ตอนที่ 20 หลอมเม็ดยา
“ถ้าเจ้าไม่ร้องขอความเมตตา งั้นก็นอนอยู่ที่นี่ต่อไปซะเถอะ อย่างไรแค่นอนเฉยๆก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรอยู่แล้ว!” หลิงฮันพูดอย่างสงบนิ่ง
เขาเป็นคนประเภทที่จะตอบแทนบุญคุณคนอื่นเป็นสิบเท่า แต่ก็เป็นคนประเภทที่หากถูกคุกคามก็จะโต้ตอบกลับเป็นสิบเท่าเช่นกัน
ในเมื่อเชิงเซียงกับน้องของมันอยากจะรังแกเขา งั้นเขาก็จะเหยียบย่ำพวกมันให้กลายเป็นตัวตลกซะ
นอนอยู่เฉยๆไม่เหนื่อย?
จริงอยู่ที่นอนเฉยๆมันไม่ได้เหนื่อยอะไร แต่ถ้ามีเท้าเหยียบอยู่บนหน้าปัญหาก็ไม่ใช่ว่าเหนื่อยหรือไม่เหนื่อยแล้ว
เชิงเซียงกัดฟันแน่นจนเหงือกมีเลือดไหลออกมา
“กึด กึด กึด” เสียงกัดฟันของมันดังจนสามารถได้ยินอย่างชัดเจน ถ้าทำได้มันอยากจะฉีกหลิงฮันออกเป็นล้านๆชิ้น แต่ในตอนนี้มันทำได้เพียงก้มหัวอันยิ่งทะนงของมันลง “ข้าขอโทษ ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ!”
“เจ้าพูดเบาเกินไป ข้าไม่ได้ยินเลย” หลิงฮันพูดออกไป
“ข้าขอโทษ ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ!” เชิงเซียงร้องให้ตะโกนออกมาดังลั่น เมื่อคำพูดเหล่านี้ออกจากปากมัน มันรู้สึกราวกับทุกอย่างในตัวมันกำลังพังทลาย ทั้งความภาคภูมิใจ เกียรติยศ และความน่านับถือในฐานะนายน้อยคนโตของตระกูลเชิง ทุกสิ่งได้แหลกสลายไปพร้อมกับคำวิงวอนขอความเมตตาของมัน
“คราวหน้าก็หัดฉลาดซะบ้าง ในโลกนี้ยังมีคนที่เจ้าไม่สามารถไปยั่วยุได้!” หลิงฮันพูดและยกเท้าออกมา “เจ้าควรจะรู้สึกว่าตัวเองโชคดีนะที่ตอนนี้ข้ากำลังใจอ่อน”
นี่เรียกว่าใจอ่อนแล้วงั้นรึ?
ทุกคนถึงกับไร้คำพูด เชิงเซียงไม่ใช่เชิงเฮา มันคือนายน้อยคนโตของจระกูลเชิง การสร้างความอัปยศให้มันอย่างเปิดเผยแบบนี้ก็เหมือนกันตบหน้าตระกูลเชิงทั้งตระกูล! เรื่องนี้ต้องไม่จบอย่างสงบแน่
จะต้องเกิดสงครามอันรุนแรงระหว่างตระกูลเชิงและตระกูลหลิงแน่นอน อาจจะถึงขั้นมีการนองเลือดระหว่างสองตระกูลเลยก็ได้ มันจะต้องกลายเป็นความโกลาหลอย่างไม่ต้องสงสัย
เซินจีอันคอยดูเหตุการณ์มาตลอด ฟันอันขาวเนียนของนางกัดริมฝีปากอย่างรุนแรง ความรู้สึกของนางในตอนนี้นั้นซับซ้อนจนไม่อาจอธิบายได้
ทั้งนางและเชิงเซียงอยู่ในระดับหลอมกายาขั้นเก้า แต่ก็ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างความสามารถของนางและเชิงเซียงอยู่ อย่างเช่นตัวนางเองก็โค่นจอมยุทธระดับหลอมกายาขั้นเก้ามามากมาย ถึงแม้หลิงฮันจะสามารถจัดการเชิงเซียงได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะโค่นนางได้
แต่ปัญหาคือ ระดับพลังในปัจจุบันของหลิงฮันต่างหาก?
