บทที่ 81: พบกับจ้าวสำนัก
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ก่อนใครได้ที่แฟนเพจ
====================
บทที่ 81: พบกับจ้าวสำนัก
ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเรื่องราวของหงหยิง ความรู้สึกแรกที่เขาสัมผัสได้คือความต่ำต้อยของตนเอง! ในตอนแรกเขาคิดว่าเขาจะได้ขนานนามว่าอัจฉริยะเมื่อเขาครอบครองมิติลึกลับ แต่เขาจะได้รับพิจารณาได้อย่างไร ในเมื่อเปรียบเทียบกับนางแล้ว เขาไม่ใกล้เคียงเลย! อาจจะเห็นได้ว่าความเอาใจใส่ของบิดามารดานั้นสำคัญที่สุด!
ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังฝันกลางวันอยู่ ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเดินเข้ามาหาเขา อายุของเขาราวสามสิบกว่า ท่าทีของเขาดูผ่อนคลายมาก แต่เจ้าอ้วนรู้ดีกว่าไม่อาจตัดสินผู้ฝึกตนระดับนี้ได้ด้วยเพียงการมองเท่านั้น ด้วยการประเมิณคร่าว ๆ เขาอาจจะมีชีวิตอยู่มามากกว่าหนึ่งทศวรรษแล้ว
หลังจากพบกับเจ้าอ้วน เขายิ้มพร้อมกล่าวว่า “ซ่งจงใช่หรือไม่? จ้าวสำนักต้องการพบเจ้า!”
“จ้าวสำนักต้องการพบข้า?” เจ้าอ้วนมองเขากลับไปด้วยความสงสัย
จ้าวสำนักเสวียนเทียนนั้นอยู่ในระดับหยวนหยินซึ่งห่างไกลจากเจ้าอ้วนอย่างมาก อีกทั้งสถานะของเขายังสูงส่งมากกว่า เหตุใดเขาจึงต้องการพบเจอผู้ฝึกตนระดับล่างเช่นเขา? หรือว่ามีการเข้าใจผิดเกิดขึ้น?
เห็นได้ชัดว่าไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าฝืนกฎของจ้าวสำนัก อีกฝ่ายหนึ่งเพียงส่งยิ้มให้เท่านั้น แสดงออกให้เห็นว่าเจ้าอ้วนควรตามเขาไป
แน่นอนว่าเจ้าอ้วนที่เป็นเพียงศิษย์นอก ไม่มีอำนาจหรือปากเสียงใดจะแสดงอาการขัดขืน เขาเดินตามอย่างเงียบงันไปยังยอดเขาเสวียนเทียน
ศูนย์ใหญ่แห่งสำนักเสวียนเทียนนั้นตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดเขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใหญ่ที่สุดในโลกของผู้ฝึกตน เต็มไปด้วยหินที่ตกแต่งไว้อย่างประณีต ห้องรับรองแขกซึ่งสามารถรองรับศิษย์ในได้มากกว่าหนึ่งพันคน ลานพิเศษด้านในเต็มไปด้วยความรู้สึกที่น่าเกรงขาม สง่างามดั่งสรวงสวรรค์ตามแบบฉบับของราชวงศ์ ทุกหนแห่งปรากฏแสงระยิบระยับเป็นประกาย ทำให้ผู้คนที่พบเห็นสามารถอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
หากผู้คนเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องประดับ นั่นแปลว่าเขาเข้าใจผิด ในความเป็นจริง ยอดเขาเสวียนเทียนนั้นยิ่งใหญ่กว่าราชวังทั้งหมดดังเช่นในข่าวที่ลือกันออกมา และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรู กำแพงที่ก่อไว้โดยรอบมีความแข็งแกร่งอย่างมาก กระทั่งว่าถูกผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยินนับร้อยร่วมมือกันต่อสู้ กำแพงก็จะไม่แตกหัก แท้จริงแล้วนี่คือโครงสร้างพื้นฐานของสำนักเสวียนเทียน
เจ้าอ้วนไม่ใช่คนแปลกหน้าในสถานที่แห่งนี้เลย บิดามารดาของเขาเป็นศิษย์ในและอยู่ในสถานที่แห่งนี้มาก่อน เขาเติบโตขึ้นมาในที่แห่งนี้และถูกไล่ออกไปด้านนอกเมื่อครอบครัวของเขาเสียชีวิต
ในตอนนี้เขากลับมาที่แห่งนี้ เจ้าอ้วนได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ในเวลาเดียวกันความขุ่นเคืองเกี่ยวกับสิ่งที่สำนักเสวียนเทียนได้กระทำกับเขามันย้อนกลับมาอีกครั้ง บิดามารดาของเขาได้เสียสละชีวิตเพื่อช่วยสำนัก แต่สำนักกลับไม่สนใจดูแลบุตรเพียงคนเดียวและโยนออกไปให้กลายเป็นคนรับใช้ ในตอนนั้นเจ้าอ้วนอายุเพียงหกปีเท่านั้น การที่เด็กอายุหกขวบต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องเสียใจที่กระทำเช่นนั้น
ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังขุ่นเคืองอยู่ภายในใจ พวกเขาทั้งสองได้เดินทางมาถึงยอดเขาเสวียนเทียนแล้ว เมื่อมาถึงประตูทางเขาห้องโถงเสวียนเทียน ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิได้พาเจ้าอ้วนไปยังลานศักดิ์สิทธิ์ของสำนัก หลังจากเลี้ยวไม่กี่ครั้ง พวกเขาก็เขามาถึงลานด้านข้าง
สวนแห่งนี้วิเศษยิ่ง มันกว้างกว่าสิบฟุต ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาเทียม บ่อปลา และต้นไผ่มากมาย ภายใต้โครงสร้างเหล็กที่สูงกว่าร้อยฟุต มีโต๊ะหินที่มีเก้าอี้ล้อมรอบ มีคู่ชายหญิงกำลังดื่มด่ำกับชาพร้อมกับเด็กหญิงในชุดแดงอายุราวสิบขวบกำลังเล่นต้นสนในมือของนาง นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนระดับจินตันนั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างของเขา
ทั้งสี่หันหน้ามามองเจ้าอ้วนในขณะที่เขาเดินเข้าไปใกล้ ในเวลาเดียวกัน เจ้าอ้วนรู้สึกว่าเขากำลังถูกแผดเผาด้วยไฟทั้งสี่ก้อน การจ้องมองของคู่รักนั้นรุนแรงมาก แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่อ่อนโยน พวกเขากำลังตรวจสอบเท่านั้น จึงไม่พบจิตสังหารในตัวของพวกเขา สำหรับหญิงสาวที่งดงาม ใบหน้าของนางแสดงอาการอย่างรู้อยากเห็น มีเพียงผู้ฝึกตนระดับจินตันผู้เดียวที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเข้มงวด ราวกับว่ากำลังเตือนบางอย่างกับเจ้าอ้วน ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกตึงเครียดเป็นพิเศษ พร้อมกับคิดในใจ ‘อย่าบอกนะว่าข้ากำลังรู้สึกรังเกียจผู้ฝึกตนระดับจินตันผู้นี้โดยไม่รู้ตัว?”
