ตอนที่ 15 คุกเข่า
หลิงฮันเดินเข้าไปยังลานฝึกต่อสู้และมองเห็นหญิงสาวที่งดงามกำลังฝึกซ้อมทักษะวรยุทธอยู่ตรงกลาง นางสวมใส่ชุดจอมยุทธสีขาวและการเคลื่อนไหวของนางยังสง่างามราวกับเทพธิดา รอบๆตัวนางมีหนุ่มสาวหลายคนรวมตัวกันคอยเฝ้ามองดูนางอยู่ สายตาของเหล่าหญิงงสาวเต็มไปด้วยความริษยา ในขณะที่สายตาของเหล่าชายหนุ่มเต็มไปด้วยความหลงไหลเมื่อพวกมันคอยมองดูนาง
หญิงสาวคนนั้นคือเซินจีอัน ในทุกๆวันนางจะฝึกฝนในสถานที่นี้
นางช่างงดงามอย่างแท้จริง แต่หากเปรียบเทียบกับหลิวอู๋ตง ความงามของนางยังถือว่าด้อยกว่า ยิ่งกว่านั้น หลิงฮันได้ชินกับการเห็นสาวงามล่มเมืองมานับไม่ถ้วนแล้วในชีวิตที่แล้ว จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่หวั่นไหว
เจ้าของร่างเก่าของเขาช่างเป็นชายโรแมนติกที่น่าสิ้นหวังเสียจริง แต่ตอนนี้คนคนนั้นได้ตายไปแล้ว ผู้ที่ควบคุมอยู่ในตอนนี้คือตัวเขาที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจอมยุทธระดับสวรรค์!
หลิงฮันสูดหายใจลึก เขารู้สึกได้ว่าเศษเสี้ยวของปมในใจของเจ้าของร่างคนก่อนได้ลอยหายไปในอากาศ ตอนนี้ในที่สุดเขาได้กลายเป็นเจ้าของร่างนี้แต่เพียงผู้เดียว
เจ้าของร่างเดิมมีสองอย่างที่ไม่สามารถปล่อยว่างได้ หนึ่งคือบิดา และอีกอย่างคือเซินจีอัน ตอนนี้ปมในใจทั้งสองอย่างได้ไร้การต่อต้านอย่างสมบูรณ์แล้ว ในที่สุดเจ้าของร่างคนก่อนก็สามารถ “จากไป” ได้เสียที และจะไม่มีอะไรที่ส่งผลกระทบต่อร่างนี้ได้แม้แต่น้อยอีกต่อไป
อันที่จริง เจ้าของร่างเดิมได้รู้ดีอยู่แล้วว่ามันและเซินจีอันไม่มีวันที่จะลงเอยกันได้ มันจึงตั้งใจเพียงจะคอยแอบชอบนางจากระยะไกล ถ้าปมในใจของมันเป็นอะไรอย่างเช่น ต้องการจะแต่งงานกับนางเพียงคนเดียวและเป็นคนอื่นไม่ได้ หลิงฮันคงจะตกอยู่ในปัญหาใหญ่เลยทีเดียว
“ออกไปจากที่นี่ซะ!” มันเป็นในขณะที่เซินจีอันหยุดการเคลื่อนไหวของนางแล้วตะโกนคำเหล่านี้มาใส่เขาอย่างเย็นชา
ช่างผยองเสียจริง นางคิดว่าตระกูลของนางเป็นเจ้าของลานฝึกต่อสู้หรืออย่างไร?
หากเป็นปรกติ หลิงฮันคงจะไม่อยากลดตัวลงมายุ่งกับหญิงสาวผู้หยิ่งยะโสที่คิดว่าโลกทั้งใบหมุนรอบตัวนาง เพราะอย่างไรปมในใจก็ได้หายไปแล้วและในความคิดของเขาเซินจีอันก็ไม่สามารถนับได้ว่าเป็นสาวงามไร้ที่เปรียบหรือมีพรสวรรค์ที่น่าตะตะลึงอะไร นางไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะให้เขาพิจารณาในตัวนางแม้เสี้ยววินาที
เห็นแก่เจ้าของร่างคนก่อน เขาจึงไม่ตอบโต้คำพูดดูถูกของนาง และหันกลับไปโดยที่ตั้งใจจะออกไปจากที่นี่
“หยุดอยู่ตรงนั้น!” ชายหนุ่มสวมชุดมีลายปักเดินออกมา ด้วยการก้าวเพียงไม่กี่ก้าวได้พุ่งมาถึงข้างหน้าหลิงฮันและปิดทางเขาไว้
“ไม่ได้ยินที่ศิษย์น้องเซินพูดรึไงกัน? นางบอกให้เจ้ากลิ้งออกไปจากที่นี่ ห้ามใช้ขาเด็ดขาด”
ชื่อของมันคือเชิงเฮา และมันเป็นบุตรคนที่สองของผู้นำตระกูลแห่งตระกูลใหญ่อีกตระกูลหนึ่งของเมืองหมอกเมฆา และมันยังเป็นหนึ่งในผู้คลั่งไคล้เซินจีอัน แต่เซินจีอันไม่เคยปฏิบัติกับมันต่างจากที่ปฏิบัติกับคนอื่นแม้แต่น้อย ในที่สุดมันก็หาโอกาสที่จะได้โอ้อวดต่อหน้านางได้สักที มันจะสั่งสอนบทเรียนอันยากลำบากกับหลิงฮันเพื่อให้ได้รับความชอบจากเซินจีอัน
ยิ่งกว่านั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันรังแกหลิงฮัน เพราะว่าในหมู่คนที่มันสามารถรังแกได้ ฐานะของหลิงฮันถือว่าสูงที่สุดและการรังแกหลิงฮันทำให้เขาพึงพอใจที่สุด
ตาของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม ภาพของเจ้าของร่างเก่ากำลังถูกรังแกโดยเชิงเฮาฉายขึ้นมาในแววตาของหลิงฮัน ตอนแรกเขาไม่คิดจะยุ่งอะไรกับเชิงเฮาและไว้หน้ามันเล็กๆน้อยๆต่อฝูงชน แต่ตอนนี้มันกลับมากระตุ้นหลิงฮัน ต่อให้ต่อจากนี้มันจะไม่มาตอแยหลิงฮันแล้ว เขาก็ไม่คิดปล่อยไปง่ายๆ
“เจ้ากำลังแส่หาความตายรึไง?” เขาพูดด้วยเสียงอาฆาต
“ฮ่าๆๆ เจ้าขยะหลิง เจ้ากำลังขู่ข้างั้นรึ?” เชิงเฮาหัวเราะออกมาและแววตาเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม
“เราไม่ได้พบกันไม่กี่วัน แต่ตอนนี้เจ้ากลับเติบโตขึ้นจนถ้าพูดเถียงข้างั้นรึ?”
ทุกๆคนในบริเวณนั้นเริ่มหัวเราะ ชื่อเสียงของหลิงฮันในฐานะขยะเป็นที่รู้จักกันดีในทั่วทั้งสำนัก คำพูดพวกนี้จึงเหมือนกันเรื่องตลกที่สุดในโลกสำหรับพวกมัน
หลิงฮันยิ้มเย็นชาและเดินไปทางเชิงเฮา
“คราวนี้อะไรอีกล่ะ จะมาขอร้องข้าให้อภัยให้เจ้ารึไง? ถ้าเจ้าจะมาขอร้องข้าก็พูดออกมาให้มันดังพอด้วยล่ะ” เชิงเฮาพูดอย่างเมินเฉย
“เพี๊ยะ!”
ในขณะที่เสียงตบที่รุนแรงและชัดเจนดังขึ้น ทำให้การหัวเราะของพวกมันทุกคนหยุดลง
เชิงเฮายกมือหนึ่งขึ้นมาปิดใบหน้า ใบหน้าของมันแสดงออกถึงความไม่อยากเชื่อ เมื่อกี้มันถูกตบโดยหลิงฮัน... ถูกตบโดยเศษขยะ!
นี่มันเป็นความอัปยศขนาดไหนกัน?!