เมื่อหมอนี่บรรลุไปถึงหลอมกายาขั้นเก้า เหล่าผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในระดับหลอมกายาจะมีใครกันที่สามารถสู้กับเขาได้อย่างทัดเทียม?
การไร้พ่ายในหมู่ของคนระดับด้วยกัน นั่นคือคุณสมบัติของราชา!
ไม่มีทาง นางจะไม่เสียใจอันใดเด็ดขาด นั่นคือเศษขยะ เศษขยะที่นางได้ปฏิเสธไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว! เศษขยะที่ชั่วชีวิตทำได้เพียงแหงนมองนาง!
***
หลิงฮันเดินออกมาจากลานฝึกต่อสู้ หลิวอู๋ตงเดินอยู่ข้างกายเขาเช่นเคย ทั้งสองเดินไปรอบๆสำนักสักครู่หนึ่งจากนั้นจึงนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่และเอนกายพิงต้นไม้ ทั้งสองไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดหลิวอู๋ตงก็ทนไม่ไหวและพูดออกมา “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าจะตาต่ำแบบนี้ ดันไปชอบผู้หญิงที่เป็นเพียงกบในบ่อและเอาตนเองเป็นศูนย์กลางแบบนั้น!”
หลิงฮันกลั้นที่จะหัวเราะดังๆออกมาไม่ได้ เขาหันไปหาหลิวอู๋ตง “ผู้ติดตามสาวน้อยของข้า เจ้าหึงงั้นรึ?”
“ใคร... ใครจะไปหึงกัน!” ใบหน้าของหลิวอู๋ตงมีร่องรอยสีแดงปรากฏขึ้นมา ทำให้นางดูมีเสน่ห์ขึ้นไปอีก “อย่าหลงตัวเองให้มากนัก!”
“เฮ้ๆ นั่นเป็นวิธีที่เจ้าใช้พูดกับเจ้านายรึไง?” หลิงฮันหัวเราะ การเย้าแหย่ผู้ติดตามสาวน้อยคนนี้ของเขา บางครั้งก็สนุกไม่เลวเลย
หลิวอู๋ตงกลอกตา และเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างรวดเร็ว “เจ้าคิดจะอาศัยอยู่ที่เมืองหมอกเมฆาต่อไปงั้นรึ?” สถานที่นี้เล็กเกินไปสำหรับมังกรอย่างหลิงฮัน
หลิงฮันหัวเราะและพูดออกไป “อีกไม่นานข้าจะไปยังสำนักฮูหยาง บิดาข้าหวังให้ข้าไปที่นั่นเพื่อเหยียบหน้าเหล่าคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะ”
หลิวอู๋ตงตกอยู่ในสภาพไร้คำพูด “ตอนนี้เจ้าไม่สามารถชนะได้แม้แต่ข้า แล้วเจ้ากลับต้องการจะไปเหยียบย่ำเหล่าอัจฉริยะทั้งหมดของสำนักฮูหยาง? เจ้าควรจะรู้เอาไว้นะว่าข้าไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักฮูหยาง”
“เจ้าจะได้รู้เมื่อไปถึงที่นั่น” หลิงฮันไม่พูดอะไรอีกต่อไป มีเพียงตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้ถึงความยิ่งใหญ่และความน่ากลัวของศักยภาพที่เขามีอยู่
เมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน ทั้งสองได้กลับไปยังตระกูลหลิง
“เจ้าลูกบ้า!” เพียงเมื่อพวกเขาเข้าไปยังห้องโถงหลัก พวกเขาเห็นหลิงตงซิงเดินก้าวเข้ามาหาพวกเขา สีหน้าของมันช่างดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก
ในตอนแรกหลิงฮันคิดว่าเรื่องที่เขาโดดคาบเรียนถูกบิดาของเขารู้เข้าซะแล้ว แต่เมื่อเขากำลังจะพูดอะไรสักอย่าง หลิงตงซิงได้พุ่งเข้ามาหาเขาและกอดเขาแน่นก่อนจะหัวเราะอย่างร่าเริง “เจ้าทุบตีไอ้เด็กเวรสองตัวจากตระกูลเชิง แต่กลับไม่รีบมาบอกให้บิดาเจ้ารู้ แล้วให้ข้ามีความสุขเหมือนกันรึไง?”