ในขณะนั้น เจ้าอ้วนก็รีบรุดเข้าไปแสดงความเคารพต่อหน้าคู่รักวัยกลางคนทันที ซึ่งเป็นจ้าวสำนักและภรรยาของเขา
จ้าวสำนักมีความสง่างามที่ดูหลักแหลมและสวมใส่เครื่องแบบลัทธิเต๋าสีเขียว เขาไม่ได้สวมเครื่องประดับมากมายนัก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่เรียบง่าย อย่างไรก็ตามแม้ว่าหน้าตาของเขาจะไม่ได้หล่อเหลา แต่เขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์และสามารถสร้างความประทับใจให้ผู้ที่พบเจอได้อย่างไม่รู้ลืม
หญิงสาววัยกลางคนมีสายตาที่เฉียบคม และชุดสีแดงทำให้นางดูสวยงามเป็นพิเศษ นางดูเป็นคนที่ฉลาดและกล้าหาญ เมื่อเห็นใบหน้าของนางแล้วดูเหมือนว่านางสามารถเอาชนะความเหนื่อยล้าและความทุกข์ยากของหญิงสาวทั่วไปได้อย่างหมดสิ้น
สำหรับเด็กหญิง นางบริสุทธิ์และยังไร้เดียงสา นับตั้งแต่เจ้าอ้วนเดินเข้ามา นางใช้ดวงตากลมโตขนาดใหญ่จ้องมาที่เจ้าอ้วนด้วยความอยากรู้ การแสดงออกเช่นนั้นราวกับว่านางกำลังต้องการสัตว์เลี้ยง ซึ่งนั่นทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกสั่นไหวทันที
สำหรับผู้ฝึกตนระดับจินตัน ใบหน้าของเขาสุภาพอ่อนโยนและมีรอยยิ้มจาง ๆ เคลือบอยู่เสมอ แต่แม้ว่าเขาจะยิ้ม ดวงตาของเขายังคงเย็นเฉียบ โดยเฉพาะสายตาที่เขาใช้มองไปที่เจ้าอ้วนซึ่งเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นปฏิปักษ์
แน่นอนว่าหลังจากเจ้าอ้วนได้ฝึกตนด้วยปฐมกาลแห่งความโกลาหล เขาสามารถตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ได้อย่างละเอียด นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถรับรู้ได้โดยประสบการณ์ แต่มันเป็นสัมผัสพิเศษลึก ๆ ที่สามารถรับรู้ได้ ปกติแล้วผู้ฝึกตนระดับจินตันเท่านั้นที่จะใช้ความสามารถเช่นนี้ได้ แต่เจ้าอ้วนกลับรู้สึกถึงความสามารถนี้ได้ในตอนที่เขาอยู่ระดับเซียนเทียนขั้นสิบเท่านั้น ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณปฐมกาลแห่งความโกลาหล ถ้าหากไม่มีความสามารถเช่นนี้ เขาอาจถูกล่อลวงจากผู้ที่ปรากฏตัวตรงหน้าเขาอย่างสง่างาม และหลงคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นยิ้มให้เขาอย่างแท้จริง
แม้ว่าเจ้าอ้วนจะรู้สึกปฏิปักษ์ในใจ แต่ในตอนนี้เขาไม่สามารถแสดงท่าทีอะไรได้ เพราะในกระเพาะอาหารของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย เขาโค้งคำนับที่ด้านหน้าของจ้าวสำนักพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์ซ่งจง แสดงความเคารพต่อผู้นำและรองผู้นำขอรับ!”
เมื่อมองเห็นซ่งจง ใบหน้าของภรรยาผู้นำเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีความเศร้าแสดงออกมาราวกับว่าพวกเขากำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง สำหรับผู้นำนิกาย เขาหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวว่า “พอได้แล้ว เราทุกคนล้วนแต่เป็นครอบครัวเดียวกัน เลิกมีพิธีรีตองเถิด!”
ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น พร้อมกับยิ้มให้เจ้าอ้วนและพยักหน้าอย่างพอใจ และกล่าวกว่า “แม้ว่าเจ้าจะอ้วนไปสักเล็กน้อย แต่ว่าพื้นฐานของเจ้าแข็งแกร่งมาก อยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นสิบ ผู้ที่มีพรสวรรค์ที่น่าสงสารแต่กลับเดินทางมาไกลเช่นนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย! เห็นได้ชัดว่าลุงของเจ้าได้ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดลงไปอย่างสุดกำลัง!”