บทที่ 85: เรื่องราวที่ผ่านมา [อ่านฟรีวันที่ 03 พฤษภาคม 2562]
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ก่อนใครได้ที่แฟนเพจ
====================
บทที่ 85: เรื่องราวที่ผ่านมา
เมื่อสิ้นประโยคของเขา จางฉิงอวี้ตะลึงไปชั่วขณะจากนั้นเขาตะโกนออกมา “ท่านอาจารย์ลุง ท่านไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะมีชีวิตอีกยาวนานเพียงใด?”
“ข้าสามารถทำได้!” เมื่อกล่าวจบ เขารวบรวมพลังของตนเองพร้อมกับระเบิดออกมา “ออกไป!”
หลังจากที่เขาตะโกน พายุหมุนเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรงภายในลาน ทำให้จางฉิงอวี้ผู้ฝึกตนระดับจินตันผู้ที่มีเหล่าผู้คนคอยเคารพนับถือ ถูกพัดออกไปด้านนอกอย่างน่าสังเวช พร้อมกับใบหน้าที่ตื่นตระหนกที่เขาแสดงออกมา เขาคล้ายกับผีเสื้อที่พยายามต่อสู้กับพายุคลั่ง แต่ก็มิอาจต้านทานพลังของจ้าวสำนักได้
ในขณะที่เขากำลังจะกระเด็นออกไปจากลาน เท้าของเขาถูกคว้าไว้โดยผู้พิทักษ์ในสำนักพร้อมกับถูกลากออกไปหลังภูเขา ไม่ว่าเขาจะอ้อนวอนหรือร่ำร้องเพียงใด เหล่าผู้พิทักษ์เหล่านั้นมิได้สนใจอีกทั้งยังลากเขาไปราวกับสุนัขที่ตายแล้ว
เมื่อเห็นว่าผู้ฝึกตนระดับจินตันถูกตำหนิโดยจ้าวสำนัก ไม่เพียงแต่เจ้าอ้วนที่หายใจติดขัด แม้แต่หงหยิงที่อยู่ใกล้ ๆ ก็แสดงใบหน้าของความตกใจ เห็นได้อย่างชัดเจนว่านางไม่เคยเห็นบิดาโกรธจัดเช่นนี้มาก่อน
ในที่สุดเสียงร่ำไห้ของจางฉิงอวี้ก็หายไปอย่างสมบูรณ์ จ้าวสำนักค่อยมีใบหน้าที่ผ่อนคลายลง จากนั้นเขากล่าวออกมาอย่างเย็นชา “บิดาผู้นี้เพียงปิดประตูเก็บตัวฝึกฝนนานยี่สิบปีเท่านั้น แต่ลูกหลานที่โง่เขลากลับมีความกล้าหาญที่จะวางมือของตนเองบนที่นั่งของข้า ถ้าหากข้าไม่ก้าวออกมาและจัดการปัญหาเหล่านี้ บุคคลภายนอกจะมองว่าข้านั้นอ่อนแอเพียงใด! เหอะ!”
“เอาเถอะ ลืมเรื่องนี้ไป ถือว่าเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู เท่านี้อาจจะเพียงพอที่จะระบายความคับข้องใจที่มี ไม่ต้องสนใจสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว!” ภรรยาจ้าวสำนักใช้โอกาสนี้พูดให้เขาผ่อนคลายอย่างรวดเร็ว
“ฮึ่ม… ข้าเข้าใจแล้ว!” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันทีเมื่อตอบกลับภรรยา ในเวลาเดียวกันเปลวไฟแห่งความโกรธภายในใจของเขาได้หมดลงไปเช่นกัน จากนั้นเขาหันไปหาเจ้าอ้วน พร้อมกับกล่าวออกไปว่า “เด็กอ้วน ข้าได้สะสางความคับแค้นในใจของเจ้าแล้ว หวังว่าเจ้าคงจะไม่ตำหนิข้าในอนาคตหรอกนะ?”
“ขอรับ ข้าจะไม่มีวันนึกถึงมันอีก!” เจ้าอ้วนกำลังจะตกอยู่ในอันตรายจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เขาจะกล่าวสิ่งใดเพิ่มเติมได้อย่างไร?
เมื่อมองไปที่เขา จ้าวสำนักยักคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจที่เจ้าอ้วนขี้ขลาดเช่นนี้ ในขณะเดียวกัน ภรรยาจ้าวสำนักยิ้มอย่างรู้ทันเขา พร้อมกล่าวว่า “เด็กน้อย เจ้าสงสัยในตัวของพวกเราหรือไม่? นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้ายังกลัวจางฉิงอวี้และกลุ่มเพื่อนพ้องของเขาจะกลับมาแก้แค้นเจ้า?”