“หลิงฮันถอนหายใจที่เขากลั้นไว้เมื่อกี้ออกมา”ท่านพ่อ ท่านรู้ได้อย่างไร?”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หลังจากที่มันผ่านมาสักพักแล้วข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?” หลิงตงซิงหยุดหัวเราะและสีหน้ากลับไปเป็นจริงจัง
“ฮันเอ๋อร์ เจ้าทำตามที่รับปากไว้จริงๆ หลอมกายาขั้นสี่สามารถจัดการหลอมกายาขั้นเก้าลงได้! แต่อย่างไรนี่มันก็เหลือเชื่อเกินไป ข้ากังวลว่าจะมีใครบางคนจะยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อกำจัดเจ้า”
หลิงฮันพยักหน้า ทัศนคติของคนส่วนใหญ่ที่มีต่ออัจฉริยะคือความนับถือและเคารพ แต่เขาไม่ได้อยู่ในระดับที่เรียกว่าอัจฉริยะแต่เป็นสัตว์ประหลาด เป็นศักยภาพที่ยากเกินกว่าจะเชื่อได้
หลิงตงซิงพูดต่อ “ข้าได้ปล่อยข่าวไปว่าที่จริงแล้วเจ้าอยู่ในระดับหลอมกายาขั้นเจ็ด ในอดีตเจ้าเพียงแค่จงใจทำตัวไม่เป็นจุดเด่น”
การอธิบายออกไปแบบนี้แน่นอนว่ายังมีช่องว่างอยู่ เพราะการทำตัวไม่เป็นจุดเด่นกับการเป็นขยะทั้งสองเรื่องนั้นแตกต่างกัน แต่เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ที่มีคนที่อยู่เพียงหลอมกายาขั้นสี่แต่สามารถโค่นหลอมกายาขั้นเก้าลงได้... ไม่ใช่ว่าการอธิบายไปแบบนี้จะทำให้คนอื่นยอมรับได้ง่ายกว่างั้นรึ?
ยิ่งกว่านั้น พลังที่หลิงฮันแสดงออกไปเมื่อศึกที่ผ่านมาคือระดับหลอมกายาขั้นเจ็ด เพราะงั้นการอธิบายแบบนี้ไปจึงง่ายที่จะเชื่อมากกว่า
“เจ้าไม่ต้องไปสำนักไปวันพรุ่งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงให้คนอื่นจับได้ว่าพลังของเจ้าไม่ตรงกับข่าวที่ปล่อยออกไป” หลิงตงซิงพูดออกมา ใครก็ตามในระดับรวมธาตุจะสามารถรู้ได้ว่าพลังบ่มเพาะที่แท้จริงของหลิงฮันอยู่ระดับใดเพียงการมองแค่ครั้งเดียว ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ข่าวลวงก็จะความแตกทันที
แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่หลิงฮันต้องการ แต่ปัญหาคือไม่ใช่เพียงแค่สำนักที่เขาห้ามไป แต่เขาไม่สามารถออกไปจากที่พักของตระกูลได้เลย เพราะว่าวันนี้เขาเล่นมากเกินไปหน่อย จะต้องมีกลุ่มคนหลายกลุ่มในเมืองหมอกเมฆาคอยจับตาดูเขาอยู่ หรือบางกลุ่มแม้กระทั่งมาแอบเฝ้าใกล้ๆที่พักของตระกูลหลิงเลยด้วยซ้ำ
วิธีจัดการปัญหานี้มีเพียงทางเดียว นั่นคือการทำให้ระดับพลังบ่มเพาะที่แท้จริงของเขากลายเป็นหลอมกายาขั้นเจ็ด เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วข่าวลวงก็จะกลายเป็นความจริง
