส้นทางในการเดินตรวจตาไม่รั่วไหลออกไปล่วงหน้า มันจะเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”
ดูเหมือนว่าเมื่อหลิงจงควั่นได้รู้ข่าวที่เชิงเซียงและน้องชายของมันถูกทุบตีโดยหลิงฮัน มันก็ได้ไปพบกับเชิงเหวิงควินอย่างลับๆและทำข้อตกลงกัน โดยที่ตระกูลเชิงจะช่วยเหลือมันในการขโมยตำแหน่งผู้นำตรงกูลหลิง ถึงแม้ตัวมันจะรู้ดีว่าการทำแบบนั้นเป็นความอัปยศขนาดไหน แต่มันก็ต้องยอมตกลงเพื่อแลกกับการช่วยเหลือของตระกูลเชิง
หลิงตงซิงพูดต่อ “ข้าได้นัดหมายกับนักปรุงยาหม่าแห่งตำหนักโอสถสวรรค์ให้มาร่วมอาหารค่ำแล้ว ข้าจะต้องมอบผลประโยชน์บางอย่างแกเขา ไม่เช่นนั้นตระกูลคงตกอยู่ในปัญหาใหญ่แน่”
นักปรุงยาหม่า... หม่าตาจวิน?
หลิงฮันแสดงสีหน้าแปลกๆออกมาและพูด “ท่านพ่อ ข้าจะไปกับท่านด้วย”
“หน้าที่ของเจ้าคือมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการบ่มเพาะ ถ้าหากเจ้าไม่บรรลุระดับหลอมกายาขั้นเจ็ด... พรวด!” ในที่สุดหลิงตงซิงก็แหงนหน้าขึ้นมามองหลิงฮัน และเมื่อมองไปก็เกิดอาการสำลักจนหายใจไม่ออก
เมื่อหลิวอู๋ตงที่เห็นปฏิกิริยาของหลิงตงซิง นางรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก นางคงไม่ใช่คนเดียวที่ต้องตกตะลึงเพราะความเร็วในการบ่มเพาะของหลิงฮันหรอกใช่ไหม?
**ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ**