ตอนที่ 19 จงถูกเหยียบย่ำอยู่ภายใต้เท้าของข้า
หลิงฮันในตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเลือด การเพิ่มพลังไปยังหลอมกายาขั้นเจ็ดชั่วคราวของเขาได้มาจากบาดแผลที่สาหัส ตอนนี้ตัวเขาราวกับเป็นหมาป่าเดียวดายที่บาดเจ็บ ยิ่งเขาบาดเจ็บเท่าใด ก็ยิ่งปฏิเสธที่จะยอมแพ้เท่านั้น
ในตอนแรก เหมือนกับว่าฝูงชนได้อยู่ที่นี่เพื่อดูการแสดง แต่เมื่อพวกมันเห็นหลิงฮันที่ถึงจะถูกทำให้บาดเจ็บอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังตอบโต้กลับไป ด้วยเหตุผลบางอย่าง การกระทำของหลิงฮันได้ส่งผลต่อความรู้สึกของพวกมัน
แม้หลิงฮันจะเป็นเศษขยะ แต่เขาก็เป็นเศษขยะที่สมควรจะได้รับความนับถือจากพวกมัน!
คนแบบไหนกันที่สามารถมีความแน่วแน่และจิตใจที่เด็ดเดี่ยวขนาดนี้?
จิตใจเด็ดเดี่ยวถึงขนาดที่แม้เขาจะมีบาดเจ็บจนมีเลือดไหลออกมา ก็ยังไม่เกรงกลัวที่จะเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้!
ก่อนจะรู้ตัว ความคิดของพวกมันทุกคนก็เริ่มเอนเอียงไปทางหลิงฮัน แอบคาดหวังอย่างลับๆว่าเขาจะสามารถได้รับชัยชนะ
ในโลกของจอมยุทธ คนอ่อนแอไม่มีค่าพอจะได้รับความสงสาร แต่จอมยุทธที่เด็ดเดี่ยวไม่ย่อท้อจะได้รับความนับถือ หลิงฮันใช้เลือดของตนเองและจิตใจอันแข็งแกร่งในการได้รับบางสิ่งที่เจ้าของร่างคนก่อนได้สูญเสียมันไปนานแล้ว...
นั่นคือความนับถือ!
และนี่ยังเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลิงฮันถึงดันทุรังดันสินใจที่จะสู้ในศึกนี้ และแม้กระทั่งเลือกวิธีการโง่ๆอย่างการปะทะซึ่งๆหน้าแบบนี้
แน่นอนว่ามีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ดีถึงสภาพของตัวเขาในตอนนี้ว่าไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่ทุกคนคิดอยู่ คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์กำลังโคจรอยู่ในร่างของเขาและรักษาบาดแผลอย่างต่อเนื่อง เพราะงั้นสภาพภายนอกเขาจึงดูแย่กว่าในความเป็นจริงมากนัก
อย่างไรก็ตามถึงแม้บาดแผลจะถูกฟื้นฟูแล้วตอนนี้ แต่บาดแผลที่เขาได้รับมาก็ไม่ใช่ของปลอม ตัวเขาตกอยู่ในความเจ็บปวดทรมานอย่างมาก ราวกับว่าเปลวเพลิงกำลังค่อยๆเผาไหม้จิตใจของเขาอยู่อย่างช้าๆ แต่มันก็เป็นความเจ็บปวดที่ทำให้เขาระเบิดพลังที่เกินกว่าพลังบ่มเพาะจริงๆของเขาอยู่มากออกมาได้
เขากลืนเม็ดยาคืนกำเนิดอย่างต่อเนื่อง การต้องต่อสู้และต้องโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์อย่างไม่หยุดหย่อนไปพร้อมกัน ทำให้เขาต้องสูญเสียปราณต้นกำเนิดไปจำนวนมาก
หลิงฮันถูกบังคับให้ถอยซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เขาก็พุ่งกลับไปต่อสู้อย่างไม่หยุด เลือดที่สาดกระเซ็นและจิตใจที่ไม่ย่อท้อของเขาส่งผลกระทบต่อผู้ฝูงชนโดยรอบ หญิงสาวบางคนถึงกลับเริ่มมีน้ำตาไหลออกมา เพื่อขอให้หลิงฮันหยุดสู้
“ทำไมเจ้าไม่ล้มลงไปซักที!” ยิ่งเชิงเซียงสู้นานขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งกระวนกระวายขึ้นเรื่อยๆ หลิงฮันมีความมุ่งมั่นขนาดนี้ได้อย่างไร? ทำไมไม่ว่าเขาจะบาดเจ็บขนาดไหน ก็ไม่ยอมล้มลงไป...? การต่อสู้นี้สร้างความกดดันอย่างมากให้เชิงเซียง เพียงพลังของหลอมกายาขั้นเจ็ดก็เป็นภัยคุกคามต่อมันได้แล้ว และด้วยการปะทะกันซ้ำไปซ้ำมาระหว่างพวกมัน ทำให้อวัยวะภายในของมันเริ่มร้อนขึ้นมา สร้างความอึดอัดต่อตัวมันอย่างมาก
มันคำรามและโจมตีด้วยสองหมัด ในที่สุดมันก็ใช่ทักษะยุทธออกไป โดยตั้งใจจะโค่นหลิงฮันลงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
มันคือหนึ่งในทักษะพิเศษของตระกูลเชิง ‘เพลงหมัดกัมปนาท’
จอมยุทธที่ใช้ทักษะยุทธกับจอมยุทธที่ไม่ใช้ทักษะนั้นอยู่ในระดับที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เหมือนกับทักษะบ่มเพาะ ทักษะยุทธเองก็สามารถแบ่งได้เป็น สวรรค์ ปฐพี ดำ และเหลืองตามลำดับ ทักษะยุทธระดับเหลืองที่ดีสามารถเพิ่มพลังให้ผู้ใช้ได้เกือบเท่าตัว
ทุกๆระดับใหญ่สามารถแบ่งได้อีกสามขั้นย่อยคือ สูง กลาง ต่ำ ยกตัวอย่างเช่น ทักษะยุทธระดับเหลืองขั้นต่ำจะเพิ่มพลังให้ผู้ใช้ประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์ ขั้นกลางจะสามารถเพิ่มพลังให้ผู้ใช้ได้ประมาณสี่สิบถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์ ขณะที่ขั้นสูงจะเพิ่มพลังให้ผู้ใช้ประมาณเจ็ดสิบถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
เพลงหมัดกัมปนาทเป็นทักษะยุทธระดับเหลืองขั้นกลาง มันสามารถเพิ่มพลังให้ผู้ใช้ได้ประมาณห้าสิบเปอร์เซ็นต์ และเพลงหมัดลับในการโจมตีสามครั้งสุดท้ายสามารถเพิ่มพลังได้ถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์!
หลิงฮันรู้จักทักษะยุทธนับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นทักษะยุทธระดับสวรรค์ที่หาได้ยาก เขามีมันถึงเจ็ดทักษะและแต่ละทักษะสามารถเพิ่มพลังให้ผู้ใช้ถึงสิบเท่า! อย่างไรก็ตาม ด้วยขีดจำกัดของพลังในปัจจุบันเขาจึงใช้ทักษะเหล่านั้นไม่ได้
ไม่ใช่เพียงแค่ทักษะระดับสวรรค์ที่ใช้ไม่ได้ ต่อให้เป็นระดับปฐพีหรือดำก็ยังเป็นปัญหาสำหรับเขาเนื่องมาจากขีดจำกัดของพลังบ่มเพาะในปัจจุบันของเขา
เพราะงั้น เขาจึงสามารถใช้ได้เพียงทักษะยุทธระดับเหลือง
การจะใช้ทักษะยุทธระดับดำ ผู้ใช้จำเป็นต้องมีพลังบ่มเพาะอย่างน้อยในระดับระดับก่อเกิดธาตุ
เขากำหมัดทั้งสองข้าง และขยับร่างกายเปลี่ยนเป็นท่าโจมตี
ทักษะยุทธระดับเหลืองขั้นสูง ‘เพลงหมัดเสือดำทะยานเมฆา!’
“ปัง!”