ในเมื่อยังไงเขาก็ไม่สามารถออกไปจากที่พักได้ หลิงฮันจึงตัดสินใจตั้งสมาธิทุกส่วนไปยังการบ่มเพาะ หลิงตงซิงสนับสนุนเขาในเรื่องนี้เต็มที่และจากคำขอต่างๆของหลิงฮัน มันได้จัดเตรียมเงินไว้ให้เขาเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันหลิงฮันก็ใช้ให้หลิวอู๋ตงไปซื้อวัตถุดิบสมุนไพรมาเพื่อที่เขาจะได้หลอมเม็ดยาด้วยตัวเอง
เม็ดยาที่หลิงฮันต้องการจะหลอมขึ้นมาคือ “เม็ดยาหยาดฝนผสานเมฆา” หากกินเม็ดยานี้เข้าไปจะทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะของจอมยุทธในระดับหลอมกายาเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้เม็ดยานี้จะสามารถหาซื้อได้ แต่ประสิทธิภาพของยานั้นต่ำเกินไป หลิงฮันเคยลองไปแล้วหนึ่งเม็ดและผลก็คือคุณภาพมันเทียบได้อย่างมากที่สุดก็เพียงครึ่งเดียวของยาที่เขาหลอมเอง
เจ้าสามารถทำอะไรได้มากมายเพียงแค่มีเงินเพียงพอ หลิวอู๋ตงรีบกลับมาพร้อมกับวัตถุดิบสมุนไพรที่หลิงฮันสั่ง และยังนำเตาหลอมมาพร้อมกันด้วย
“มันค่อนข้างท้าทายเล็กน้อยที่จอมยุทธในระดับหลอมกายาขั้นสี่จะหลอมเม็ดยาขึ้นมา” หลิงฮันบ่นพึมพำ คนเราจะสามารถเริ่มหลอมเม็ดยาได้เมื่อพวกเขาบรรลุถึงหลอมกายาขั้นเจ็ดเป็นอย่างน้อย ไม่เช่นนั้นหากมีปราณต้นกำเนิดในการใช้หลอมไม่มากพอ เมื่อต้องหลอมในขั้นตอนที่สูงขึ้นก็จะไม่สามารถหลอมต่อไปได้ และผลลัพธ์ที่ได้จะมีเพียงความล้มเหลว
‘ดูเหมือนข้าจะต้องใช้โอสถคืนกำเนิดและหลอมเม็ดยาไปพร้อมกัน’
เขาแยกวัตถุดิบต่างๆออกมาช่างชำนาญ มือของเขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่สูงมากจนหลิวอู๋ตงที่ยืนอยู่ข้างๆรู้สึกราวกับตาของนางพร่ามัว ตอนนี้ในที่สุดนางก็เชื่อแล้วว่าหลิงฮันรู้วิธีการหลอมเม็ดยา ไม่ได้รู้เพียงแค่ทฤษฎีอย่างเดียว
ยังมีอะไรที่หมอนี่ไม่รู้บ้างกัน?
หลิงฮันโยนวัตถุดิบสมุนไพรต่างๆเข้าไปยังเตาหลอม แต่เขาก็ไม่ได้โยนวัตถุดิบทุกอย่างลงไปข้างในทั้งหมด เขาโยนเพียงประมาณหนึ่งในสามของวัตถุดิบที่อยู่บนมือลงไป จากนั้นมือขวาของเขาได้เกิดการสั่นไหว หลิงฮันพ่นเสียงทางจมูกและทันใดนั้นได้มีเปลวเพลิงปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือของเขา
‘การจุดไฟ’ นี่คือความสามารถพื้นฐานที่นักปรุงยาทุกคนควรมี และนั่นยังเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมนักปรุงยาทุกคนจำเป็นต้องมีรากฐานวิญญาณรูปแบบเพลิง