“เรื่องนั้น…” เจ้าอ้วนคิดเล็กน้อยพร้อมกับใช้สัมผัสพิเศษเพื่อตรวจสอบความรู้สึก ทำให้เขาไม่สามารถพูดสิ่งใดต่อได้
“เด็กโง่!” ภรรยาจ้าวสำนักยิ้มให้เขา “ในอนาคตนับจากนี้ขอให้มั่นใจ จะมีเราและสามีของเราคอยดูแลเจ้าอยู่เบื้องหลัง ไม่มีผู้ใดคิดกล้าทำร้ายเจ้าอีกต่อไป!”
“ขอบคุณขอรับนายหญิง!” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่รู้สึกผิดอะไร เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมถามออกไปว่า “นายหญิง ข้ายังคงสับสนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความสัมพันธ์ของพวกท่านกับครอบครัวข้าเป็นเช่นไร? แม้ว่าบิดามารดาของข้าจะยังมีชีวิตอยู่ พวกเขากลับไม่เคยเล่าเรื่องของพวกท่านให้ข้าฟังเลย!”
“อ๋า! ทั้งสองเป็นเด็กน้อยผู้โง่เขลา และชอบแสดงตนว่าแข็งแกร่งเสมอ!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นจึงเริ่มอธิบาย “แท้จริงแล้ว ข้าคอยมองดูบิดาของเจ้าค่อย ๆ เติบโตขึ้น และข้าเป็นผู้ที่สอนทักษะส่วนใหญ่ให้เขา แม้ว่าเราจะไม่ใช่อาจารย์และลูกศิษย์ในนาม แต่ในความจริงความสัมพันธ์ของเราเปรียบเสมือนพ่อและลูก!”
“หือ!?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาถึงกับแสดงความประหลาดใจอย่างฉับพลัน เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่ามีความสัมพันธ์เช่นนี้อยู่ด้วย!
ภรรยาจ้าวสำนักเห็นท่าทีของเจ้าอ้วนที่แสดงออกมาอย่างฉับพลัน นางยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับหวนรำลึกถึงวันที่ผ่านมา
เมื่อนึกถึงวันเก่า ความจริงแล้วซ่งซือหมิงบิดาของเจ้าอ้วนนั้นเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง เขาถูกทิ้งอยู่ในเสื้อคลุมที่ห่อร่างกายไว้ ความบังเอิญทำให้จ้าวสำนักเดินไปพบเขา จ้าวสำนักพยายามหาครอบครัวที่จะยอมรับเขาด้วยความเต็มใจ เพื่อจะช่วยเด็กเคราะห์ร้ายผู้นี้ แต่เขาไม่เคยพาทารกนี้ออกไปเลย เพราะว่าซ่งซือหมิงมีพรสวรรค์ธาตุอัคคี ซึ่งเป็นที่น่าประทับใจอย่างมากในสำนักเสวียนเทียน นอกจากนี้เส้นลมปราณของเขายังน่าทึ่ง พื้นฐานร่างกายของเขาเหมาะแก่การฝึกดาบอย่างมาก ดังนั้นสำหรับจ้าวสำนักที่เป็นผู้ฝึกตนธาตุไฟเช่นกัน ซ่งซือหมิงจึงเป็นลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์ของเขา
เหนือสิ่งอื่นใด การจะได้อาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาคอยดูแลนั้นยากที่อ้อนวอน แต่ลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์ก็หาได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีพรสวรรค์ในการต่อสู้ด้วยดาบเช่นจ้าวสำนัก หนึ่งคือในร่างกายต้องมีธาตุอัคคีเป็นหลัก อีกทั้งเส้นลมปราณจะต้องแข็งแกร่ง มิเช่นนั้นลูกศิษย์ผู้นั้นจะฝึกฝนได้เพียงแต่เวทมนตร์ประเภทอัคคี จะไม่สามารถฝึกดาบได้
เพียงแค่ความเชื่อแรกเท่านั้น ก็มาถึงจุดที่ผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยินต้องคิดให้รอบคอบ ในช่วงเวลาสิบปี อัจฉริยะนับร้อยเข้าสู่การเป็นศิษย์ใน และมีเพียงสิบคนเท่านั้นที่มีธาตุไฟ สำหรับผู้ที่มีเส้นลมปราณที่ดีสามารถฝึกฝนดาบได้ ถือว่าเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่งในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้ เพื่อมองหาหนึ่งในสิบที่เป็นอัจฉริยะในธาตุอัคคีและสามารถฝึกฝนดาบได้ มันเป็นจินตนาการที่ยากเกินกว่าจะค้นหาพบ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จ้าวสำนักหาผู้สืบทอดได้ยากยิ่ง และในตอนนั้นซ่งซือหมิงถือกำเนิดขึ้นมาพอดีกับความต้องการของเขา ลองจินตนาการดูว่าจ้าวสำนักจะมีความสุขถึงเพียงใด! จะมีเหตุผลใดอีกที่เขาจะไม่รับเด็กคนนี้ไว้ในนามของเขา?