เกิดเสียงดั่งสนั่นขึ้น และนักสู้ทั้งสองได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากัน ความเร็วของพวกเขารวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง นอกจากหลิวอู๋ตงแล้วมีเพียงศิษย์ไม่กี่คนที่มีพลังบ่มเพาะอยู่ที่หลอมกายาขั้นเก้าที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันสิ่งที่ฝูงชนสามารถมองเห็นได้คือหลังจากที่ปะทะกันเสร็จแล้ว ร่างของเชิงเซียงได้ลอยกระเด็นออกมา
“อึก!” ทุกคนในบริเวณนี้ตกอยู่ในอาการไร้คำพูดพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ
เชิงเซียงถูกทำให้ลอยกระเด็นออกมาด้วยพลังจากการโจมตีของหลิงฮัน... เหตุการณ์ที่ยากจะเข้าใจได้นี่มันอะไรกัน?
ในขณะเดียวกัน ถึงแม้ร่างของหลิงฮันจะถูกปมคลุมไปด้วยเลือดสดๆทั้งร่าง แต่เขาถูกทำให้ถอยหลังไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
เป็นการพลิกสถานการณ์ที่ใหญ่หลวงจริงๆ!
เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เชิงเซียงที่กำลังได้เปรียบอยู่เมื่อครู่ แต่ทำไมเมื่อมันใช้ทักษะยุทธออกมาถึงได้พ่ายแพ้อย่างน่าอนาจแบบนี้?
แต่ไม่ว่าพวกมันจะคิดไปไกลขนาดไหน ก็ไม่มีสักคนที่สามารถเดาได้ว่าหลิงฮันใช้ทักษะยุทธระดับเหลืองขั้นสูงออกไป
มันจะเป้นไปได้อย่างไรกัน? ต่อให้เป็นสองตระกูลใหญ่ของเมืองหมอกเมฆาก็ยังครอบครองเพียงทักษะยุทธระดับเหลืองขั้นกลาง ถ้าคนธรรมดาสามารถเรียนรู้ทักษะยุทธระดับเหลืองขั้นต่ำได้ พวกมันก็ดีใจจนตายอย่างสงบแล้ว!
มีเพียงดวงตาอันงดงามของหลิวอู๋ตงที่ส่องประกายในความเข้าใจ นางเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ดีว่าทักษะสามหยินเร้นลับที่หลิงฮันสอนให้คือทักษะบ่มเพาะระดับสวรรค์ ดังนั้นจะไปแปลกอะไรหากหลิงฮันจะมีทักษะยุทธระดับเหลืองขั้นสูง?
เชิงเซียงครางโหยหวน มันอยากจจะลุกกลับขึ้นไป แต่ว่าพลังจากการโจมตีของหลิงฮันมันรุนแรงเป็นอย่างมาก เพียงแค่ขยับนิดเดียวก็ทำให้มันกระอักเลือดออกมาไม่หยุดแล้ว!
เมื่อครู่นี้ เมื่อตอนที่พวกเขาแลกเปลี่ยนการโจมตีกันอย่างต่อเนื่อง อวัยวะภายในของเชิงเซียงได้เจ็บช้ำจากแรงสั่นสะเทือนอันรุนแรง และด้วยการโจมตีเมื่อกี้ได้ทำให้ความเสียหายที่เก็บสะสมเอาไว้ระเบิดออกมา นี่คือการโจมตีตัดสินที่เปลี่ยนจำนวนครั้งที่โจมตีออกไปให้กลายเป็นผลลัพธ์ที่ดี!
“ไม่ เป็นไปไม่ได้!” สีหน้าของเชิงเฮาแสดงออกถึงความไม่เชื่ออย่างถึงที่สุด พี่ชายของมันคือระดับหัวกะทิของหลอมกายาขั้นเก้า จะไปแพ้ให้กับเศษขยะได้อย่างไร?
นี่ต้องไม่ใช่ความจริง!
หลิงฮันเดินไปทางเชิงเซียง ทุกๆการก้าวเดิน บาดแผลที่เขาได้รับถูกรักษาอย่างรวดเร็ว เมื่อเขามาถึงด้านหน้าของเชิงเซียง บาดแผลทั้งหมดได้ถูกรักษาอย่างสมบูรณ์ นี่คือข้อพิสูจน์ในพลังอันสุดยอดของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์
“ข้า ข้าแพ้แล้ว!” ด้วยการที่ทุกคนจ้องมองพวกเขาอยู่ ไม่มีทางที่เชิงเซียงจะปฏิเสธความจริงที่มันแพ้ได้ มันมองอย่างดุร้ายไปที่หลิงฮัน ใบหน้าเต็มไปด้วยการไม่ยอมรับ มันไม่สามารถเข้าใจได้ว่าหลิงฮันชนะมันได้อย่างไร
หลิงฮันยกเท้าขึ้นอย่างช้าๆ และขยับไปยังเชิงเซียง
“เจ้า... เจ้าคิดจะทำอะไร?” เชิงเซียงแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ หลิงฮันคิดจะเหยียบหน้าของมันงั้นรึ? “อย่าทำเกินไปนัก!”