มันบ้าคลั่งขึ้นมาในทันที เส้นเลือดสีเขียวปูดขึ้นมาทั่วหน้าผากของมันเมื่อมันพูดออกมาอย่างขุ่นเคือง “เจ้าเบื่อที่จะมีชีวิตจนถึงขนาดกล้ามาตบข้าเลยงั้นรึ?”
“ข้าตบเจ้าไม่ได้รึไง?” หลิงพูดอย่างใจเย็น เจ้าของร่างคนเก่าของเขาถูกรังแกโดยเชิงเฮามานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ตอนนี้ตัวเขาตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้ากล้าดีย่างไร!” เชิงเฮาไม่เคยคิดว่าว่านอกจากหลิงฮันจะไม่อ้อนวอนร้องขอชีวิตกับมันแล้ว ยังจะกล้าเถียงมันอีก ตัวมันที่โมโหเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แล้วตอนนี้จะให้มันทนต่อไปไหวได้อย่างไร มันยกมือขวาขึ้นพร้อมกับชกออกไปทางหลิงฮันในทันที
หลิงฮันในตอนนี้อยู่ในระดับหลอมกายาขั้นสี่ แต่ต่อให้จะต่ำกว่าเชิงเฮาสองขั้น พวกเขาทั้งคู่ก็ยังอยู่ในระดับกลางของหลอมกายา ด้วยประสบการณ์การต่อสู้ของหลิงฮันที่เคยครอบครองพลังของระดับสวรรค์มาก่อน เขาจะไปแพ้ได้อย่างไร?
“เพี๊ยะ!” เพียงเมื่อตอนเชิงเฮายกมือขึ้นมา หลิงก็ได้ตอบโต้ไปแล้วโดยมือขวาของเขาได้พุ่งออกไป ถึงเขาจะลงมือทีหลังแต่เขาโจมตีโดนเป้าหมายก่อนและการตบอันรุนแรงได้ปะทะเข้ากับหน้าเชิงเฮาอีกครั้ง ด้วยพลังอันแข็งแกร่งที่อยู่เบื้องหลังการตบนี้ ทำให้เชิงเฮาต้องเดินโซเซส่ายไปมา หมัดของมันที่ยกขึ้นมาจึงกระทบโดนเพียงอากาศ
“ขยะ!” หลิงฮันพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งพร้อมกับส่ายหัว
ทุกคนอยู่ในความเงียบ ฉายา“ขยะ”นี้แต่เดิมเป็นของหลิงฮัน แต่ตอนนี้ไม่มีใครสามารถที่จะหัวเราะออกมาได้ เป็นความจริงที่เชิงเฮาถูกตบไปสองครั้งแล้ว
ถ้าครั้งแรกถือว่าเป็นความผิดพลาดจากการประมาทของเชิงเฮา งั้นครั้งที่สองก็ต้องเป็นเพราะความสามารถที่หลิงฮันแสดงออกมา
แต่เรื่องนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าหลิงฮันถูกกล่าวว่าเป็นเศษขยะชิ้นใหญ่ที่สุดของทั้งสำนักรึไงกัน?
ในขณะเดียวกันเชิงเฮาได้โกรธเกรี้ยวจนถึงขนาดที่ดวงตาทั้งสองของมันเปลี่ยนเป็นสีแดง ด้วยเสียงคำรามที่ดังลั่น มันพุ่งตัวเข้าไปหาหลิงฮัน
อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างระหว่างตัวมันกับหลิงฮันมันใหญ่เกินไป
“เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!”
ไม่ว่ามันจะโจมตีอย่างไร เพราะเหตุใดไม่รู้หลิงฮันที่ลงมือทีหลังแต่กลับโจมตีโดนก่อน การตบแต่ละทีทำให้มันล้มคว่ำ และพลังโจมตีของมันได้ลดลงไปด้วยตัวมันเอง
“ข้าเข้าใจแล้ว ความจริงแล้วพลังของหลิงฮันไม่ได้แข็งแกร่งเท่าของเชิงเฮา มันน่าจะอยู่ที่ประมาณขั้นสี่หรือห้าของระดับหลอมกายา แต่ว่าพลังในหยั่งรู้ของเขาช่างน่ากลัวยิ่งนัก ทุกๆครั้งที่เชิงเฮาโจมตี มันราวกับว่าเขารู้อยู่แล้วว่าเชิงเฮาจะโจมตีไปที่ใด และทำการปรับเปลี่ยนสิ่งที่จำเป็นล่วงหน้า”
“ขั้นสี่หรือห้าของระดับหลอมกายา? เป็นไปไม่ได้ หมอนั่นมีรากฐานวิญญาณห้าธาตุปั่นป่วน แม้อยากจะทะลวงไปยังหลอมกายาระดับกลาง หมอนั่นจะบรรลุได้ก็ต้องหลังจากที่อายุยี่สิบไปแล้วเป็นอย่างน้อยเท่านั้น”
“มันไม่สำคัญว่าระดับพลังของหมอนั่นจะอยู่ระดับใด เพียงแค่ความสามารถในการอ่านการโจมตีก็น่ากลัวเกินพอแล้ว!”
หลังจากดูไประยะหนึ่ง ศิษย์ในพื้นที่นี้ก็ได้ค้นพบ “ความลับ”
ซึ่ง “ความลับ” นั่นก็เป็นเรื่องง่ายๆ หลิงฮันจะอ่านการโจมตีทั้งหมดของเชิงเฮาล่วงหน้าและตอบโต้ออกไปก่อนเพื่อเป็นการทดแทนความห่างของระดับพลังบ่มเพาะ
ในขณะเดียวกัน เชิงเฮาถูกตบจนกลายเป็นตัวโง่งมโดยสมบูรณ์ ในหัวของมันมีเสียงวิ้งๆดังอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าของมันทั้งเปลี่ยนเป็นสีแดงและปูดบวมจนกลายเป็นรูปร่างของหัวหมู มีเพียงความรู้สึกโกรธเท่านั้นที่คอยช่วยให้มันทำการโจมตีต่อไปได้ แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นความพยายามที่ไร้ค่า
จนในที่สุดมันก็เริ่มผวา และไม่กล้าทำการโจมตีอีกต่อไป
แต่หลิงฮันจะปล่อยให้เรื่องมันจบไปแบบนี้ได้อย่างไร?
“เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!”
เขายังทำการตบด้วยความโกรธต่อไปเรื่อยๆ และริมฝีปากของเชิงเฮาได้ฉีกขาด เลือดสดๆไหลออกมา สภาพของมันช่างน่าอนาถยิ่งนัก
ในตอนนี้ไม่มีใครกล้าเดินออกมาเพื่อยื่นมือช่วยแม้แต่คนเดียว
“ครั้งนี้ข้ายอมแพ้ อย่าตบข้าอีกเลย” เชิงเฮาอ้อนวอน
อย่างไรก็ตาม หลิงฮันไม่ได้หยุดการกระทำของเขา ในอดีต เมื่อเชิงเฮารังแกเข้าของร่างคนเก่า มันเคยมีความเมตตาบ้างมั้ย? เขาทุบตีมันไปอีกสักพักก่อนที่จะพูดออกไป “คุกเข่าซะ!”
อะไรนะ?!
เชิงเฮารู้สึกว่ามันไร้สาระอย่างมาก เจ้าขยะนี่กล้าบอกให้มันคุกเข่างั้นรึ? ถ้ามันยอมคุกเข่าจริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงความภาคภูมิใจของมันเท่านั้นที่จะแตกสลาย แต่แม้กระทั่งตระกูลเชิงก็จะต้องถูกหัวเราะโดยทุกคนด้วย เพราะอย่างไรมันก็เป็นถึงบุตรคนที่สองของผู้นำตระกูลเชิง!
นี่มันเกินไป ต่อให้เป็นเมื่อก่อนตอนที่มันและพี่ชายของมันรังแกหลินฮัน พวกมันกล้าทำเพียงทุบตีจนทั่วร่างของหลิงฮันเต็มไปด้วยบาดแผลเท่านั้น พวกมันไม่กล้าที่จะบังคับให้หลิงฮันคุกเข่า
เพราะสิ่งนี้อาจจะเป็นการจุดประกายให้เกิดความบาดหมางจนต้องนองเลือดระหว่างสองตระกูล!