เมื่อเป็นเช่นนั้น ซ่งซือหมิงได้รับการรับรองภายใต้ชื่อจ้าวสำนัก และถูกเลี้ยงดูมาโดยภรรยาของเขา เขามีรากฐานที่มั่นคงตั้งแต่ที่ยังเป็นเด็ก เพียงสิบปีต่อมา เขาเข้าสู่ระดับปฐมภูมิอย่างประสบความสำเร็จ จากนั้นเขาก็แยกตัวออกไป
ช่วงเวลาสิบปีนี้พวกเขาชื่นชมราวกับเป็นบุตรหลานของตนจริง และหากไม่มีเรื่องที่อายุยังน้อยเกินไป และสถานะของสองสามีภรรยาก็สูงส่งเกินไป หากพวกเขารับซ่งซือหมิงเป็นศิษย์อาจทำให้เกิดเสียงคับข้องวิพากษ์วิจารณ์ได้ ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิอายุนับร้อยปีทุกคนล้วนเรียกหาเขาเป็นอาจารย์ลุง คนเหล่านั้นไม่คิดลังเลที่จะอยู่ภายใต้การชักนำของเขา อย่างไรแล้ว พวกเขาได้วางแผนว่าเมื่อใดที่ซ่งซือหมิงเข้าสู่ระดับจินตัน พวกเขาจะทำพิธีรับเข้าเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทั้งคู่ไม่คิดฝันมาก่อน โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเขาตัดสินใจเข้าเก็บตัวปิดประตูฝึกตน สำนักเสวียนเทียนถึงกับเปลี่ยนไปมากเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ซ่งซือหมิงและภรรยาได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย อีกทั้งบุตรของพวกเขายังต้องพบเจอชะตากรรมเช่นเดียวกัน เรื่องราวเหล่านี้ทำให้เกิดไฟในใจของจ้าวสำนัก เขาจึงส่งผู้ฝึกตนระดับจินตันไปสู่นรก สำหรับตำแหน่งจินตันที่น่านับถือ จ้าวสำนักยังคงคิดถึงสองครั้งสองคราวก่อนที่จะลงโทษเขารุนแรงเช่นนี้
เมื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เจ้าอ้วนก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดจ้าวสำนักและภรรยาจึงมองว่าเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและจริงใจของอีกฝ่าย ในตอนนี้เขาปล่อยให้หัวใจล่องลอยไปกับสายลมในทุ่งหญ้า เรื่องราวทั้งหมดไขข้อข้องใจกับให้เขาจนหมดสิ้น และมองคนเหล่านี้เป็นดั่งญาติผู้ใหญ่ของเขา
เมื่อจ้าวสำนักเห็นว่าเจ้าอ้วนได้ผ่อนคลายลงและเปิดใจให้กับพวกเขา เขายิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ และเริ่มพูดคุยเกี่ยวแผนการในอนาคตของสำนัก
เมื่อฟังเหตุการณ์ทั้งหมดเจ้าอ้วนก็เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดจางฉิงอวี้จึงพยายามกำจัดครอบครัวเขา เพราะว่าบิดาของเขาจะได้เป็นผู้สืบทอดพลังของจ้าวสำนัก อีกทั้งจ้าวสำนักยังคอยสนับสนุนเขาในทุกด้านนั่นคือสาเหตุที่เขาเกลียดชังซ่งซือหมิง
เมื่อพูดคุยกันอย่างเปิดอก สำนักเสวียนเทียนมีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งสิ้นสี่คน นอกจากจ้าวสำนักและภรรยาแล้ว ยังมีอีกหนึ่งชายหนึ่งหญิง ชายคนดังกล่าวนามว่า ฮัวอวิ๋น หญิงสาวนั้นมีนามว่าเทพธิดาเหมยฮวา ฮัวอวิ๋นนับเป็นนักบวชเต๋าอารมณ์ร้อนแรงไม่ต่างจากจ้าวสำนักที่ซึ่งเป็นมังกรผู้ดุดัน ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งสองนั้นมีลูกศิษย์ลูกหาที่นับเป็นลูกหลานมากมายในนาม ตำแหน่งของพวกเขาในสำนักเสวียนเทียนล้วนสูงส่งกว่าผู้อาวุโสแห่งสำนัก แม้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝั่งจะไม่ได้เย็นชืดอะไรนัก แต่ก็ไม่อาจนับว่าเป็นมิตรต่อกันได้ และจางฉิงอวี้ที่โดนขับไล่ออกไปเมื่อครู่ เขาเป็นหนึ่งในแปดศิษย์ใหญ่ของฝั่งลัทธิฮัวอวิ๋น