“เกินไป?” หลิงฮันเปล่งเสียงทางจมูก เท้าข้างหนึ่งได้เหยียบไปบนหน้าของเชิงเซียงอย่างหนักแน่น “ตัวเจ้าในฐานะของผู้บ่มเพาะพลังระดับหลอมกายาขั้นเก้ามาท้าสู้กับข้า... มันไม่นับว่า‘เกินไป’รึไง? สิ่งแรกที่น้องชายเจ้าพูดกับข้าคือให้ใสหัวไป และสิ่งแรกที่เจ้าทำกับข้าคือกล่าวหาว่าข้าใช้วิธีสกปรก... นี่ไม่นับว่า’เกินไป’รึไง?”
“เจ้าคือคนเดียวที่สามารถทำอะไรก็ได้ตามใจงั้นรึ? ในโลกนี้ไม่มีตรรกะแบบนั้น!”
“ในเมื่อความสามารถของเจ้าด้อยกว่า เจ้าก็ควรหุบปากไปซะ เจ้าขยะ!”
เขาเพิ่มแรงเหยียบเข้าไปและเชิงเซียงร้องคร่ำครวญในความเจ็บปวดออกมาทันที แต่ที่มันรู้สึกมากกว่าเจ็บปวดคือความอับอาย มันถูกเหยียบย่ำอยู่ภายใต้เท้าของคนอื่น! ยิ่งกว่านั้นคนๆนั้นยังเป็นที่รู้จักกันในฐานะขยะของสำนัก! แน่นอนว่าหลังจากวันนี้ หลิงฮันจะสามารถลบล้างฉายาขยะได้อย่างแน่นอน แต่หากว่าทั้งหมดนั่นลบล้างได้โดยการเหยียบใบหน้าของเชิงเซียง เชิงเซียงยิ่งรับไม่ได้เข้าไปอีก
ผู้คนรอบข้างไร้คำพูดไปอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ พวกมันแค่หวังว่าหลิงฮันจะชนะ แต่ในหมู่พวกมันใครจะคิดล่ะว่าหลิงฮันจะชนะได้จริงๆ?
พวกมันนึกคำพูดของหลิวอู๋คงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ‘ภายในไม่เกินสามเดือน หลิงฮันจะกลายเป็นตัวตนที่พวกเจ้าทุกคนทำได้แค่แหงนมอง!’
บางทีอาจจะไม่ต้องถึงสามเดือน แค่ในตอนนี้บางคนในหมู่พวกมันก็ต้องแหงนมองเขาไปเรียบร้อยแล้ว!
“หลิงฮัน เจ้าจะต้องเสียใจกับเรื่องนี้!” เชิงเซียงพูดด้วยความเกรี้ยวกราดและน้ำเสียงมุ่งร้าย การที่ต้องถูกเหยียบอยู่ภายใต้เท้าของเศษขยะ มันเป็นความอัปยศที่ไม่สามารถลบออกไปจากชื่อเสียงของเขาได้ตลอดการ
“งั้นรึ?” หลิงฮันยิ้มเบาๆ คำขู่แบบนี้นั้นไร้ความหมายสำหรับเขาโดยสิ้นเชิง
“ร้องขอความเมตตาซะ!” หลิงฮันพูดออกไป
“หากท่าทีของเจ้าจริงใจมากพอ ข้าจะยอมปล่อยเจ้าไป หรือไม่งั้นเจ้าอาจจะต้องนอนอยู่ตรงนี้ไปอีกนาน!”
“เจ้า...” เชิงเซียงรู้สึกราวกับว่ามันกำลังจะอกแตกตาย หลิงฮันต้องการให้มันร้องขอความเมตตาต่อหน้าคนพวกนี้จริงๆงั้นรึ?